ลมรัก ลมลวง

กระทู้สนทนา
.

.

             รินรดาต้องขอขอบคุณวิชญา สามีหนุ่มผู้เคยจัดหาและรบเร้าให้เธอหัดการใช้ปืน โดยเหตุผลว่าเอาไว้ใช้ป้องกันตัวยามจำเป็น  หญิงสาวไม่เคยคิดเลยว่าจะมีโอกาสจะใช้งานจริง  เพียงแต่ไม่ใช่การป้องกันตัวตามจุดประสงค์เดิม แต่ตั้งใจจะใช้กับครูฝึกการยิงปืนประจำครอบครัวนั่นเอง ขอบคุณที่รัก...  หรับการสอนให้รู้สึกการยิงคน จะสมนาให้สาแก่ใจ

             ก่อนหน้านี้ความจริงเธอได้ระแคะระคายมานานแล้วว่า สามีตัวดีกับเพื่อนสาวร่วมที่ทำงาน  มีอะไรกันมากไปกว่าความเป็นเพื่อนร่วมงานธรรมดา เพียงยังหาหลักฐานชัดเจนไม่ได้  และใครจะคิดบ้างว่าหลักฐานตัวสำคัญจะมาปรากฏในห้องนอนในบ้านของเธอเอง ขอบคุณสำหรับอะไรบางอย่างดลใจให้กลับบ้านตั้งแต่เที่ยงวัน แทนที่จะเป็นพลบค่ำอย่างทุกวัน

             พอเห็นรถประจำตำแหน่งของสามีจอดหน้าบ้าน รินรดารีบดับเครื่องยนต์ห่างออกจากหน้าประตูรั้ว  เดินเข้าบ้านด้วยใจเต้นระทึก ใช้ลูกกุญแจ เปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบกริบ บริเวณชั้นล่างไม่พบอะไรผิดปกติ ความเป็นไปได้ของเรื่องราวข่าวลือจะต้องอยู่ชั้นสอง และคงไม่มีห้องไหนเหมาะสมมากไปกว่าห้องนอน

             เป็นไปตามคาดการ ผู้ชายบนเตียงคือสามีตัวดี สาวสวยนอนเคียงข้างกอดก่ายใต้ผ้าห่มครึ่งตัวเป็นคนในบริษัทเดียวกันกับฝ่ายชาย รินรดาเตรียมกายเตรียมใจไว้บ้างแล้ว จึงไม่ถึงกับกรีดร้องแล้วกระโดดกระทืบพื้นเร่าๆ แบบในละครทีวี  นั่นมันธรรมดาสากลเกินไป  เธอล่าถอยออกมาอย่างเงียบกริบแต่ใจใจเร่าร้อนราวไปนรกเผาผลาญ ใจสั่นมือสั่นเมื่อเห็นภาพพยานบุคคลต่อหน้าต่อตา  หนีไปบวชชีเลยดีไหม...ไม่มีทาง คนอย่างรินรดาไม่เคยคิดแก้ปัญหาด้วยการบวช ตอนนั้นเองที่เธอนึกถึงปืนในลิ้นชักในห้องเก็บของซึ่งอยู่ชั้นสองนี่เอง ลูกปืนเต็มลูกโม่ ถึงเวลาของภาคปฏิบัติจริงแล้ว

             ความหึงหวงปะทุท่วมท้นล้นออกมาทางสีหน้าแววตาราวปีศาจร้ายเข้าสิง ไม่มีคำว่าบาปกรรมนรกสวรรค์ ในใจมีเพียงอย่างเดียวคือ ฆ่ามันซะ! อารมณ์เวลาโมโหอยากฆ่าคนเป็นเช่นนี้เอง ไม่มีความยับยั้งชั่งใจอะไรทั้งนั้น

             เมื่อกลับเข้าไปในห้องนอนอีกครั้ง มีเพียงนังตัวแสบนอนระทวยกายอยู่บนเตียง เสียงอาบน้ำในห้องน้ำบอกให้รู้ว่าฝ่ายชายกำลังอาบน้ำ อย่างไม่รู้ว่ามัจจุราชหน้าสวยกำลังนำความตายมาเยือน   ไม่ต้องรอกันล่ะ  หญิงสาวยกปืนเล็งไปยังทรวงอกอวบอิ่มของมารหัวใจ   สวยนักใช่ไหม...คิดพลางเหนี่ยวไกปืนสองนัดซ้อนเสียงดังสนั่นหวั่นไหว   แม่นยำเข้าจุดตายทุกนัด  ร่างสาวสวยบนเตียงไม่มีโอกาสแม้จะลืมตาขึ้นมา เพียงกระตุกไปตามแรงกระสุนแล้วแน่นิ่ง

