บทที่ 13
http://ppantip.com/topic/35362844
พอเข้าวันที่สี่ ปีศาจหนุ่มรู้ว่าอยู่นิ่งเฉยไม่ได้เสียแล้ว รู้สึกถึงอันตรายกำลังคืบคลานเข้าหานางฟ้านิทรา
ร่างสูงยืนนิ่งอยู่ข้างเตียงของคนป่วย กำหนดจิตสำรวมใจตั้งสมาธิมุ่งหน้าเพื่อหาว่าสาวสวรรค์ไปหลงอยู่สถานที่ใดในโลกแห่งความเร้นลับ
==================
จอมใจอเวจี บทที่ 14
ความทรงจำ
==================
เฟรี่พบว่าตนเองกำลังหลงทางอยู่ในป่าอันรกร้างว่างเปล่าวังเวง เส้นทางเวียนวนไปมาแบบไม่รู้จบเหมือนอยู่ในเขาวงกต หมอกควันหนาทึบและสายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านมาเป็นระยะให้ความรู้สึกอ้างว้างเดียวดาย หัวใจระทึกไปด้วยความหวาดกลัว ความรู้สึกบางครั้งชัดเจนบางครั้งหนักอึ้งเลือนรางราวหมอกควัน บรรยากาศรอบกายคล้ายยามพลบค่ำ รอยต่อระหว่างความมืดและแสงสว่าง
ดงไม้ข้างทางสูงทะมึนสะบัดกิ่งใบเคลื่อนไหวไปมาเหมือนเงาของเหล่าปีศาจ เศษใบไม้หลุดร่วงลอยปะทะใบหน้าจนรู้สึกรำคาญ หญิงสาวพยายามเดินออกมาให้พ้นจากแนวป่าอย่างด้วยความเหน็ดเหนื่อยระคนหวาดกลัว หัวใจเต้นแผ่วอ่อนล้าราวจะปลิดปลิวหมดลมหายใจได้ทุกเมื่อ ความคิดเต็มไปด้วยความงุนงงสับสนกับสถานการณ์แปลกประหลาดอย่างไม่เคยพบมาก่อน
จนในที่สุดหลังผ่านการวนเวียนอยู่ในป่าปีศาจเนิ่นนานสายตาเริ่มมองเห็นถนนสายเล็กๆ เบื้องหน้าทอดยาวไกลออกไปนอกป่าทึบ เฟรี่รีบเร่งฝีเท้าตรงออกไปอย่างเร่งร้อนเพื่อให้พ้นดงไม้ผีสิงท่ามกลางกระแสลมแรงกระโชกไม่ขาดระยะ
พลันสายตาของนางฟ้าหลงทางมองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินไหวๆ อยู่ทางเดินเบื้องหน้าในเสื้อผ้าชุดดำราวความมืด มองจากด้านหลังเห็นเส้นผมยาวสยายถึงแผ่นหลัง ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ในสถานที่อันน่ากลัวถ้ามีเพื่อนเดินทางสักคนคงจะดีไม่น้อย เฟรี่เร่งฝีเท้าจนเหนื่อยหอบ แต่ก็ไม่สามารถเดินทันสาวลึกลับคนนั้นได้ เธอยังคงรักษาระยะห่างโดยสม่ำเสมอ
ผู้หญิงคนดังกล่าวเดินนำหน้าไปจนถึงสะพานหินโค้งยาวข้ามแม่น้ำขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ปลายสะพานอีกด้านหายไปในกลุ่มหมอกสีขาวมองไม่เห็นฝั่งตรงข้าม มันช่างเหมือนสายน้ำแห่งความตายเหลือเกิน เหนือผิวน้ำสีดำสนิทมีกลุ่มหมอกลอยปกคลุม ดูเหมือนว่าหมอกเหล่านั้นจะผุดพุ่งขึ้นมาจากแม่น้ำ มีกลิ่นไออันเย็นยะเยือกอย่างประหลาด
ร่างในชุดดำก้าวขึ้นไปบนสะพานโค้งโดยไม่หันหลังมามอง ธิดาตกสวรรค์เร่งฝีเท้าตามไปโดยไม่คิดระแวงอะไร บางทีข้ามแม่น้ำไปอาจจะเป็นทางออกจากสถานที่แห่งนี้ก็เป็นได้ พอคิดได้ หญิงสาวรีบก้าวเท้าติดตามหญิงสาวลึกลับคนนั้นไปเพื่อจะได้พูดคุยซักถามหรืออย่างน้อยก็จะได้เป็นเพื่อนกัน
“หยุดก่อน”
เสียงห้าวๆคุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลังทำเอาคนกำลังจะก้าวเท้าขึ้นสะพานสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ มือแข็งแรงข้างหนึ่งก็ดึงแขนรั้งเอาไว้
