จอมใจอเวจี.........บทที่ 14 ความทรงจำ

กระทู้สนทนา


บทที่ 13
http://ppantip.com/topic/35362844
พอเข้าวันที่สี่ ปีศาจหนุ่มรู้ว่าอยู่นิ่งเฉยไม่ได้เสียแล้ว รู้สึกถึงอันตรายกำลังคืบคลานเข้าหานางฟ้านิทรา
ร่างสูงยืนนิ่งอยู่ข้างเตียงของคนป่วย กำหนดจิตสำรวมใจตั้งสมาธิมุ่งหน้าเพื่อหาว่าสาวสวรรค์ไปหลงอยู่สถานที่ใดในโลกแห่งความเร้นลับ


==================
จอมใจอเวจี  บทที่ 14
ความทรงจำ

==================



             เฟรี่พบว่าตนเองกำลังหลงทางอยู่ในป่าอันรกร้างว่างเปล่าวังเวง เส้นทางเวียนวนไปมาแบบไม่รู้จบเหมือนอยู่ในเขาวงกต หมอกควันหนาทึบและสายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านมาเป็นระยะให้ความรู้สึกอ้างว้างเดียวดาย หัวใจระทึกไปด้วยความหวาดกลัว  ความรู้สึกบางครั้งชัดเจนบางครั้งหนักอึ้งเลือนรางราวหมอกควัน บรรยากาศรอบกายคล้ายยามพลบค่ำ รอยต่อระหว่างความมืดและแสงสว่าง

             ดงไม้ข้างทางสูงทะมึนสะบัดกิ่งใบเคลื่อนไหวไปมาเหมือนเงาของเหล่าปีศาจ เศษใบไม้หลุดร่วงลอยปะทะใบหน้าจนรู้สึกรำคาญ หญิงสาวพยายามเดินออกมาให้พ้นจากแนวป่าอย่างด้วยความเหน็ดเหนื่อยระคนหวาดกลัว หัวใจเต้นแผ่วอ่อนล้าราวจะปลิดปลิวหมดลมหายใจได้ทุกเมื่อ ความคิดเต็มไปด้วยความงุนงงสับสนกับสถานการณ์แปลกประหลาดอย่างไม่เคยพบมาก่อน

             จนในที่สุดหลังผ่านการวนเวียนอยู่ในป่าปีศาจเนิ่นนานสายตาเริ่มมองเห็นถนนสายเล็กๆ เบื้องหน้าทอดยาวไกลออกไปนอกป่าทึบ เฟรี่รีบเร่งฝีเท้าตรงออกไปอย่างเร่งร้อนเพื่อให้พ้นดงไม้ผีสิงท่ามกลางกระแสลมแรงกระโชกไม่ขาดระยะ

             พลันสายตาของนางฟ้าหลงทางมองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินไหวๆ อยู่ทางเดินเบื้องหน้าในเสื้อผ้าชุดดำราวความมืด มองจากด้านหลังเห็นเส้นผมยาวสยายถึงแผ่นหลัง   ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ในสถานที่อันน่ากลัวถ้ามีเพื่อนเดินทางสักคนคงจะดีไม่น้อย เฟรี่เร่งฝีเท้าจนเหนื่อยหอบ แต่ก็ไม่สามารถเดินทันสาวลึกลับคนนั้นได้ เธอยังคงรักษาระยะห่างโดยสม่ำเสมอ

             ผู้หญิงคนดังกล่าวเดินนำหน้าไปจนถึงสะพานหินโค้งยาวข้ามแม่น้ำขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ปลายสะพานอีกด้านหายไปในกลุ่มหมอกสีขาวมองไม่เห็นฝั่งตรงข้าม มันช่างเหมือนสายน้ำแห่งความตายเหลือเกิน เหนือผิวน้ำสีดำสนิทมีกลุ่มหมอกลอยปกคลุม ดูเหมือนว่าหมอกเหล่านั้นจะผุดพุ่งขึ้นมาจากแม่น้ำ มีกลิ่นไออันเย็นยะเยือกอย่างประหลาด