            ประตูห้องน้ำด้านข้างเปิดผางออกมาด้วยแรงกระแทก วิชญาออกมาอวดโฉมด้วยผ้าเช็ดตัวห่อหุ่มความหล่อผืนเดียว สีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด

             “ริน คุณทำบ้าอะไรของคุณ”

             คำตอบคือเสียงปืนสะท้านห้อง กระสุนเจาะเข้าอกด้านซ้ายตำแหน่งของหัวใจราวกับคนยิงตั้งใจยิง ร่างของชายหนุ่มผงะหงายหลังล้มกลิ้งหายเข้าไปในห้องน้ำ คนยิงก้าวตามเข้าไปดูในห้องน้ำเพื่อความแน่ใจและสาแก่ใจ  น่าแปลกว่าชายหนุ่มยังมีลมหายใจแม้จะโดนยิงจนบริเวณอกด้ายซ้ายมีเลือดไหลชุ่มโชก  เขาพยายามเอามือขวาปิดบาดแผลฉกรรจ์ ขณะมือซ้ายยันพื้นประคองตัวไว้อย่างยากลำบาก นัยน์ตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจสงสัย

             “คุณยิงผมทำไม”

             “คุณน่าจะรู้คำตอบดีนะคะวิช”   หญิงสาวแค่นเสียงหัวเราะปนเสียงสะอื้น  น้ำตาไหลพร่างพรู มือกำด้ามปืนสั่นระริก  “พาผู้หญิงเข้ามานอนถึงในบ้าน”

             “ผู้หญิงที่ไหน คุณพูดเรื่องอะ...”   พูดยังไม่ขาดคำ ชายหนุ่มก็เอียงตัวล้มฟาดลงกับพื้นห้องน้ำ  ทุกอย่างเหมือนกลับกลายเป็นสีแดงแห่งม่านมรณะ  ความตายแห่งการปลดปล่อยอย่างที่เคยได้ยินมา  สมควรแล้วกับความผิด ความตายยังน้อยเกินไป ความจริงเธออยากจับคนทั้งสองเสียบด้วยไม้เสียบลูกชิ้นขนาดใหญ่ แล้วปักตรึงให้ยืนตายทีละน้อยบริเวณหน้าบ้านให้คนได้รับรู้ หรือไม่ก็เชือดเนื้อเอาเกลือทาทำเนื้อแดดเดียวกินเป็นอาหารให้สาแก่ใจ

             ล่าถอยออกมาจากห้องน้ำ เพื่อหาวิธีจัดการกับศพ แต่แล้วต้องตะลึงยืนตัวแข็งทื่อ

             บนเตียงนอนไม่มีร่างของใครเลยสักคน  ไม่มีร่องรอยของเลือดสาดกระเซ็น  บนพื้นห้องไม่มีรอยเลือดเลยสักนิด  ศพหายไปไหน...  นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน  อย่าบอกนะว่าแม่สาวตัวดียังไม่ตาย แล้วลุกขึ้นมาเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเรียบร้อยแล้วหลบหายไป ไม่มีใครรวดเร็วหรือบ้าขนาดนั้น   ผี...หรือว่าผีหลอก  แต่เธอเพิ่งตายหยกๆ ไม่น่าจะคิดได้แล้วมาหลอกรวดเร็วราวสายฟ้าขนาดนี้  ตายปุ๊บหลอกปั๊บมันเกินไป เป็นไปไม่ได้...หญิงหันรีหันขวางอย่างคนไม่เข้าใจ แม้ว่าจะไม่เคยฆ่าคนมาก่อน แต่ก็แน่ใจว่าไม่ควรจะมีอะไรผิดปกติอย่างที่เห็น  

             มือชุ่มเลือดยืนออกมาจากห้องน้ำด้านข้างอย่างลำบาก  วิชญากำลังโซเซเกาะผนังออกมาอย่างยากลำบาก ใบหน้าขาวซีดหันมามองด้วยสายตาแค้นเคือง   เขาเพิ่งตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ  หญิงสาวครวญครางราวใจจะขาด ความหวาดกลัวผสมกับความไม่เข้าใจทำให้รู้สึกเย็นยะเยือกทั่วไขสันหลัง โดนยิงเข้ากลางหัวใจยังทะลึ่งมีหน้าลุกขึ้นมาโซเซ  ไม่มีทางเป็นไปได้ แถมยังผละจากการพยุงตัวเองกับผนัง เดินโยกเยกชูมือไขว่คว้าตรงเข้ามา   รินรดายกปืนในมือขึ้นเล็งไปยังศีรษะของผู้เป็นสามี เหนี่ยวไกเปรี้ยง ส่งกระสุนออกไประเบิดสมองจนกระจัดกระจาย ยิงซอมบี้ต้องยิงเข้าบริเวณสมอง และหวังว่ามันจะได้ผลอย่างในภาพยนตร์