“ไนท์” ร้องด้วยความดีใจ มีสีหน้าดีขึ้นทันทีเมื่อเห็นร่างทะมึนชุดดำและหน้ากากโลหะสีขาวอันเย็นชาไร้ความรู้สึกยืนอยู่ข้างกาย ในที่สุดคนนำทางประหลาดคนนี้ก็โผล่มาแบบนึกไม่ถึงจนได้
“เจ้ารู้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่”
“เอาเป็นว่าข้ารู้ก็แล้วกัน” ปีศาจหนุ่มตอบเสียงเรียบ พลางปล่อยมือออกจากการเกาะกุมข้อมืออีกฝ่าย
“เราลองข้ามไปฝั่งนั้นดีไหม” เฟรี่ออกปากชวนพลางมองหาหญิงลึกลับ แต่เธอหายไปแล้วท่ามกลางกลุ่มหมอกควัน
“ข้าเห็นมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินนำหน้าข้ามา เหมือนจะนำทางให้ข้าข้ามไปฝั่งโน้น ข้ากำลังจะข้ามไปเจ้าก็โผล่มาพอดี จากไหนก็ไม่รู้”
“นำทางไปสู่ความตายน่ะสิ ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนนำวิญญาณ” ไนท์อธิบายช้าๆ แต่คำพูดทำให้คนฟังรู้สึกขนลุกเกรียวไปทั้งตัว
“เธอเป็นปีศาจนำวิญญาณข้ามไปยังโลกแห่งความตาย ถ้าข้ามไปเจ้าก็จะตายทันที ไม่อาจฟื้นขึ้นมาได้อีก ดินแดนที่เราอยู่ตอนนี้เป็นโลกระหว่างความเป็นและความตาย”
“ข้ายืนอยู่นี่ ฟื้นอะไร พูดเรื่องอะไรไม่เห็นเข้าใจ”
เอียงคอขึ้นเสียงถามด้วยสีหน้าท่าทางไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย ความทรงจำเลือนรางเหมือนกลุ่มหมอกควันรอบกาย นึกไม่ออกว่าตัวเองมาอยู่สถานที่น่ากลัวได้อย่างไร
“ข้าจะบอกให้นะ ว่าความจริงเจ้านอนป่วยหนักอยู่ในตึกของปีศาจขาว จำได้ไหม”
หญิงสาวทำสีหน้าท่าทางครุ่นคิดพักหนึ่งจึงพยักหน้าตอบด้วยสีหน้าไม่ค่อยแน่ใจนักว่า
“ข้า....จำวีนิลี่ได้... ข้าไม่ได้ความจำเสื่อมขนาดความจำอะไรไม่ได้...แต่จำไม่ได้ว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“เจ้าป่วยหนัก”
“ตลกน่า... ถึงจะรู้สึกไม่ดีเท่าไร แต่ก็ไม่ได้ป่วยไข้อะไรสักหน่อย ว่าแต่พาข้ากลับได้ไหม ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่”
ปีศาจหนุ่มถอนใจยาว มองอีกฝ่ายอย่างรู้สึกเห็นใจพลางบอกว่า
“เจ้ากลับยังไม่ได้หรอก ร่างกายของเจ้ายังรับไม่ได้ ชอบไม่ชอบเจ้าต้องอยู่ไปก่อนจนกว่าข้าจะหาทางช่วยเจ้าได้ และจำไว้อย่างหนึ่งว่าอย่าเดินข้ามสะพานไปฝั่งโน้นเด็ดขาดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”
“ทำไมกัน” หญิงสาวโวยวาย เข้ามาจับแขนอีกฝ่ายเขย่าไปมาอย่างอ้อนวอน “เจ้ามาได้ก็ต้องพาข้ากลับได้สิ นะๆ...พาข้ากลับไปด้วยข้าเหนื่อยมากรู้ไหม”
“เชื่อใจสิ ข้าจะกลับมาช่วยเจ้าแน่นอน แต่ต้องรออักสักระยะ อย่าดื้อสิ”
“แล้วจะปล่อยให้ข้าอยู่คนเดียวได้อย่างไร”
คนฟังมีสีหน้าเสียลงทันที ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ เมินหน้าไปทางอื่นกับอาการน้ำตาคลอเบ้าและเริ่มไหลออกมาเป็นสายจนต้องยกแขนเสื้อเช็ดน้ำตาบนใบหน้าไปมา อีกฝ่ายยืนนิ่งแต่ความรู้สึกภายในหนักอึ้งราวถูกถ่วงด้วยศิลาพันชั่ง ในที่สุดพยายามอธิบายอย่างช้าๆว่า