              ร่างในชุดดำก้าวขึ้นไปบนสะพานโค้งโดยไม่หันหลังมามอง  ธิดาตกสวรรค์เร่งฝีเท้าตามไปโดยไม่คิดระแวงอะไร บางทีข้ามแม่น้ำไปอาจจะเป็นทางออกจากสถานที่แห่งนี้ก็เป็นได้   พอคิดได้ หญิงสาวรีบก้าวเท้าติดตามหญิงสาวลึกลับคนนั้นไปเพื่อจะได้พูดคุยซักถามหรืออย่างน้อยก็จะได้เป็นเพื่อนกัน

             “หยุดก่อน”

             เสียงห้าวๆคุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลังทำเอาคนกำลังจะก้าวเท้าขึ้นสะพานสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ มือแข็งแรงข้างหนึ่งก็ดึงแขนรั้งเอาไว้

             “ไนท์”   ร้องด้วยความดีใจ มีสีหน้าดีขึ้นทันทีเมื่อเห็นร่างทะมึนชุดดำและหน้ากากโลหะสีขาวอันเย็นชาไร้ความรู้สึกยืนอยู่ข้างกาย ในที่สุดคนนำทางประหลาดคนนี้ก็โผล่มาแบบนึกไม่ถึงจนได้

             “เจ้ารู้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่”

             “เอาเป็นว่าข้ารู้ก็แล้วกัน”    ปีศาจหนุ่มตอบเสียงเรียบ พลางปล่อยมือออกจากการเกาะกุมข้อมืออีกฝ่าย

             “เราลองข้ามไปฝั่งนั้นดีไหม”   เฟรี่ออกปากชวนพลางมองหาหญิงลึกลับ แต่เธอหายไปแล้วท่ามกลางกลุ่มหมอกควัน

             “ข้าเห็นมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินนำหน้าข้ามา เหมือนจะนำทางให้ข้าข้ามไปฝั่งโน้น ข้ากำลังจะข้ามไปเจ้าก็โผล่มาพอดี จากไหนก็ไม่รู้”

             “นำทางไปสู่ความตายน่ะสิ ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนนำวิญญาณ”   ไนท์อธิบายช้าๆ แต่คำพูดทำให้คนฟังรู้สึกขนลุกเกรียวไปทั้งตัว  

              “เธอเป็นปีศาจนำวิญญาณข้ามไปยังโลกแห่งความตาย ถ้าข้ามไปเจ้าก็จะตายทันที ไม่อาจฟื้นขึ้นมาได้อีก ดินแดนที่เราอยู่ตอนนี้เป็นโลกระหว่างความเป็นและความตาย”

             “ข้ายืนอยู่นี่ ฟื้นอะไร พูดเรื่องอะไรไม่เห็นเข้าใจ”  

             เอียงคอขึ้นเสียงถามด้วยสีหน้าท่าทางไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย ความทรงจำเลือนรางเหมือนกลุ่มหมอกควันรอบกาย นึกไม่ออกว่าตัวเองมาอยู่สถานที่น่ากลัวได้อย่างไร

             “ข้าจะบอกให้นะ ว่าความจริงเจ้านอนป่วยหนักอยู่ในตึกของปีศาจขาว จำได้ไหม”

             หญิงสาวทำสีหน้าท่าทางครุ่นคิดพักหนึ่งจึงพยักหน้าตอบด้วยสีหน้าไม่ค่อยแน่ใจนักว่า

             “ข้า....จำวีนิลี่ได้... ข้าไม่ได้ความจำเสื่อมขนาดความจำอะไรไม่ได้...แต่จำไม่ได้ว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

             “เจ้าป่วยหนัก”

