.
กล่องสี่เหลี่ยมที่เรียกว่า “ห้องทำงาน” ยังคงกักขังจิตแพทย์วัยกลางคนด้วยลูกกรงแห่งรายงานและเอกสารวางเกะกะบนโต๊ะอย่างไม่ค่อยเป็นระบบระเบียบ โครงการแจกสมุดปากกาให้คนไข้ทางจิตเขียนบันทึกได้รับการตอบสนองพอสมควร บรรดาคนไข้ให้ความร่วมมือด้วยดี หลายเล่มอ่านแล้วรู้สึกถึงความยุ่งเหยิงสับสนเหมือนหมอกควัน แต่ก็มีบางเล่มน่าสนใจกว่าที่คาดการณ์ไว้ โลกของความวิปลาสดูกว้างไกลมากกว่าการจินตนาการคาดเดา
หน้าต่างสี่เหลี่ยมใหญ่เหมือนฝังตัวเองจนดำมืดข้างผนัง บางครั้งลมพัดเข้ามาบางเบาหรือมีแสงวูบวาบจากยานพาหนะปรากฏให้เห็น ทำให้ไม่รู้สึกอ้างอ้างเงียบเหงาจนเกินไปนัก สมุดบันทึกคนไข้เล่มสุดท้ายของวันนี้อยู่ในมือแล้ว เขาควรจะอ่านให้จบก่อนลงลายเซ็นรับรองการทำงานให้ตัวเอง มันเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลต่อเงินสนับสนุนสถาบันวิเคราะห์โรคทางจิต ถ้าเงินก้อนใหญ่เขาเองก็จะได้รับส่วนแบ่งนอกระบบมากไปด้วย ซึ่งเขาคิดว่าเป็นสิ่งปกติ ใครๆเขาก็ทำกัน กับการรายงานข้อมูลผิดจากความจริงไปบ้าง แลกกับการมีเงินใช้ส่วนตัว ไม่ได้ผิดไรมากมาย
คุณหมอมือหนึ่งเริ่มเปิดอ่าน
ผมจับความมืดได้
นั่นปะไร...บรรทัดแรกก็ทำให้คุณหมอแทบหลุดเสียงหัวเราะออกมา แต่ก็ยังคงก้มหน้าอ่านต่อไป
ผมรู้ว่าคุณหมออาจจะกำลังหัวเราะเยาะผมอยู่ อาจกำลังคิดจะวางบันทึกของผมลงด้วยซ้ำ และอาจจะหาว่าผมบ้าเต็มสูบได้ที่ ไม่สิ.. ไม่ใช่อาจจะ....ต้องหาว่าผมบ้าแน่นอน ทุกคนที่เข้ามาอยู่ในโรงพยาบาลแห่งนี้ต่างถูกปั๊มตราให้เรียบร้อยแล้วว่าบ้าเต็มตำแหน่ง และผมก็ยินดีบ้ากับมันแต่ไม่เป็นไร มาพูดเรื่องของผมต่อดีกว่า
ผมบอกว่าผมจับความมืดได้ บ้าดีไหม..ใช่ ...ผมรู้ว่ามันฟังดูเหลือเชื่อ แต่ก็ยังอยากเล่าให้หมอฟัง ไหนๆก็ไหนๆ ความมืดมันมีชีวิต มันกลืนกินใครต่อใครเข้าไปมากมาย สะสมความรู้ต่าง ๆ ที่ได้รับจากความทรงจำของเหยื่อ มันอาศัยอยู่ในจักรวาลของเราอย่างชาญฉลาด วางตัวเองให้อยู่ในสภาพเหมือนไร้แสง ไม่มีมวล ไม่มีพลังงาน แต่ความจริงนั่นเป็นเพียงกับดักของมันในการล่อลวงพวกมนุษย์ให้เข้าใจผิดด้วยจุดประสงค์บางอย่าง ผมกำลังพยายามทำความเข้าใจมันอยู่ พวกมันเป็นสิ่งอมตะสูงสุดแห่งเอกภพ ยึดครองอาณาเขตแทบทั้งหมดของจักรวาลอันกว้างใหญ่ พวกมันซ่อนอยู่ใต้โต๊ะ ใต้เตียง แม้ในยามมีแสงสว่างกลางวัน พวกมันยังสามารถแอบตามมุมอับมากมาย คอยจ้องมองพวกเราอย่างเยาะเย้ย
ทำไมผมจับมันได้… อาจเป็นเพราะว่าผมรู้เท่าทันพวกมันไปหลายส่วนแล้ว พอรู้ทันมากเท่าไรผมก็ยิ่งสามารถฉกฉวยพลังอำนาจลึกลับของมันมากขึ้นเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันมันก็ดึงเอาตัวตนของผมเป็นการแลกเปลี่ยนเช่นกัน บางทีเจ้าความมิดก็อาจไม่ได้เลวร้ายเกินไปสำหรับคนแสวงหาบางอย่าง หรือหนทางหลุดพ้น
คุณหมอไม่สงสัยหรือครับว่า ทำไมผมจึงรู้ทันพวกมัน คงเป็นเพราะว่า ความบ้า กลายเป็นสื่อกลางทำให้ผมเข้าถึงความมืดได้มากกว่าใคร ก็อย่างที่รู้กันว่า คนบ้ามักสามารถทำอะไรที่คนธรรมดาทำไม่ได้ ใช่ไหมครับคุณหมอ... แม้แต่การสร้างเครื่องดักจับความมืดผมก็รู้วิธีการสร้าง ถ้าอยากรู้รายละเอียดผมจะเขียนแบบแปลนให้ดูก็ได้ แต่คุณหมอดูแล้วคงไม่เข้าใจหรอก เพราะบางทีคนดี ก็ไม่สามารถเข้าถึงสิ่งที่คนบ้าเข้าถึงได้ เมื่อผมรู้เท่าทันมันทั้งหมดผมคงจะกลายเป็นพวกมันไปแล้วอย่างสมบูรณ์ หมอว่าน่ากลัวไหมล่ะ ตัวผมเองกลับรู้สึกไม่มีอะไรน่ากลัวเลยสักนิด บางทีมันอาจเป็นฝ่ายเจาะจงเลือกผมให้ทำแบบนี้ก็เป็นได้ใครจะไปรู้