“ถ้าข้าพาเจ้ากลับ จิตของเจ้าจะต้องทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็น บอกแล้วไงว่าร่างกายของเจ้ายังไม่พร้อม ร่างกายและจิตใจต้องสัมพันธ์กัน อดทนอยู่ที่นี่สักพัก ยังไงข้าก็สามารถหาเจ้าจนเจอล่ะน่า สัญญาว่าจะพาเจ้ากลับอย่างแน่นอน ว่าแต่หลบให้พ้นจากสะพานก่อนดีกว่า”
ว่าแล้วปีศาจหนุ่มก็หันกายก้าวเดินนำทางออกไปมุ่งหน้าออกจากเส้นขีดคั่นของความเป็นและความตายตรงไปทางป่าโปร่งบริเวณเนินเขาห่างออกไปไม่ไกลเพื่อความปลอดภัย บรรยากาศคลายความหม่นมัวหนักอึ้งลงจนทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง
“เราอยู่ตรงส่วนไหนของจักรวาลกันแน่” เสียงใสของนางฟ้าตกสวรรค์ดังมาจากด้านหลังพร้อมกับมือดึงแขนเสื้อเอาไว้เป็นเชิงบอกให้เดินช้าลง
“ข้าเองก็ไม่รู้หรอกนะ รู้แต่ว่าข้ามีวิธีมาหาเจ้าได้แล้วก็แล้วกัน”
“ด้วยวิธีไหนกัน”
“เจ้าไม่ต้องรู้หรอกน่า”
“ทำไมข้าจะรู้ไม่ได้ล่ะ บอกนิดเดียวก็ได้”
คราวนี้ปีศาจหนุ่มหยุดเดินหันกลับมามองผู้ติดตามแล้วโคลงหัวไปมากับความอยากรู้อยากเห็นของอีกฝ่าย เห็นสายตาจับจ้องมองมาอย่างสงสัยใคร่รู้จริงๆ ทำให้รู้สึกรำคาญปนขบขัน แต่แสร้งพูดเสียงดังตัดบทไปว่า
“โลกของเจ้าและโลกของข้าไม่เหมือนกัน บางอย่างมันอธิบายไม่ได้ ถ้าจะรู้ก็ต้องรู้ด้วยตัวเอง อย่าถามอะไรให้มากนัก”
หญิงสาวเอียงคอมองคนเสียงดังแล้วอมยิ้ม ไม่ได้หวาดกลัวอะไรกับท่าทางของอีกฝ่าย แล้วพยักหน้ากับตัวเอง พูดขึ้นว่า
“อ้อ...เจ้าเป็นพวกปัจเจกปีศาจนี่เอง ก็ได้...ก็ได้...ไม่ถามก็ได้”
“ปัจเจกปีศาจของเจ้าหมายถึงอะไร” ปีศาจหนุ่มถามด้วยความสงสัย เป็นที่ของเฟรี่โต้กลับบ้างล่ะ จงใจยิ้มกวนๆ แล้วเน้นเสียงพูดช้าๆ ว่า
“...บางอย่างมันอธิบายไม่ได้ ถ้าจะรู้ก็ต้องรู้ด้วยตัวเอง อย่าถามอะไรให้มากนัก”
เป็นคำพูดของปีศาจหนุ่มชัดๆ คนฟังได้แต่ส่ายหน้าให้กับความกวนประสาทของอีกฝ่าย แต่ก่อนจะโต้ตอบอะไรสายตาของไนท์ก็มองเห็นบางอย่างอยู่ด้านหลัง จึงดึงมือคนข้างตัวหลบเข้าร่มเงาไม้ใหญ่ข้างทางต้นหนึ่ง ก่อนชี้มือให้เฟรี่หันกลับไปมองเส้นทางที่เพิ่งเดินผ่านมา
จากจุดบริเวณที่ทั้งสองยืนอยู่ ยังพอมองเห็นถนนมุ่งหน้าไปยังสะพานโค้งข้ามแม่น้ำได้แม้จะไม่ชัดเจนมากนักเพราะกลุ่มหมอกและความหม่นมัวของบรรยากาศ แสงของดวงไฟหลายสิบดวงสว่างเรียงรายลอยมุ่งหน้าไปยังสะพานข้ามแม่น้ำมรณะเป็นสายยาว หญิงสาวรีบหลบวูบมาอยู่ด้านหลังของปีศาจหนามทันทีเอาเป็นที่กำบังไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย
“ดวงไฟนั่นคืออะไรเหรอ” กระซิบถามมาจากด้านหลัง เอียงตัวมองจากข้างไหล่ของตัวร่างสูง
“ดวงจิตของคนตายยังไงล่ะ กำลังพากันข้ามไปฝั่งโน้น”
ข้ามไปก็หมายถึงการตายถาวร หญิงสาวคิดด้วยความรู้สึกหดหู่พลางถอนใจยาวแล้วถามขึ้นว่า