             ความจริงเบื้องหน้าไม่เห็นเหมือนในหนังเลย ร่างของชายหนุ่มผงะหงายเซซวนไปทางด้านหลัง ก่อนเดินลำตัวบิดเบี้ยวโยกเยกตรงเข้ามาอีกครั้ง มือทั้งสองยื่นตรงมาราวกับจะโอบกอด  รินรดาร้องสุดเสียง สติแตกกระเจิดกระเจิง ผวาออกมาจากห้องนอน วิ่งเตลิดจะหนีลงมาชั้นล่าง แต่เสียหลักสะดุดเท้าตัวเองจนร่างล้มกลิ้งลงมาตามขั้นบันไดอย่างสิ้นท่า

             ภาพสุดท้ายที่ปรากฏในความรู้สึกคือ ชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่ง จับมือกันยืนหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอยู่เชิงบันไดขั้นสอง ท่าทางมีความสุขสนุกสนานเสียเต็มประดา


             “สรุปว่าคุณตกบันไดเพราะวิ่งหนี สามีกับเอ้อ...ชู้รักของเขา”

             นายแพทย์วัยกลางคน พูดหลังจากนั่งนิ่งรับฟัง เรื่องราวรายละเอียดต่างๆ จากคนไข้สาวผู้นอนบนเตียงในสภาพแขนซ้ายเข้าเฝือก ศีรษะมีผ้าพันแผล ลำตัวมีร่องรอยฟกช้ำหลายแห่งและยังมีสายน้ำเกลือต่อกับข้อมือแขนขวา  ถึงจะบาดเจ็บและมึนงง  แต่รินรดายังมีสติเล่าเรื่องราวอันน่าขนลุกให้คุณหมอฟังได้  แม้จะเสี่ยงต่อการถูกหาว่าวิปลาสฟั่นเฟือนก็ตาม ทุกอย่างยังกระจ่างจัดในความรู้สึก

             “แล้วคุณยอมรับว่าเป็นคนลงมือฆ่าคนทั้งสอง”

             “พวกเขาสองคนสมควรตาย”   เสียงของหญิงสาวยังคงมีแววแค้นเคืองไม่หาย  นายแพทย์ฟังแล้วลอบขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก คนเราทุกวันนี้พากันเป็นอะไรกัน เอะอะก็ใช้แต่ความรุนแรงเข้าแก้ปัญหา ฆ่ากันตายโดยบางทีไม่มีเหตุอันสมควร คนในครอบครัวก็เหมือนกัน แค่เลิกรักกัน ต่างฝ่ายควรลาจากกันไปด้วยดี ไม่เห็นต้องมาทำร้ายทำลายกัน ทางใครทางมันไม่ดีกว่าหรือ ความแค้นเคืองเหมือนจุดไฟนรกในหัวใจตน ไม่เพียงแต่เผาไหม้ตัวเอง ยังลามลุกไหม้คนอื่นไปด้วย คิดแล้วคุณหมอได้แต่รู้สึกเศร้าใจ แต่ด้วยหน้าที่ของหมอ การรักษายังคงต้องเดินหน้าต่อไป

             “คุณรินรดา กรุณาตั้งสติทบทวนนิดหนึ่งนะครับ  คุณไม่ได้ฆ่าใครเลย สามีของคุณตายไปตั้งหลายปีแล้ว”

             “อย่าล้อเล่นสิคะคุณหมอ”  คนไข้สาวฟังแล้วพยายามหัวเราะอย่างเห็นเป็นเรื่องขบขัน  ตายไปหลายปีได้อย่างไร เธอยังเป็นคนกระหน่ำยิงเขาไม่นานนี่เอง

             “มันเป็นกลไกในการป้องกันตัว คุณคิดไปเอง สงสัยต้องสั่งยาตัวใหม่ให้คุณแล้ว”

             ท่าทางของนายแพทย์หนุ่ม ไม่ค่อยสนใจคำพูดของอีกฝ่ายมากนัก เพราะรู้ว่าอธิบายไปก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าคนไข้ทางจิตยังไม่หายจากอาการคิดไปเอง เขาหันไปทางพยาบาลสาวผู้ช่วยซึ่งยืนอยู่ด้านหลังพลาง บอกชื่อยาให้เธอจดลงในสมุดบันทึกข้อมูลในมือ  คนไข้รายนี้มีอาการทางประสาท หลังจากสามีเสียชีวิตเพราะโดนกี๊กสาวยิงตายในห้องพักของโรงแรม เธอก็มีอาการจิตหลอนระดับรุนแรงจนหลุดพ้นไปจากโลกแห่งความเป็นจริง

             “เดี๋ยวนะคะคุณหมอ ดิฉันพอจะจำอะไรได้บ้างแล้ว”