ทำไมผมต้องมาบอกหมอด้วยนะ บางทีอาจเป็นเพราะสัญชาตญาณของความเป็นมนุษย์ที่หลงเหลืออยู่ก็เป็นไปได้ หรือบางทีเจ้าความมืด อาจมองเห็นความมืดภายในจิตใจของคุณหมอก็เป็นได้
อ่านมาถึงตรงนี้คุณหมอวางบันทึกลง เพราะข้อความต่อไปยิ่งดูบ้าบอวิปริตผิดเพี้ยน เกินกว่าจะทนอ่านข้อความของคนบ้าผู้กำลังพล่ามถึงการสร้างเครื่องจักรเครื่องยนต์กลไกอะไร โดยมีสมการประหลาดอธิบายเต็มไปหมด แน่นอนว่าคนปกติหรืออัจฉริยะขนาดไหน ก็ไม่มีทางแม้แต่จะคิดหรือเขียนสมการแบบนี้ออกมาได้แน่นอน บ้าเข้าขั้นดีจริงๆ คุณหมอคิดในใจ
ถ้าเป็นเรื่องจริงทำไมความมืดไม่ลงมือกลืนกินมนุษยชาติเสียทีเดียวให้หมดสิ้นไปเลย ไม่ใช่เรื่องยากถ้ามันจะมีพลังอำนาจพิเศษ คุณหมอเหลือบมองนาฬิกา เวลาเกือบสองทุ่ม ท้องเริ่มส่งสัญญาณเตือนให้จัดการเรื่องอาหารการกิน แต่ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้ อ่านให้จบก่อนดีกว่า หมอกวาดสายตาผ่านสมการ และภาพวาดโครงสร้างเครื่องจักรกลแปลกหลุดโลก เปิดไปทีละหน้าอย่างไม่สนใจ จนถึงช่วงสุดท้ายของบันทึก
ผมรู้ว่าคุณหมอไม่มีทางเชื่อ ผมจึงเตรียมตัวอย่างมาให้คุณหมอดูแล้ว ผมแอบเอามาวางอยู่ใต้โต๊ะ ลองก้มลงมองหาถุงใหญ่สีดำ ความมืดมันอยู่ในถุง ไม่ต้องถามหรอกนะครับว่าผมแอบเข้ามาในห้องคุณหมอได้อย่างไร ถึงบอกไปคุณหมอเองก็คงไม่เชื่อ โชคดีนะครับ
ข้อความในสมุดบันทึกขาดหายไป เหมือนเจ้าของผู้เขียนหายไปโดยกะทันหัน เอ.. ! ทำไมหมอถึงเกิดความรู้สึกแบบนี้นะ ทำไมต้องคิดว่าหายไปเฉย ๆ ไม่คิดว่าอาจจะลุกหนีไปจากโต๊ะไม่ยอมเขียนต่อ จิตแพทย์รู้สึกเย็นวูบไปทั่วไขสันหลังอย่างไม่มีสาเหตุ
ก้มมองใต้โต๊ะ ไม่เห็นมีถุงอะไร เออ......! . เราก็พลอยบ้าบอคอแตกไปด้วย คุณหมอนั่งนิ่งครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจยกหูโทรศัพท์ต่อไปยังเจ้าหน้าที่ภายในตึกคนไข้ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่มากนัก
“นำตัวคนไข้ห้อง 312 ไปหาผมที” บอกหมายเลขห้องของคนไข้ผู้น่าสงสัย เสียงเจ้าหน้าที่ตอบรับเรียบร้อย จึงวางหูโทรศัพท์ลง เอนกายพิงพนักเก้าอี้เหมือนอยากผ่อนคลาย แต่เท้าไปเตะถูกอะไรบางอย่าง จึงก้มลงไปมอง
ถุงสีดำมัดปากด้วยเชือกแน่นหนา วางอยู่ใต้โต๊ะแต่มันอยู่ในตำแหน่งมิดชิดเกินกว่าธรรมดา เหมือนกับว่าถุงพลาสติกสีดำขยับตัวหนีเข้าไปเองจากจุดควรจะอยู่ในตอนแรก คุณหมอขนลุกซู่อย่างไม่มีสาเหตุและรู้สึกโมโหตัวเองกับอาการเริ่มต้นประสาทเสีย รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังโดนเชื้อบ้าเล่นงาน ลังเลใจในการก้มลงมองถุงประหลาดอยู่นาน คิดว่าบางทีคนไข้บ้าๆบางคนอาจจะล้อเขาเล่นตามประสาบ้า แต่ในที่สุดกลั้นใจลองจับถุงปริศนายกขึ้นมา
มันเบาหวิวเหมือนไม่มีอะไรบรรจุอยู่ภายใน จึงวางลงบนโต๊ะ
จะเปิดดูดีไหมนะ? เปิดดูมันก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว เขายิ้มและบอกตัวเองอย่างมั่นใจ มันเป็นเพียงถุงเปล่าเท่านั้น น้ำหนักเบาจนไม่ต้องกลัวว่าจะมีสิ่งของอันตรายอยู่ภายใน ไอ้บ้าเอ๊ย...มาหลอกกันได้!