“เราช่วยพวกเขาไม่ได้หรือ”
“ช่วยยังไง”
“อย่างที่เจ้าช่วยข้า”
“มันคนละกรณีกัน เจ้ายังไม่ได้ตายแบบสมบูรณ์แบบสักหน่อย”
“ทำไมต้องตายด้วยนะ....” เฟรี่พูดเหมือนรำพึงรำพันกับตัวเองมากกว่าจะถามใคร แต่เสียงทุ้มห้าวกลับตอบมาว่า
“เพราะความตายทำให้ชีวิตสำคัญและมีค่ายังไงล่ะ” ว่าพลางดึงแขนนางฟ้าจอมยุ่งเข้ามาใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างทางแล้วบอกอีกว่า
“เจ้ารอที่นี่ ห้ามไปไหนทั้งนั้น ไมว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วจะได้กลับไปเองเมื่อถึงเวลา” ปีศาจหนุ่มล้วงมือไปในอกเสื้อ หยิบเอาก้อนหินก้อนเล็กๆ ออกมา ดึงมือของสาวเจ้าน้ำตามาก่อนวางก้อนหินลงบนฝ่ามือของเฟรี่แล้วรวบมือน้อยให้กำก้อนหินเอาไว้ พลางกำชับด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า
“อย่าทิ้งก้อนหินนี้เป็นอันขาด มันจะช่วยเจ้าให้พ้นจากอันตราย”
หญิงสาวรับมาดูแบบงงๆ เห็นเป็นก้อนหินรูปไข่ขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือมีประกายแวววาวราวมีดารารายวนเวียนอยู่ภายในสวยงามพิสดาร แต่จะใช้ประโยชน์อะไรได้บ้างนะ เอาไปขว้างใส่หัวคนอื่นก็คงไม่ทำให้สะดุ้งสะเทือน แต่ไม่มีเวลาคิดหาเหตุผลอะไรทั้งนั้น
“ไม่เอา ข้าจะกลับเดี๋ยวนี้”
พูดแทบไม่ทันขาดคำร่างของปีศาจหนุ่มก็หายวับไปกับตา หญิงสาวอ้าปากค้างด้วยความตกใจแปลกใจและสับสน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พอคู่กรณีหายไปก็ดูเหมือนจะพาเอาความอบอุ่นปกป้องคุ้มครองหายไปด้วย ดูสิ..ปีศาจบ้าบอคอแตกใจร้าย...บทจะไปก็ไปเอาดื้อๆ แบบไปไม่ลา มาไม่บอก... คนผีอเวจีแบบนี้ก็มี แล้วทำไมต้องหายไปต่อหน้าต่อตาแบบไร้มารยาทด้วย ถึงเป็นปีศาจก็ไม่เห็นจำเป็นต้องทำอะไรประหลาดหลุดนรกเลย
ทิ้งเราไว้คนเดียว.....แล้วจะอยู่ได้อย่างไร น่ากลัวออกจะตาย
มองไปทางสะพานโค้งข้ามสายธารมรณะพบว่าได้กลืนหายไปในกลุ่มหมอกสีขาว กลุ่มดวงไฟลึกลับหายไปหมดแล้วร่มเงาไม้ด้านบนมืดครึ้มแต่ให้ความรู้สึกปกป้องปลอดภัยมากกว่าอยู่ที่โล่ง สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านเป็นระยะแว่วเสียงเรียกชื่อเฟรี่..เฟรี่...ราวกับมีคนกำลังตามหา หญิงสาวเอียงหูฟังอย่างไม่แน่ใจ แต่แล้วเสียงเรียกขานก็ดังใกล้เข้ามาทุกที
ไม่น่าเป็นไปได้ว่าจะมีใครเดินตามหาในแดนสนทยาแห่งนี้ ความไม่แน่ใจทำให้ต้องถอยหลบลึกเข้าไปในเงาไม้เข้าไปอีก จ้องมองไปตามทิศทางของเสียงเรียกด้วยหัวใจเต้นแรง
จนในที่สุดเจ้าของเสียงก็ปรากฏตัวออกมาจากกลุ่มหมอกในระยะมองเห็นชัดเจนว่าเป็นผู้หญิงชุดดำยาวเรือนผมยาวปลิวสยายกับสายลม และมุ่งหน้าตรงเข้ามาหาด้วยการย่างก้าวอย่างแช่มช้า รอบตัวมีแสงจางๆ สีฟ้าอ่อน ราวกับเปล่งประกายได้
“เฟรี่ ข้ามารับเจ้า ออกมาหาข้าเถอะ”
เสียงเรียกชักชวนราวมีมนต์ขลังเร้นลับชักนำให้ทำตามเหลือเกิน
.....