             “ตลกน่า... ถึงจะรู้สึกไม่ดีเท่าไร แต่ก็ไม่ได้ป่วยไข้อะไรสักหน่อย ว่าแต่พาข้ากลับได้ไหม ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่”

              ปีศาจหนุ่มถอนใจยาว มองอีกฝ่ายอย่างรู้สึกเห็นใจพลางบอกว่า

             “เจ้ากลับยังไม่ได้หรอก ร่างกายของเจ้ายังรับไม่ได้ ชอบไม่ชอบเจ้าต้องอยู่ไปก่อนจนกว่าข้าจะหาทางช่วยเจ้าได้ และจำไว้อย่างหนึ่งว่าอย่าเดินข้ามสะพานไปฝั่งโน้นเด็ดขาดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”

             “ทำไมกัน”   หญิงสาวโวยวาย เข้ามาจับแขนอีกฝ่ายเขย่าไปมาอย่างอ้อนวอน   “เจ้ามาได้ก็ต้องพาข้ากลับได้สิ นะๆ...พาข้ากลับไปด้วยข้าเหนื่อยมากรู้ไหม”

             “เชื่อใจสิ ข้าจะกลับมาช่วยเจ้าแน่นอน แต่ต้องรออักสักระยะ อย่าดื้อสิ”

             “แล้วจะปล่อยให้ข้าอยู่คนเดียวได้อย่างไร”

              คนฟังมีสีหน้าเสียลงทันที ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ เมินหน้าไปทางอื่นกับอาการน้ำตาคลอเบ้าและเริ่มไหลออกมาเป็นสายจนต้องยกแขนเสื้อเช็ดน้ำตาบนใบหน้าไปมา  อีกฝ่ายยืนนิ่งแต่ความรู้สึกภายในหนักอึ้งราวถูกถ่วงด้วยศิลาพันชั่ง ในที่สุดพยายามอธิบายอย่างช้าๆว่า

             “ถ้าข้าพาเจ้ากลับ จิตของเจ้าจะต้องทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็น บอกแล้วไงว่าร่างกายของเจ้ายังไม่พร้อม ร่างกายและจิตใจต้องสัมพันธ์กัน อดทนอยู่ที่นี่สักพัก ยังไงข้าก็สามารถหาเจ้าจนเจอล่ะน่า สัญญาว่าจะพาเจ้ากลับอย่างแน่นอน ว่าแต่หลบให้พ้นจากสะพานก่อนดีกว่า”

             ว่าแล้วปีศาจหนุ่มก็หันกายก้าวเดินนำทางออกไปมุ่งหน้าออกจากเส้นขีดคั่นของความเป็นและความตายตรงไปทางป่าโปร่งบริเวณเนินเขาห่างออกไปไม่ไกลเพื่อความปลอดภัย บรรยากาศคลายความหม่นมัวหนักอึ้งลงจนทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง

             “เราอยู่ตรงส่วนไหนของจักรวาลกันแน่” เสียงใสของนางฟ้าตกสวรรค์ดังมาจากด้านหลังพร้อมกับมือดึงแขนเสื้อเอาไว้เป็นเชิงบอกให้เดินช้าลง

             “ข้าเองก็ไม่รู้หรอกนะ รู้แต่ว่าข้ามีวิธีมาหาเจ้าได้แล้วก็แล้วกัน”

             “ด้วยวิธีไหนกัน”

             “เจ้าไม่ต้องรู้หรอกน่า”

             “ทำไมข้าจะรู้ไม่ได้ล่ะ บอกนิดเดียวก็ได้”

             คราวนี้ปีศาจหนุ่มหยุดเดินหันกลับมามองผู้ติดตามแล้วโคลงหัวไปมากับความอยากรู้อยากเห็นของอีกฝ่าย เห็นสายตาจับจ้องมองมาอย่างสงสัยใคร่รู้จริงๆ ทำให้รู้สึกรำคาญปนขบขัน แต่แสร้งพูดเสียงดังตัดบทไปว่า