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น จิตแพทย์หันไปยกหูรับสาย
“คนไข้ไม่อยู่ในห้องครับ” เสียงเจ้าหน้าที่คนรับสายโทรศัพท์เมื่อครู่รายงาน
“อะไร” คุณหมอแผดเสียงดังอย่างคาดไม่ถึง ไม่อยากเชื่อว่าคนไข้ในการดูแลจะหายไปได้ เพราะระบบการดูแลรักษาความปลอดภัยควบคุมคนไข้ของสถาบันวิเคราะห์โรคทางจิตแห่งนี้ถือว่าดีเยี่ยมที่สุดแห่งหนึ่ง
“คุณตรวจสอบให้ดีหรือยัง คนทั้งคนจะหายไปได้อย่างไร”
“พวกเราไปถึงก็พบว่าไฟในห้องปิดอยู่แล้วนะครับ เหมือนว่าไม่เคยมีคนอยู่เลย ในห้องว่างเปล่า ประตูหน้าต่างปิดสนิทในสภาพเรียบร้อย ไม่มีร่องรอยงัดแงะของการหลบหนี“
น้ำเสียงเจ้าหน้าที่มีแววกังวลปนปลกใจอย่างชัดเจน ไม่ใช่การเล่นตลกร้ายอย่างแน่นอน และไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนจะมาล้อเล่นกับเขาได้
“คุณอย่าพูดบ้า ๆ ลองตรวจสอบให้ดีอีกครั้ง” สั่งด้วยน้ำเสียงเกือบเป็นตะคอก แล้ววางหูโทรศัพท์ลง มันเรื่องบ้าบอคอแตกอะไรกัน คนทั้งคนจะหายไปจากห้องพักได้อย่างไร ห้องพักเสมือนเป็นคุกจองจำคนไข้ ปิดเปิดเป็นเวลา มีมาตรการรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม เรื่องคนไข้หลบหนีไปข้างนอกสถาบันไม่เคยมีมาก่อน ทันใดนั้นเองหางตาของหมอก็เห็นถุงสีดำบนโต๊ะเหมือนขยับไหวราวทักทายกึ่งล้อเลียน ทำให้ขนลุกอย่างไม่มีเหตุผล
เอื้อมมือเข้าไปหา ดูเหมือนถุงสัดำบนโต๊ะจะขยับหยอกล้อ
ลม.. ! คุณหมอคำราม ก็แค่ลมพัดจากหน้าต่างเท่านั้นเอง ในถึงไม่มีอะไรทำให้ถุงสั่นไหว แต่ทำไมต้องทำใจจริงจังกับเรื่องไม่เป็นเรื่องขนาดนี้นะ ทำไมไม่เปิดดูให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเลย เปิดดูความว่างเปล่าในถุง หัวเราะใส่หน้ามัน แล้วออกจากห้องอย่างสบายใจ ขับรถออกไปหาอาหารอร่อยในร้านอาหารสักแห่งคลายเครียด แต่ความกังวลรุมเร้าจิตใจเกินกว่าจะทำแบบนั้นได้
หลังจากนั่งคิดอย่างเงียบๆ พักหนึ่ง เขาหยิบกรรไกรออกมาจากลิ้นชัก ขยับคมกรรไกรไปมาครู่หนึ่งอย่างไม่แน่ใจในตัวเอง เพื่อความแน่ใจ ยกหูโทรศัพท์ต่อไปยังเจ้าหน้าที่คนเดิมอีกครั้ง
“อะไรหรือครับ” เสียงเจ้าหน้าที่คนนั้นย้อนถาม น้ำเสียงมีแววงุนงงสงสัยเต็มที่
“อย่ามาล้อเล่นกับผมน่า” คุณหมอรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกไม่พอใจกับน้ำเสียงของอีกฝ่าย จึงสำทับไปด้วยเสียงหนักๆว่า
“ผมบอกให้คุณตรวจสอบดูอีกที”
“ตรวจสอบอะไรครับ” น้ำเสียงของเจ้าหน้าที่เหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยสักนิด
“คนไข้ไง คนไข้ห้อง 312 ที่ผมโทรมาให้ตรวจดูเมื่อครู่”
“โทรมาตอนไหนครับ ผมเพิ่งได้รับสายจากคุณหมอเป็นครั้งแรกของวันนี้ และห้อง 312 ที่คุณหมอบอกเป็นห้องว่างอยู่ตั้งนานแล้วครับ”
“อย่ามาล้อเล่นนะโว้ย...!” จิตแพทย์มือดีลุกขึ้นอย่างลืมตัว ร้องใส่โทรศัพท์สุดเสียง หน้ามืดด้วยแรงโทสะปะทุระเบิด จะมาทำตลกล้อเล่นไม่ได้เด็ดขาด เขาแทบมองเห็นใบรายงานความประพฤติการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวลอยไปมาเบื้องหน้าเป็นรูปแบบร่างเสียด้วยซ้ำ เขาระดับจิตแพทย์ชำนาญการพิเศษไม่ใช่เพื่อนเล่นของพวกแก.....!