จอมใจอเวจี.........บทที่ 14 ความทรงจำ
บทที่ 13
http://ppantip.com/topic/35362844
พอเข้าวันที่สี่ ปีศาจหนุ่มรู้ว่าอยู่นิ่งเฉยไม่ได้เสียแล้ว รู้สึกถึงอันตรายกำลังคืบคลานเข้าหานางฟ้านิทรา
ร่างสูงยืนนิ่งอยู่ข้างเตียงของคนป่วย กำหนดจิตสำรวมใจตั้งสมาธิมุ่งหน้าเพื่อหาว่าสาวสวรรค์ไปหลงอยู่สถานที่ใดในโลกแห่งความเร้นลับ
==================
จอมใจอเวจี บทที่ 14
ความทรงจำ
==================
เฟรี่พบว่าตนเองกำลังหลงทางอยู่ในป่าอันรกร้างว่างเปล่าวังเวง เส้นทางเวียนวนไปมาแบบไม่รู้จบเหมือนอยู่ในเขาวงกต หมอกควันหนาทึบและสายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านมาเป็นระยะให้ความรู้สึกอ้างว้างเดียวดาย หัวใจระทึกไปด้วยความหวาดกลัว ความรู้สึกบางครั้งชัดเจนบางครั้งหนักอึ้งเลือนรางราวหมอกควัน บรรยากาศรอบกายคล้ายยามพลบค่ำ รอยต่อระหว่างความมืดและแสงสว่าง
ดงไม้ข้างทางสูงทะมึนสะบัดกิ่งใบเคลื่อนไหวไปมาเหมือนเงาของเหล่าปีศาจ เศษใบไม้หลุดร่วงลอยปะทะใบหน้าจนรู้สึกรำคาญ หญิงสาวพยายามเดินออกมาให้พ้นจากแนวป่าอย่างด้วยความเหน็ดเหนื่อยระคนหวาดกลัว หัวใจเต้นแผ่วอ่อนล้าราวจะปลิดปลิวหมดลมหายใจได้ทุกเมื่อ ความคิดเต็มไปด้วยความงุนงงสับสนกับสถานการณ์แปลกประหลาดอย่างไม่เคยพบมาก่อน
จนในที่สุดหลังผ่านการวนเวียนอยู่ในป่าปีศาจเนิ่นนานสายตาเริ่มมองเห็นถนนสายเล็กๆ เบื้องหน้าทอดยาวไกลออกไปนอกป่าทึบ เฟรี่รีบเร่งฝีเท้าตรงออกไปอย่างเร่งร้อนเพื่อให้พ้นดงไม้ผีสิงท่ามกลางกระแสลมแรงกระโชกไม่ขาดระยะ
พลันสายตาของนางฟ้าหลงทางมองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินไหวๆ อยู่ทางเดินเบื้องหน้าในเสื้อผ้าชุดดำราวความมืด มองจากด้านหลังเห็นเส้นผมยาวสยายถึงแผ่นหลัง ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ในสถานที่อันน่ากลัวถ้ามีเพื่อนเดินทางสักคนคงจะดีไม่น้อย เฟรี่เร่งฝีเท้าจนเหนื่อยหอบ แต่ก็ไม่สามารถเดินทันสาวลึกลับคนนั้นได้ เธอยังคงรักษาระยะห่างโดยสม่ำเสมอ
ผู้หญิงคนดังกล่าวเดินนำหน้าไปจนถึงสะพานหินโค้งยาวข้ามแม่น้ำขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ปลายสะพานอีกด้านหายไปในกลุ่มหมอกสีขาวมองไม่เห็นฝั่งตรงข้าม มันช่างเหมือนสายน้ำแห่งความตายเหลือเกิน เหนือผิวน้ำสีดำสนิทมีกลุ่มหมอกลอยปกคลุม ดูเหมือนว่าหมอกเหล่านั้นจะผุดพุ่งขึ้นมาจากแม่น้ำ มีกลิ่นไออันเย็นยะเยือกอย่างประหลาด
ร่างในชุดดำก้าวขึ้นไปบนสะพานโค้งโดยไม่หันหลังมามอง ธิดาตกสวรรค์เร่งฝีเท้าตามไปโดยไม่คิดระแวงอะไร บางทีข้ามแม่น้ำไปอาจจะเป็นทางออกจากสถานที่แห่งนี้ก็เป็นได้ พอคิดได้ หญิงสาวรีบก้าวเท้าติดตามหญิงสาวลึกลับคนนั้นไปเพื่อจะได้พูดคุยซักถามหรืออย่างน้อยก็จะได้เป็นเพื่อนกัน
“หยุดก่อน”