             เสียงของคนไข้ทำให้คุณหมอผู้กำลังจะลุกขึ้นจากเก้าอี้หยุดชะงัก  แต่ก็เริ่มรู้สึกดีกับข่าวดีๆ

             “คุณจำเรื่องสามีได้แล้วหรือครับ”

             “ไม่คะ”  หญิงสาวจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเศร้า  “ดิฉันเพิ่งจำได้ว่า ไม่เคยเห็นหน้าคุณหมอมาก่อนเลย ใช่แล้ว...  คุณหมอไม่มีตัวตน เป็นเพียงภาพหลอนที่ดิฉันสร้างขึ้นมาเองเท่านั้น”

             คุณหมอสะดุ้ง  อยู่ดีๆ ถูกคนไข้หาว่าเป็นภาพหลอน  จะหลอนบ้าหลอนบออะไร ในเมื่อเขามีตัวตน มีครอบครัว มีความทรงจำยาวนาน ตั้งแต่สมัยจำความได้ สมัยเรียนผ่านเรื่องราวทั้งร้ายและดีมามากมาย จนกระทั่งมาเป็นหมอทางจิต และดูแลรักษาคนไข้รายนี้มานานแล้ว  หันไปหาพยาบาลเพื่อจะขอดูข้อมูลบางอย่างแต่เธอหายไปไหนไม่รู้

             “คุณพยาบาลก็เป็นภาพหลอนเหมือนกันค่ะ  เธอหายไปแล้ว”

             “คุณพูดบ้าอะไร”   อะไรบางอย่างทำให้ใจหายวาบอย่างไม่น่าเชื่อ  ทำไมแค่คำพูดของคนไข้มีผลมากมายขนาดนี้ จะต้องมีอะไรผิดปกติอย่างแน่นอน สายตาเริ่มพร่าเลือนความรู้สึกนึกคิดขาดหายเป็นระยะ อากาศเหมือนกำลังแทรกซึมเข้ามาในอณูกาย  แต่หูยังแว่วเสียงของคนไข้สาวพูดต่อไป

             “ถ้าเป็นเพียงภาพหลอน ก็หายไปได้ ไม่แปลกอะไร คุณหมอจะหายไปก็ได้นะคะ”

             “เฮ้ย...!”

             พูดยังไม่ทันขาดคำ คุณหมอก็พบว่าตัวเองกำลังค่อยจางหายไปในอากาศ ไม่มีความเจ็บปวดใดๆ มีแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่าอันชวนขนลุกเท่านั้น  ประวัติศาสตร์ยาวนาน ความจริง  และชีวิตทั้งหมด เป็นเพียงความทรงจำไม่จริง เป็นแค่ความทรงจำหลอนๆเท่านั้น ต่อให้ไขว่คว้าเกาะแน่นอย่างไร ก็เป็นความว่างเปล่า

             รินรดาจำได้แล้ว...  เธอลุกขึ้นจากเตียงโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บ ถ้าคุณหมอเป็นเพียงภาพหลอน อาการบาดเจ็บก็อาจเป็นเพียงอาการจิตหลอน  แต่ขณะดึงเข็มให้น้ำเกลือออกจากข้อมือ ยังรู้สึกถึงอาการเจ็บอย่างชัดเจน หรือว่าจะเจ็บแบบหลอนๆ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ เธอยังจำไม่ได้ว่าตัวเองมาอยู่ในโรงพยาบาลได้อย่างไร อะไรเกิดขึ้นในบ้านของเธอกันแน่ ถ้าคุณหมอเป็นภาพหลอนย่อมแสดงว่าทุกอย่างที่เขาพูดเป็นเรื่องไม่จริง วิชญาอาจยังไม่เป็นอะไร บางทีเขาอ่านรออยู่ที่บ้านก็เป็นได้ แต่เหตุการณ์ในบ้านหมายถึงอะไร ช่างเถอะ... ต้องหาทางกลับบ้านก่อน

             ทางเดินในตัวอาคารขวักไขว่ไปด้วยนายแพทย์ นางพยาบาล และเจ้าหน้าที่พนักงาน ทุกคนดูท่าทางรีบร้อนเหมือนฝูงมดงาน จนแทบไม่สนใจกัน ไม่สังเกตหรือสนใจเลยว่าขณะที่รินรดาเดินผ่าน หลายคนละลายหายไปเฉยๆ ใช่แล้ว... คนเหล่านั้นจำนวนมากเป็นภาพหลอน และเมื่อหญิงสาวหันหลังไปมองอีกครั้ง ทางเดินกลับเงียบสงบไร้ความสับสนวุ่นวายของผู้คน บรรยากาศเยือกเย็นเงียบสงบจนน่าใจหาย




.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่