“ใจเย็น ๆ นะครับ ผมจะมาหาหมอเดี๋ยวนี้ล่ะครับ” น้ำเสียงของเจ้าหน้าที่ร้อนรนตกใจกลัว ไม่มีแววล้อเล่นแม้แต่น้อย และน้ำเสียงพูดฟังแล้วเหมือนกับเสียงบรรดาคุณหมอเคยใช้กับคนไข้โรคจิตไม่มีผิด พระช่วย.....! จะมาหาพระแสงอะไร พวกมันเห็นฉันเป็นคนบ้าไปแล้วหรือ เขากระแทกหูโทรศัพท์อย่างแรง ทรุดตัวลงนั่ง หายใจหอบจนอกกระเพื่อม
ไอ้พวกบ้า...! พากันเป็นอะไรไปหมดแล้ว
ถุงบนโต๊ะขยับไปมาอีกครั้ง คราวนี้มองเห็นถนัดชัดตา เขาขบกรามแน่น หยิบมันขึ้นมาด้วยหัวใจเต้นแรงแบบไร้เหตุผล แม้พยายามบอกตัวเองว่าไม่มีอะไรอยู่ภายในถุงแม้แต่มดสักตัว พิจารณาครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจตัดปากถุงออกด้วยกรรไกรอย่างระมัดระวัง ทั้งที่รู้ว่าไม่จำเป็นต้องระวังอะไรเลยสักนิดเดียว แต่รู้สึกได้ว่ามือจับกรรไกรตัดปากถุงกำลังสั่นอย่างเห็นได้ชัด
เห็นไหม ไม่มีอะไร... เขาสูดลมหายใจลึก พยายามหัวเราะออกมาเหมือนคนใกล้เสียสติ เมื่อเปิดปากถุงกว้างและมองลงไปพบว่าไม่มีอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่า ไม่มีอะไรอย่างที่วิตก เขาคงอยู่กับคนไข้มากเกินไปจนโรคบ้าประสาทระบาดเข้าใส่ จิตแพทย์ผู้กำลังจะกลายเป็นคนไข้เสียเอง เอียงถุงรับแสงไปมา เหมือนคนย้ำคิดย้ำทำ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรอยู่ในถุงใบนั้นจริง ๆ
นอกจากความมืด.... !ก้นถุงดำทะมืนอยู่ภายใน ไม่ว่าเอียงมองมุมไหนอย่างไรก็มองไม่เห็นอะไรเลยสักนิด
“มันทาสีดำ”
เขาคำรามในลำคอ สีดำดูดกลืนแสงทั้งหมด มันจึงดูเป็นสีดำ ความรู้ชั้นเด็กประถมก็บอกได้ ทำไมไม่ลองควานมือดูล่ะ ถ้าจะให้แน่ใจ คุณหมอยืนงงกับตัวเองครู่หนึ่งกับอารมณ์และความกลัวที่พยายามเก็บกดมันไว้ในส่วนลึกที่สุด แต่มันกำลังดิ้นรนออกมาจากการควบคุม บางส่วนคืนคลานไปตามไขสันหลังจนรู้สึกเย็นยะเยือก ไม่น่าเชื่อว่าถุงปกติธรรมดาใบหนึ่ง จะสร้างเรื่องยุ่งยากวุ่นวายจนแทบประสาทเสียขนาดนี้ วูบหนึ่งเขาอยากจะส่งเสียงหัวเราะออกมาดังๆ แต่รีบเอามืออุดปากตัวเองไว้ เพราะคิดได้ว่านั่นไม่ใช่นิสัยของเขา
.