เสียงห้าวๆคุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลังทำเอาคนกำลังจะก้าวเท้าขึ้นสะพานสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ มือแข็งแรงข้างหนึ่งก็ดึงแขนรั้งเอาไว้
“ไนท์” ร้องด้วยความดีใจ มีสีหน้าดีขึ้นทันทีเมื่อเห็นร่างทะมึนชุดดำและหน้ากากโลหะสีขาวอันเย็นชาไร้ความรู้สึกยืนอยู่ข้างกาย ในที่สุดคนนำทางประหลาดคนนี้ก็โผล่มาแบบนึกไม่ถึงจนได้
“เจ้ารู้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่”
“เอาเป็นว่าข้ารู้ก็แล้วกัน” ปีศาจหนุ่มตอบเสียงเรียบ พลางปล่อยมือออกจากการเกาะกุมข้อมืออีกฝ่าย
“เราลองข้ามไปฝั่งนั้นดีไหม” เฟรี่ออกปากชวนพลางมองหาหญิงลึกลับ แต่เธอหายไปแล้วท่ามกลางกลุ่มหมอกควัน
“ข้าเห็นมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินนำหน้าข้ามา เหมือนจะนำทางให้ข้าข้ามไปฝั่งโน้น ข้ากำลังจะข้ามไปเจ้าก็โผล่มาพอดี จากไหนก็ไม่รู้”
“นำทางไปสู่ความตายน่ะสิ ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนนำวิญญาณ” ไนท์อธิบายช้าๆ แต่คำพูดทำให้คนฟังรู้สึกขนลุกเกรียวไปทั้งตัว
“เธอเป็นปีศาจนำวิญญาณข้ามไปยังโลกแห่งความตาย ถ้าข้ามไปเจ้าก็จะตายทันที ไม่อาจฟื้นขึ้นมาได้อีก ดินแดนที่เราอยู่ตอนนี้เป็นโลกระหว่างความเป็นและความตาย”
“ข้ายืนอยู่นี่ ฟื้นอะไร พูดเรื่องอะไรไม่เห็นเข้าใจ”
เอียงคอขึ้นเสียงถามด้วยสีหน้าท่าทางไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย ความทรงจำเลือนรางเหมือนกลุ่มหมอกควันรอบกาย นึกไม่ออกว่าตัวเองมาอยู่สถานที่น่ากลัวได้อย่างไร
“ข้าจะบอกให้นะ ว่าความจริงเจ้านอนป่วยหนักอยู่ในตึกของปีศาจขาว จำได้ไหม”
หญิงสาวทำสีหน้าท่าทางครุ่นคิดพักหนึ่งจึงพยักหน้าตอบด้วยสีหน้าไม่ค่อยแน่ใจนักว่า
“ข้า....จำวีนิลี่ได้... ข้าไม่ได้ความจำเสื่อมขนาดความจำอะไรไม่ได้...แต่จำไม่ได้ว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“เจ้าป่วยหนัก”
“ตลกน่า... ถึงจะรู้สึกไม่ดีเท่าไร แต่ก็ไม่ได้ป่วยไข้อะไรสักหน่อย ว่าแต่พาข้ากลับได้ไหม ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่”
ปีศาจหนุ่มถอนใจยาว มองอีกฝ่ายอย่างรู้สึกเห็นใจพลางบอกว่า
“เจ้ากลับยังไม่ได้หรอก ร่างกายของเจ้ายังรับไม่ได้ ชอบไม่ชอบเจ้าต้องอยู่ไปก่อนจนกว่าข้าจะหาทางช่วยเจ้าได้ และจำไว้อย่างหนึ่งว่าอย่าเดินข้ามสะพานไปฝั่งโน้นเด็ดขาดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”
“ทำไมกัน” หญิงสาวโวยวาย เข้ามาจับแขนอีกฝ่ายเขย่าไปมาอย่างอ้อนวอน “เจ้ามาได้ก็ต้องพาข้ากลับได้สิ นะๆ...พาข้ากลับไปด้วยข้าเหนื่อยมากรู้ไหม”
“เชื่อใจสิ ข้าจะกลับมาช่วยเจ้าแน่นอน แต่ต้องรออักสักระยะ อย่าดื้อสิ”
“แล้วจะปล่อยให้ข้าอยู่คนเดียวได้อย่างไร”
คนฟังมีสีหน้าเสียลงทันที ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ เมินหน้าไปทางอื่นกับอาการน้ำตาคลอเบ้าและเริ่มไหลออกมาเป็นสายจนต้องยกแขนเสื้อเช็ดน้ำตาบนใบหน้าไปมา อีกฝ่ายยืนนิ่งแต่ความรู้สึกภายในหนักอึ้งราวถูกถ่วงด้วยศิลาพันชั่ง ในที่สุดพยายามอธิบายอย่างช้าๆว่า