             “โลกของเจ้าและโลกของข้าไม่เหมือนกัน บางอย่างมันอธิบายไม่ได้ ถ้าจะรู้ก็ต้องรู้ด้วยตัวเอง อย่าถามอะไรให้มากนัก”

             หญิงสาวเอียงคอมองคนเสียงดังแล้วอมยิ้ม ไม่ได้หวาดกลัวอะไรกับท่าทางของอีกฝ่าย แล้วพยักหน้ากับตัวเอง พูดขึ้นว่า

             “อ้อ...เจ้าเป็นพวกปัจเจกปีศาจนี่เอง ก็ได้...ก็ได้...ไม่ถามก็ได้”

             “ปัจเจกปีศาจของเจ้าหมายถึงอะไร” ปีศาจหนุ่มถามด้วยความสงสัย   เป็นที่ของเฟรี่โต้กลับบ้างล่ะ จงใจยิ้มกวนๆ แล้วเน้นเสียงพูดช้าๆ ว่า

             “...บางอย่างมันอธิบายไม่ได้ ถ้าจะรู้ก็ต้องรู้ด้วยตัวเอง อย่าถามอะไรให้มากนัก”


             เป็นคำพูดของปีศาจหนุ่มชัดๆ   คนฟังได้แต่ส่ายหน้าให้กับความกวนประสาทของอีกฝ่าย แต่ก่อนจะโต้ตอบอะไรสายตาของไนท์ก็มองเห็นบางอย่างอยู่ด้านหลัง จึงดึงมือคนข้างตัวหลบเข้าร่มเงาไม้ใหญ่ข้างทางต้นหนึ่ง ก่อนชี้มือให้เฟรี่หันกลับไปมองเส้นทางที่เพิ่งเดินผ่านมา

             จากจุดบริเวณที่ทั้งสองยืนอยู่ ยังพอมองเห็นถนนมุ่งหน้าไปยังสะพานโค้งข้ามแม่น้ำได้แม้จะไม่ชัดเจนมากนักเพราะกลุ่มหมอกและความหม่นมัวของบรรยากาศ แสงของดวงไฟหลายสิบดวงสว่างเรียงรายลอยมุ่งหน้าไปยังสะพานข้ามแม่น้ำมรณะเป็นสายยาว หญิงสาวรีบหลบวูบมาอยู่ด้านหลังของปีศาจหนามทันทีเอาเป็นที่กำบังไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย

             “ดวงไฟนั่นคืออะไรเหรอ”   กระซิบถามมาจากด้านหลัง เอียงตัวมองจากข้างไหล่ของตัวร่างสูง

             “ดวงจิตของคนตายยังไงล่ะ กำลังพากันข้ามไปฝั่งโน้น”

             ข้ามไปก็หมายถึงการตายถาวร หญิงสาวคิดด้วยความรู้สึกหดหู่พลางถอนใจยาวแล้วถามขึ้นว่า

             “เราช่วยพวกเขาไม่ได้หรือ”

             “ช่วยยังไง”

             “อย่างที่เจ้าช่วยข้า”

             “มันคนละกรณีกัน เจ้ายังไม่ได้ตายแบบสมบูรณ์แบบสักหน่อย”

             “ทำไมต้องตายด้วยนะ....” เฟรี่พูดเหมือนรำพึงรำพันกับตัวเองมากกว่าจะถามใคร แต่เสียงทุ้มห้าวกลับตอบมาว่า

             “เพราะความตายทำให้ชีวิตสำคัญและมีค่ายังไงล่ะ”   ว่าพลางดึงแขนนางฟ้าจอมยุ่งเข้ามาใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างทางแล้วบอกอีกว่า