ความมืด
กล่องสี่เหลี่ยมที่เรียกว่า “ห้องทำงาน” ยังคงกักขังจิตแพทย์วัยกลางคนด้วยลูกกรงแห่งรายงานและเอกสารวางเกะกะบนโต๊ะอย่างไม่ค่อยเป็นระบบระเบียบ โครงการแจกสมุดปากกาให้คนไข้ทางจิตเขียนบันทึกได้รับการตอบสนองพอสมควร บรรดาคนไข้ให้ความร่วมมือด้วยดี หลายเล่มอ่านแล้วรู้สึกถึงความยุ่งเหยิงสับสนเหมือนหมอกควัน แต่ก็มีบางเล่มน่าสนใจกว่าที่คาดการณ์ไว้ โลกของความวิปลาสดูกว้างไกลมากกว่าการจินตนาการคาดเดา
หน้าต่างสี่เหลี่ยมใหญ่เหมือนฝังตัวเองจนดำมืดข้างผนัง บางครั้งลมพัดเข้ามาบางเบาหรือมีแสงวูบวาบจากยานพาหนะปรากฏให้เห็น ทำให้ไม่รู้สึกอ้างอ้างเงียบเหงาจนเกินไปนัก สมุดบันทึกคนไข้เล่มสุดท้ายของวันนี้อยู่ในมือแล้ว เขาควรจะอ่านให้จบก่อนลงลายเซ็นรับรองการทำงานให้ตัวเอง มันเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลต่อเงินสนับสนุนสถาบันวิเคราะห์โรคทางจิต ถ้าเงินก้อนใหญ่เขาเองก็จะได้รับส่วนแบ่งนอกระบบมากไปด้วย ซึ่งเขาคิดว่าเป็นสิ่งปกติ ใครๆเขาก็ทำกัน กับการรายงานข้อมูลผิดจากความจริงไปบ้าง แลกกับการมีเงินใช้ส่วนตัว ไม่ได้ผิดไรมากมาย
คุณหมอมือหนึ่งเริ่มเปิดอ่าน
ผมจับความมืดได้
นั่นปะไร...บรรทัดแรกก็ทำให้คุณหมอแทบหลุดเสียงหัวเราะออกมา แต่ก็ยังคงก้มหน้าอ่านต่อไป
ผมรู้ว่าคุณหมออาจจะกำลังหัวเราะเยาะผมอยู่ อาจกำลังคิดจะวางบันทึกของผมลงด้วยซ้ำ และอาจจะหาว่าผมบ้าเต็มสูบได้ที่ ไม่สิ.. ไม่ใช่อาจจะ....ต้องหาว่าผมบ้าแน่นอน ทุกคนที่เข้ามาอยู่ในโรงพยาบาลแห่งนี้ต่างถูกปั๊มตราให้เรียบร้อยแล้วว่าบ้าเต็มตำแหน่ง และผมก็ยินดีบ้ากับมันแต่ไม่เป็นไร มาพูดเรื่องของผมต่อดีกว่า
ผมบอกว่าผมจับความมืดได้ บ้าดีไหม..ใช่ ...ผมรู้ว่ามันฟังดูเหลือเชื่อ แต่ก็ยังอยากเล่าให้หมอฟัง ไหนๆก็ไหนๆ ความมืดมันมีชีวิต มันกลืนกินใครต่อใครเข้าไปมากมาย สะสมความรู้ต่าง ๆ ที่ได้รับจากความทรงจำของเหยื่อ มันอาศัยอยู่ในจักรวาลของเราอย่างชาญฉลาด วางตัวเองให้อยู่ในสภาพเหมือนไร้แสง ไม่มีมวล ไม่มีพลังงาน แต่ความจริงนั่นเป็นเพียงกับดักของมันในการล่อลวงพวกมนุษย์ให้เข้าใจผิดด้วยจุดประสงค์บางอย่าง ผมกำลังพยายามทำความเข้าใจมันอยู่ พวกมันเป็นสิ่งอมตะสูงสุดแห่งเอกภพ ยึดครองอาณาเขตแทบทั้งหมดของจักรวาลอันกว้างใหญ่ พวกมันซ่อนอยู่ใต้โต๊ะ ใต้เตียง แม้ในยามมีแสงสว่างกลางวัน พวกมันยังสามารถแอบตามมุมอับมากมาย คอยจ้องมองพวกเราอย่างเยาะเย้ย
ทำไมผมจับมันได้… อาจเป็นเพราะว่าผมรู้เท่าทันพวกมันไปหลายส่วนแล้ว พอรู้ทันมากเท่าไรผมก็ยิ่งสามารถฉกฉวยพลังอำนาจลึกลับของมันมากขึ้นเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันมันก็ดึงเอาตัวตนของผมเป็นการแลกเปลี่ยนเช่นกัน บางทีเจ้าความมิดก็อาจไม่ได้เลวร้ายเกินไปสำหรับคนแสวงหาบางอย่าง หรือหนทางหลุดพ้น
คุณหมอไม่สงสัยหรือครับว่า ทำไมผมจึงรู้ทันพวกมัน คงเป็นเพราะว่า ความบ้า กลายเป็นสื่อกลางทำให้ผมเข้าถึงความมืดได้มากกว่าใคร ก็อย่างที่รู้กันว่า คนบ้ามักสามารถทำอะไรที่คนธรรมดาทำไม่ได้ ใช่ไหมครับคุณหมอ... แม้แต่การสร้างเครื่องดักจับความมืดผมก็รู้วิธีการสร้าง ถ้าอยากรู้รายละเอียดผมจะเขียนแบบแปลนให้ดูก็ได้ แต่คุณหมอดูแล้วคงไม่เข้าใจหรอก เพราะบางทีคนดี ก็ไม่สามารถเข้าถึงสิ่งที่คนบ้าเข้าถึงได้ เมื่อผมรู้เท่าทันมันทั้งหมดผมคงจะกลายเป็นพวกมันไปแล้วอย่างสมบูรณ์ หมอว่าน่ากลัวไหมล่ะ ตัวผมเองกลับรู้สึกไม่มีอะไรน่ากลัวเลยสักนิด บางทีมันอาจเป็นฝ่ายเจาะจงเลือกผมให้ทำแบบนี้ก็เป็นได้ใครจะไปรู้