“ถ้าข้าพาเจ้ากลับ จิตของเจ้าจะต้องทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็น บอกแล้วไงว่าร่างกายของเจ้ายังไม่พร้อม ร่างกายและจิตใจต้องสัมพันธ์กัน อดทนอยู่ที่นี่สักพัก ยังไงข้าก็สามารถหาเจ้าจนเจอล่ะน่า สัญญาว่าจะพาเจ้ากลับอย่างแน่นอน ว่าแต่หลบให้พ้นจากสะพานก่อนดีกว่า”
ว่าแล้วปีศาจหนุ่มก็หันกายก้าวเดินนำทางออกไปมุ่งหน้าออกจากเส้นขีดคั่นของความเป็นและความตายตรงไปทางป่าโปร่งบริเวณเนินเขาห่างออกไปไม่ไกลเพื่อความปลอดภัย บรรยากาศคลายความหม่นมัวหนักอึ้งลงจนทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง
“เราอยู่ตรงส่วนไหนของจักรวาลกันแน่” เสียงใสของนางฟ้าตกสวรรค์ดังมาจากด้านหลังพร้อมกับมือดึงแขนเสื้อเอาไว้เป็นเชิงบอกให้เดินช้าลง
“ข้าเองก็ไม่รู้หรอกนะ รู้แต่ว่าข้ามีวิธีมาหาเจ้าได้แล้วก็แล้วกัน”
“ด้วยวิธีไหนกัน”
“เจ้าไม่ต้องรู้หรอกน่า”
“ทำไมข้าจะรู้ไม่ได้ล่ะ บอกนิดเดียวก็ได้”
คราวนี้ปีศาจหนุ่มหยุดเดินหันกลับมามองผู้ติดตามแล้วโคลงหัวไปมากับความอยากรู้อยากเห็นของอีกฝ่าย เห็นสายตาจับจ้องมองมาอย่างสงสัยใคร่รู้จริงๆ ทำให้รู้สึกรำคาญปนขบขัน แต่แสร้งพูดเสียงดังตัดบทไปว่า
“โลกของเจ้าและโลกของข้าไม่เหมือนกัน บางอย่างมันอธิบายไม่ได้ ถ้าจะรู้ก็ต้องรู้ด้วยตัวเอง อย่าถามอะไรให้มากนัก”
หญิงสาวเอียงคอมองคนเสียงดังแล้วอมยิ้ม ไม่ได้หวาดกลัวอะไรกับท่าทางของอีกฝ่าย แล้วพยักหน้ากับตัวเอง พูดขึ้นว่า
“อ้อ...เจ้าเป็นพวกปัจเจกปีศาจนี่เอง ก็ได้...ก็ได้...ไม่ถามก็ได้”
“ปัจเจกปีศาจของเจ้าหมายถึงอะไร” ปีศาจหนุ่มถามด้วยความสงสัย เป็นที่ของเฟรี่โต้กลับบ้างล่ะ จงใจยิ้มกวนๆ แล้วเน้นเสียงพูดช้าๆ ว่า
“...บางอย่างมันอธิบายไม่ได้ ถ้าจะรู้ก็ต้องรู้ด้วยตัวเอง อย่าถามอะไรให้มากนัก”
เป็นคำพูดของปีศาจหนุ่มชัดๆ คนฟังได้แต่ส่ายหน้าให้กับความกวนประสาทของอีกฝ่าย แต่ก่อนจะโต้ตอบอะไรสายตาของไนท์ก็มองเห็นบางอย่างอยู่ด้านหลัง จึงดึงมือคนข้างตัวหลบเข้าร่มเงาไม้ใหญ่ข้างทางต้นหนึ่ง ก่อนชี้มือให้เฟรี่หันกลับไปมองเส้นทางที่เพิ่งเดินผ่านมา
จากจุดบริเวณที่ทั้งสองยืนอยู่ ยังพอมองเห็นถนนมุ่งหน้าไปยังสะพานโค้งข้ามแม่น้ำได้แม้จะไม่ชัดเจนมากนักเพราะกลุ่มหมอกและความหม่นมัวของบรรยากาศ แสงของดวงไฟหลายสิบดวงสว่างเรียงรายลอยมุ่งหน้าไปยังสะพานข้ามแม่น้ำมรณะเป็นสายยาว หญิงสาวรีบหลบวูบมาอยู่ด้านหลังของปีศาจหนามทันทีเอาเป็นที่กำบังไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย
“ดวงไฟนั่นคืออะไรเหรอ” กระซิบถามมาจากด้านหลัง เอียงตัวมองจากข้างไหล่ของตัวร่างสูง
“ดวงจิตของคนตายยังไงล่ะ กำลังพากันข้ามไปฝั่งโน้น”
ข้ามไปก็หมายถึงการตายถาวร หญิงสาวคิดด้วยความรู้สึกหดหู่พลางถอนใจยาวแล้วถามขึ้นว่า