             “เจ้ารอที่นี่ ห้ามไปไหนทั้งนั้น ไมว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วจะได้กลับไปเองเมื่อถึงเวลา”   ปีศาจหนุ่มล้วงมือไปในอกเสื้อ หยิบเอาก้อนหินก้อนเล็กๆ ออกมา ดึงมือของสาวเจ้าน้ำตามาก่อนวางก้อนหินลงบนฝ่ามือของเฟรี่แล้วรวบมือน้อยให้กำก้อนหินเอาไว้ พลางกำชับด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า

             “อย่าทิ้งก้อนหินนี้เป็นอันขาด มันจะช่วยเจ้าให้พ้นจากอันตราย”

             หญิงสาวรับมาดูแบบงงๆ เห็นเป็นก้อนหินรูปไข่ขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือมีประกายแวววาวราวมีดารารายวนเวียนอยู่ภายในสวยงามพิสดาร แต่จะใช้ประโยชน์อะไรได้บ้างนะ  เอาไปขว้างใส่หัวคนอื่นก็คงไม่ทำให้สะดุ้งสะเทือน แต่ไม่มีเวลาคิดหาเหตุผลอะไรทั้งนั้น

             “ไม่เอา ข้าจะกลับเดี๋ยวนี้”

             พูดแทบไม่ทันขาดคำร่างของปีศาจหนุ่มก็หายวับไปกับตา หญิงสาวอ้าปากค้างด้วยความตกใจแปลกใจและสับสน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พอคู่กรณีหายไปก็ดูเหมือนจะพาเอาความอบอุ่นปกป้องคุ้มครองหายไปด้วย ดูสิ..ปีศาจบ้าบอคอแตกใจร้าย...บทจะไปก็ไปเอาดื้อๆ แบบไปไม่ลา มาไม่บอก... คนผีอเวจีแบบนี้ก็มี แล้วทำไมต้องหายไปต่อหน้าต่อตาแบบไร้มารยาทด้วย ถึงเป็นปีศาจก็ไม่เห็นจำเป็นต้องทำอะไรประหลาดหลุดนรกเลย

             ทิ้งเราไว้คนเดียว.....แล้วจะอยู่ได้อย่างไร น่ากลัวออกจะตาย

             มองไปทางสะพานโค้งข้ามสายธารมรณะพบว่าได้กลืนหายไปในกลุ่มหมอกสีขาว  กลุ่มดวงไฟลึกลับหายไปหมดแล้วร่มเงาไม้ด้านบนมืดครึ้มแต่ให้ความรู้สึกปกป้องปลอดภัยมากกว่าอยู่ที่โล่ง  สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านเป็นระยะแว่วเสียงเรียกชื่อเฟรี่..เฟรี่...ราวกับมีคนกำลังตามหา หญิงสาวเอียงหูฟังอย่างไม่แน่ใจ แต่แล้วเสียงเรียกขานก็ดังใกล้เข้ามาทุกที

             ไม่น่าเป็นไปได้ว่าจะมีใครเดินตามหาในแดนสนทยาแห่งนี้  ความไม่แน่ใจทำให้ต้องถอยหลบลึกเข้าไปในเงาไม้เข้าไปอีก จ้องมองไปตามทิศทางของเสียงเรียกด้วยหัวใจเต้นแรง

             จนในที่สุดเจ้าของเสียงก็ปรากฏตัวออกมาจากกลุ่มหมอกในระยะมองเห็นชัดเจนว่าเป็นผู้หญิงชุดดำยาวเรือนผมยาวปลิวสยายกับสายลม และมุ่งหน้าตรงเข้ามาหาด้วยการย่างก้าวอย่างแช่มช้า รอบตัวมีแสงจางๆ สีฟ้าอ่อน ราวกับเปล่งประกายได้


            “เฟรี่  ข้ามารับเจ้า ออกมาหาข้าเถอะ”

           เสียงเรียกชักชวนราวมีมนต์ขลังเร้นลับชักนำให้ทำตามเหลือเกิน


           .....
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่