ทำไมผมต้องมาบอกหมอด้วยนะ บางทีอาจเป็นเพราะสัญชาตญาณของความเป็นมนุษย์ที่หลงเหลืออยู่ก็เป็นไปได้ หรือบางทีเจ้าความมืด อาจมองเห็นความมืดภายในจิตใจของคุณหมอก็เป็นได้
อ่านมาถึงตรงนี้คุณหมอวางบันทึกลง เพราะข้อความต่อไปยิ่งดูบ้าบอวิปริตผิดเพี้ยน เกินกว่าจะทนอ่านข้อความของคนบ้าผู้กำลังพล่ามถึงการสร้างเครื่องจักรเครื่องยนต์กลไกอะไร โดยมีสมการประหลาดอธิบายเต็มไปหมด แน่นอนว่าคนปกติหรืออัจฉริยะขนาดไหน ก็ไม่มีทางแม้แต่จะคิดหรือเขียนสมการแบบนี้ออกมาได้แน่นอน บ้าเข้าขั้นดีจริงๆ คุณหมอคิดในใจ
ถ้าเป็นเรื่องจริงทำไมความมืดไม่ลงมือกลืนกินมนุษยชาติเสียทีเดียวให้หมดสิ้นไปเลย ไม่ใช่เรื่องยากถ้ามันจะมีพลังอำนาจพิเศษ คุณหมอเหลือบมองนาฬิกา เวลาเกือบสองทุ่ม ท้องเริ่มส่งสัญญาณเตือนให้จัดการเรื่องอาหารการกิน แต่ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้ อ่านให้จบก่อนดีกว่า หมอกวาดสายตาผ่านสมการ และภาพวาดโครงสร้างเครื่องจักรกลแปลกหลุดโลก เปิดไปทีละหน้าอย่างไม่สนใจ จนถึงช่วงสุดท้ายของบันทึก
ผมรู้ว่าคุณหมอไม่มีทางเชื่อ ผมจึงเตรียมตัวอย่างมาให้คุณหมอดูแล้ว ผมแอบเอามาวางอยู่ใต้โต๊ะ ลองก้มลงมองหาถุงใหญ่สีดำ ความมืดมันอยู่ในถุง ไม่ต้องถามหรอกนะครับว่าผมแอบเข้ามาในห้องคุณหมอได้อย่างไร ถึงบอกไปคุณหมอเองก็คงไม่เชื่อ โชคดีนะครับ
ข้อความในสมุดบันทึกขาดหายไป เหมือนเจ้าของผู้เขียนหายไปโดยกะทันหัน เอ.. ! ทำไมหมอถึงเกิดความรู้สึกแบบนี้นะ ทำไมต้องคิดว่าหายไปเฉย ๆ ไม่คิดว่าอาจจะลุกหนีไปจากโต๊ะไม่ยอมเขียนต่อ จิตแพทย์รู้สึกเย็นวูบไปทั่วไขสันหลังอย่างไม่มีสาเหตุ
ก้มมองใต้โต๊ะ ไม่เห็นมีถุงอะไร เออ......! . เราก็พลอยบ้าบอคอแตกไปด้วย คุณหมอนั่งนิ่งครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจยกหูโทรศัพท์ต่อไปยังเจ้าหน้าที่ภายในตึกคนไข้ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่มากนัก
“นำตัวคนไข้ห้อง 312 ไปหาผมที” บอกหมายเลขห้องของคนไข้ผู้น่าสงสัย เสียงเจ้าหน้าที่ตอบรับเรียบร้อย จึงวางหูโทรศัพท์ลง เอนกายพิงพนักเก้าอี้เหมือนอยากผ่อนคลาย แต่เท้าไปเตะถูกอะไรบางอย่าง จึงก้มลงไปมอง
ถุงสีดำมัดปากด้วยเชือกแน่นหนา วางอยู่ใต้โต๊ะแต่มันอยู่ในตำแหน่งมิดชิดเกินกว่าธรรมดา เหมือนกับว่าถุงพลาสติกสีดำขยับตัวหนีเข้าไปเองจากจุดควรจะอยู่ในตอนแรก คุณหมอขนลุกซู่อย่างไม่มีสาเหตุและรู้สึกโมโหตัวเองกับอาการเริ่มต้นประสาทเสีย รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังโดนเชื้อบ้าเล่นงาน ลังเลใจในการก้มลงมองถุงประหลาดอยู่นาน คิดว่าบางทีคนไข้บ้าๆบางคนอาจจะล้อเขาเล่นตามประสาบ้า แต่ในที่สุดกลั้นใจลองจับถุงปริศนายกขึ้นมา
มันเบาหวิวเหมือนไม่มีอะไรบรรจุอยู่ภายใน จึงวางลงบนโต๊ะ
จะเปิดดูดีไหมนะ? เปิดดูมันก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว เขายิ้มและบอกตัวเองอย่างมั่นใจ มันเป็นเพียงถุงเปล่าเท่านั้น น้ำหนักเบาจนไม่ต้องกลัวว่าจะมีสิ่งของอันตรายอยู่ภายใน ไอ้บ้าเอ๊ย...มาหลอกกันได้!