“เราช่วยพวกเขาไม่ได้หรือ”
“ช่วยยังไง”
“อย่างที่เจ้าช่วยข้า”
“มันคนละกรณีกัน เจ้ายังไม่ได้ตายแบบสมบูรณ์แบบสักหน่อย”
“ทำไมต้องตายด้วยนะ....” เฟรี่พูดเหมือนรำพึงรำพันกับตัวเองมากกว่าจะถามใคร แต่เสียงทุ้มห้าวกลับตอบมาว่า
“เพราะความตายทำให้ชีวิตสำคัญและมีค่ายังไงล่ะ” ว่าพลางดึงแขนนางฟ้าจอมยุ่งเข้ามาใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างทางแล้วบอกอีกว่า
“เจ้ารอที่นี่ ห้ามไปไหนทั้งนั้น ไมว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วจะได้กลับไปเองเมื่อถึงเวลา” ปีศาจหนุ่มล้วงมือไปในอกเสื้อ หยิบเอาก้อนหินก้อนเล็กๆ ออกมา ดึงมือของสาวเจ้าน้ำตามาก่อนวางก้อนหินลงบนฝ่ามือของเฟรี่แล้วรวบมือน้อยให้กำก้อนหินเอาไว้ พลางกำชับด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า
“อย่าทิ้งก้อนหินนี้เป็นอันขาด มันจะช่วยเจ้าให้พ้นจากอันตราย”
หญิงสาวรับมาดูแบบงงๆ เห็นเป็นก้อนหินรูปไข่ขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือมีประกายแวววาวราวมีดารารายวนเวียนอยู่ภายในสวยงามพิสดาร แต่จะใช้ประโยชน์อะไรได้บ้างนะ เอาไปขว้างใส่หัวคนอื่นก็คงไม่ทำให้สะดุ้งสะเทือน แต่ไม่มีเวลาคิดหาเหตุผลอะไรทั้งนั้น
“ไม่เอา ข้าจะกลับเดี๋ยวนี้”
พูดแทบไม่ทันขาดคำร่างของปีศาจหนุ่มก็หายวับไปกับตา หญิงสาวอ้าปากค้างด้วยความตกใจแปลกใจและสับสน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พอคู่กรณีหายไปก็ดูเหมือนจะพาเอาความอบอุ่นปกป้องคุ้มครองหายไปด้วย ดูสิ..ปีศาจบ้าบอคอแตกใจร้าย...บทจะไปก็ไปเอาดื้อๆ แบบไปไม่ลา มาไม่บอก... คนผีอเวจีแบบนี้ก็มี แล้วทำไมต้องหายไปต่อหน้าต่อตาแบบไร้มารยาทด้วย ถึงเป็นปีศาจก็ไม่เห็นจำเป็นต้องทำอะไรประหลาดหลุดนรกเลย
ทิ้งเราไว้คนเดียว.....แล้วจะอยู่ได้อย่างไร น่ากลัวออกจะตาย
มองไปทางสะพานโค้งข้ามสายธารมรณะพบว่าได้กลืนหายไปในกลุ่มหมอกสีขาว กลุ่มดวงไฟลึกลับหายไปหมดแล้วร่มเงาไม้ด้านบนมืดครึ้มแต่ให้ความรู้สึกปกป้องปลอดภัยมากกว่าอยู่ที่โล่ง สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านเป็นระยะแว่วเสียงเรียกชื่อเฟรี่..เฟรี่...ราวกับมีคนกำลังตามหา หญิงสาวเอียงหูฟังอย่างไม่แน่ใจ แต่แล้วเสียงเรียกขานก็ดังใกล้เข้ามาทุกที
ไม่น่าเป็นไปได้ว่าจะมีใครเดินตามหาในแดนสนทยาแห่งนี้ ความไม่แน่ใจทำให้ต้องถอยหลบลึกเข้าไปในเงาไม้เข้าไปอีก จ้องมองไปตามทิศทางของเสียงเรียกด้วยหัวใจเต้นแรง
จนในที่สุดเจ้าของเสียงก็ปรากฏตัวออกมาจากกลุ่มหมอกในระยะมองเห็นชัดเจนว่าเป็นผู้หญิงชุดดำยาวเรือนผมยาวปลิวสยายกับสายลม และมุ่งหน้าตรงเข้ามาหาด้วยการย่างก้าวอย่างแช่มช้า รอบตัวมีแสงจางๆ สีฟ้าอ่อน ราวกับเปล่งประกายได้
“เฟรี่ ข้ามารับเจ้า ออกมาหาข้าเถอะ”
เสียงเรียกชักชวนราวมีมนต์ขลังเร้นลับชักนำให้ทำตามเหลือเกิน
.....