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น จิตแพทย์หันไปยกหูรับสาย
“คนไข้ไม่อยู่ในห้องครับ” เสียงเจ้าหน้าที่คนรับสายโทรศัพท์เมื่อครู่รายงาน
“อะไร” คุณหมอแผดเสียงดังอย่างคาดไม่ถึง ไม่อยากเชื่อว่าคนไข้ในการดูแลจะหายไปได้ เพราะระบบการดูแลรักษาความปลอดภัยควบคุมคนไข้ของสถาบันวิเคราะห์โรคทางจิตแห่งนี้ถือว่าดีเยี่ยมที่สุดแห่งหนึ่ง
“คุณตรวจสอบให้ดีหรือยัง คนทั้งคนจะหายไปได้อย่างไร”
“พวกเราไปถึงก็พบว่าไฟในห้องปิดอยู่แล้วนะครับ เหมือนว่าไม่เคยมีคนอยู่เลย ในห้องว่างเปล่า ประตูหน้าต่างปิดสนิทในสภาพเรียบร้อย ไม่มีร่องรอยงัดแงะของการหลบหนี“
น้ำเสียงเจ้าหน้าที่มีแววกังวลปนปลกใจอย่างชัดเจน ไม่ใช่การเล่นตลกร้ายอย่างแน่นอน และไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนจะมาล้อเล่นกับเขาได้
“คุณอย่าพูดบ้า ๆ ลองตรวจสอบให้ดีอีกครั้ง” สั่งด้วยน้ำเสียงเกือบเป็นตะคอก แล้ววางหูโทรศัพท์ลง มันเรื่องบ้าบอคอแตกอะไรกัน คนทั้งคนจะหายไปจากห้องพักได้อย่างไร ห้องพักเสมือนเป็นคุกจองจำคนไข้ ปิดเปิดเป็นเวลา มีมาตรการรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม เรื่องคนไข้หลบหนีไปข้างนอกสถาบันไม่เคยมีมาก่อน ทันใดนั้นเองหางตาของหมอก็เห็นถุงสีดำบนโต๊ะเหมือนขยับไหวราวทักทายกึ่งล้อเลียน ทำให้ขนลุกอย่างไม่มีเหตุผล
เอื้อมมือเข้าไปหา ดูเหมือนถุงสัดำบนโต๊ะจะขยับหยอกล้อ
ลม.. ! คุณหมอคำราม ก็แค่ลมพัดจากหน้าต่างเท่านั้นเอง ในถึงไม่มีอะไรทำให้ถุงสั่นไหว แต่ทำไมต้องทำใจจริงจังกับเรื่องไม่เป็นเรื่องขนาดนี้นะ ทำไมไม่เปิดดูให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเลย เปิดดูความว่างเปล่าในถุง หัวเราะใส่หน้ามัน แล้วออกจากห้องอย่างสบายใจ ขับรถออกไปหาอาหารอร่อยในร้านอาหารสักแห่งคลายเครียด แต่ความกังวลรุมเร้าจิตใจเกินกว่าจะทำแบบนั้นได้
หลังจากนั่งคิดอย่างเงียบๆ พักหนึ่ง เขาหยิบกรรไกรออกมาจากลิ้นชัก ขยับคมกรรไกรไปมาครู่หนึ่งอย่างไม่แน่ใจในตัวเอง เพื่อความแน่ใจ ยกหูโทรศัพท์ต่อไปยังเจ้าหน้าที่คนเดิมอีกครั้ง
“อะไรหรือครับ” เสียงเจ้าหน้าที่คนนั้นย้อนถาม น้ำเสียงมีแววงุนงงสงสัยเต็มที่
“อย่ามาล้อเล่นกับผมน่า” คุณหมอรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกไม่พอใจกับน้ำเสียงของอีกฝ่าย จึงสำทับไปด้วยเสียงหนักๆว่า
“ผมบอกให้คุณตรวจสอบดูอีกที”
“ตรวจสอบอะไรครับ” น้ำเสียงของเจ้าหน้าที่เหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยสักนิด
“คนไข้ไง คนไข้ห้อง 312 ที่ผมโทรมาให้ตรวจดูเมื่อครู่”
“โทรมาตอนไหนครับ ผมเพิ่งได้รับสายจากคุณหมอเป็นครั้งแรกของวันนี้ และห้อง 312 ที่คุณหมอบอกเป็นห้องว่างอยู่ตั้งนานแล้วครับ”
“อย่ามาล้อเล่นนะโว้ย...!” จิตแพทย์มือดีลุกขึ้นอย่างลืมตัว ร้องใส่โทรศัพท์สุดเสียง หน้ามืดด้วยแรงโทสะปะทุระเบิด จะมาทำตลกล้อเล่นไม่ได้เด็ดขาด เขาแทบมองเห็นใบรายงานความประพฤติการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวลอยไปมาเบื้องหน้าเป็นรูปแบบร่างเสียด้วยซ้ำ เขาระดับจิตแพทย์ชำนาญการพิเศษไม่ใช่เพื่อนเล่นของพวกแก.....!
“ใจเย็น ๆ นะครับ ผมจะมาหาหมอเดี๋ยวนี้ล่ะครับ” น้ำเสียงของเจ้าหน้าที่ร้อนรนตกใจกลัว ไม่มีแววล้อเล่นแม้แต่น้อย และน้ำเสียงพูดฟังแล้วเหมือนกับเสียงบรรดาคุณหมอเคยใช้กับคนไข้โรคจิตไม่มีผิด พระช่วย.....! จะมาหาพระแสงอะไร พวกมันเห็นฉันเป็นคนบ้าไปแล้วหรือ เขากระแทกหูโทรศัพท์อย่างแรง ทรุดตัวลงนั่ง หายใจหอบจนอกกระเพื่อม
ไอ้พวกบ้า...! พากันเป็นอะไรไปหมดแล้ว
ถุงบนโต๊ะขยับไปมาอีกครั้ง คราวนี้มองเห็นถนัดชัดตา เขาขบกรามแน่น หยิบมันขึ้นมาด้วยหัวใจเต้นแรงแบบไร้เหตุผล แม้พยายามบอกตัวเองว่าไม่มีอะไรอยู่ภายในถุงแม้แต่มดสักตัว พิจารณาครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจตัดปากถุงออกด้วยกรรไกรอย่างระมัดระวัง ทั้งที่รู้ว่าไม่จำเป็นต้องระวังอะไรเลยสักนิดเดียว แต่รู้สึกได้ว่ามือจับกรรไกรตัดปากถุงกำลังสั่นอย่างเห็นได้ชัด
เห็นไหม ไม่มีอะไร... เขาสูดลมหายใจลึก พยายามหัวเราะออกมาเหมือนคนใกล้เสียสติ เมื่อเปิดปากถุงกว้างและมองลงไปพบว่าไม่มีอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่า ไม่มีอะไรอย่างที่วิตก เขาคงอยู่กับคนไข้มากเกินไปจนโรคบ้าประสาทระบาดเข้าใส่ จิตแพทย์ผู้กำลังจะกลายเป็นคนไข้เสียเอง เอียงถุงรับแสงไปมา เหมือนคนย้ำคิดย้ำทำ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรอยู่ในถุงใบนั้นจริง ๆ
นอกจากความมืด.... !ก้นถุงดำทะมืนอยู่ภายใน ไม่ว่าเอียงมองมุมไหนอย่างไรก็มองไม่เห็นอะไรเลยสักนิด
“มันทาสีดำ”
เขาคำรามในลำคอ สีดำดูดกลืนแสงทั้งหมด มันจึงดูเป็นสีดำ ความรู้ชั้นเด็กประถมก็บอกได้ ทำไมไม่ลองควานมือดูล่ะ ถ้าจะให้แน่ใจ คุณหมอยืนงงกับตัวเองครู่หนึ่งกับอารมณ์และความกลัวที่พยายามเก็บกดมันไว้ในส่วนลึกที่สุด แต่มันกำลังดิ้นรนออกมาจากการควบคุม บางส่วนคืนคลานไปตามไขสันหลังจนรู้สึกเย็นยะเยือก ไม่น่าเชื่อว่าถุงปกติธรรมดาใบหนึ่ง จะสร้างเรื่องยุ่งยากวุ่นวายจนแทบประสาทเสียขนาดนี้ วูบหนึ่งเขาอยากจะส่งเสียงหัวเราะออกมาดังๆ แต่รีบเอามืออุดปากตัวเองไว้ เพราะคิดได้ว่านั่นไม่ใช่นิสัยของเขา
.