จอมใจอเวจี......บทที่ 2 (นำทาง)

กระทู้สนทนา

ความเดิม

             สิ่งแรกที่ปีศาจหนุ่มกระทำเมื่อเหตุการณ์คลี่คลายคือรีบกลิ้งออกจากร่างของหญิงสาวอย่างรวดเร็วสุดชีวิตก่อนกระโดดปราดขึ้นไปยืนข้างปากหลุมด้วยหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ ทำไมเมื่อครู่ถึงเอาร่างไปปกป้องคุ้มครองให้กับอีกฝ่ายโดยไม่คำนึงถึงตัวเองขนาดนั้น ใจก็ไม่ได้สั่งให้ทำแม้แต่น้อย ทุกอย่างเป็นไปด้วยสัญชาตญาณ หรือเป็นเพราะพลังลึกลับอันรบกวนจิตใจไม่จางหายกันแน่

             “เจ้าทำบ้าอะไร ระเบิดนั่นเกือบฆ่าพวกเราไปแล้วรู้ไหม”

================
จอมใจอเวจี......บทที่ 2
นำทาง

================
Psycho G.



            “เจ้าทำบ้าอะไร ระเบิดนั่นเกือบฆ่าพวกเราไปแล้วรู้ไหม”

            ปีศาจหนุ่มกระชากเสียงอย่างขุ่นเคืองขณะมือปัดเศษดินหินออกจากเสื้อผ้า เปลวไฟประทุเป็นลำยาวสว่างจ้าจากพื้นดินเยื้องไปทางด้านหลังของมือสังหารปีศาจ ทำให้มองเห็นหน้ามอมแมมและนัยน์ตาคมวาวคู่กรณีค่อยโผล่ขึ้นมาจากหลุมหลบภัยฉุกเฉินทีละน้อยด้วยท่าทางระแวดระวัง แต่ยังสามารถเอ่ยปากเถียงทันควันว่า    

            “ก็ข้าจะฆ่าตัวตาย แล้วเจ้ามาขัดขวางทำไม ข้าก็ตายไม่ได้ หมดระเบิดไม่เหลือแล้วด้วย เจ้าต้องรับผิดชอบกับการมาขัดขวางการตายของข้า”
นั่นเป็นคำอธิบายราบเรียบอย่างไม่น่าเชื่อจากปากเจ้าของระเบิดมหาวินาศที่ฟังดูแล้วผิดตรรกะชอบกล แถมท่าทางยังไม่รู้สึกรู้สมกับสาเหตุทำให้คนอื่นลำบากไปด้วย ใบหน้าเปื้อนฝุ่นดูสงบนิ่งอย่างคนปลงตก แต่มีแววเด็ดเดี่ยวฉายอยู่ในแววตาชนิดตายเป็นตาย

             เป็นครั้งแรกที่นักล่าปีศาจรู้สึกว่าการใส่หน้ากากโลหะมีข้อดีคือไม่มีใครมองเห็นสีหน้าอันบรรยายได้ยากของตัวเองในเวลานี้ได้ แล้วอยู่ดีๆ ก็ต้องมารับผิดชอบต่อการ “ไม่ตาย” ของอีกฝ่ายแบบไม่รู้ตัว ยิ่งคิดยิ่งไม่พอใจทำให้เอ่ยด้วยเสียงห้วนเข้มว่า

             “ก็เจ้าเล่นมาระเบิดใกล้ๆ ข้าก็พลอยซวยไปด้วย ทำไมไม่เดินไปให้ไกลๆแล้วค่อยระเบิด ข้าจะไม่ว่าสักคำ”

             “ไหนๆก็จะตายไม่เห็นต้องสนใจเลยว่าจะตายตรงไหน ไม่เห็นจะสำคัญอะไร เจ้าต่างหากมาวุ่นวายแถวนี้เอง”

             “ข้าน่ะหรือ.....วุ่นวาย”   น้ำเสียงของปีศาจเจ้าถิ่นเริ่มมีแววมึนงงกับปัญหาชีวิต หญิงสาวผู้มาเยือนชำเลืองมองแวบหนึ่งแล้วรีบพยักหน้าตอบอย่างหนักแน่นมั่นใจว่า

             “จริงแท้แน่นอน...ไม่ต้องสงสัยเลย เจ้าผิดเต็มๆ”

             ว่าพลางค่อยลุกขึ้นปีนออกมาจากหลุมหลบภัยด้วยอาการสงบเยือกเย็นอย่างไม่น่าเชื่อ มือปัดเศษฝุ่นละอองตามเสื้อผ้าไปมาพลางกวาดตามองไปรอบๆ ดูผลงานมหาวินาศของตนเอง และพบว่าดงไม้พื้นหลังเนินเขาถูกทำลายราบเรียบเป็นหน้ากลองราวกับถูกเก็บกวาดด้วยหัตถ์อสูรนรก เปลวไฟลุกไหม้เป็นหย่อมๆ บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยก้อนเมฆสีแดงคล้ำบิดเป็นเกลียวไปมาเหมือนมีชีวิตอันเป็นผลกระทบรุนแรงจากระเบิดมหาวินาศ

             “รู้ไหมว่าทำอะไรลงไป” ปีศาจเจ้าถิ่นเค้นเสียงหนักแบบจริงจัง

             “เล่นอาวุธหนักวินาศสันตะโรขนาดนี้สะเทือนไปทั่วขอบอเวจีปั่นป่วนเดือดร้อนแน่นอน ลำบากทั้งข้าและเจ้าล่ะ”

             “ข้าจะฆ่าตัวตายเจ้ามาขัดขวางเอง เจ้าต้องรับผิดชอบทั้งหมด พาข้าออกไปจากโลกบ้าๆนี่เลย”

             คนฟังโคลงหัวไปมาเมื่อฟังเหตุผลแล้วไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สมเหตุผล เริ่มมองเห็นลางสังหรณ์แห่งความยุ่งยากกำลังมาเยือน มาพร้อมกับหญิงสาวอารมณ์ร้อนและแปรปรวนจากฟากฟ้าผู้กำลังใช้สายตาจริงจังจับจ้องมองมาอย่างคาดคั้นเอาเป็นเอาตายต่อการแสดงความรับผิดชอบของเขา

             “เจ้าไม่กลัวข้าจับเจ้ากินเป็นอาหาร”

             เสียงทุ้มห้าวหยั่งเชิงพยายามหาทางออกจากการรับผิดชอบอันชวนปวดหัวสุดชีวิต

             “กลัวสิ ทำไมจะไม่กลัว” คู่กรณีเน้นเสียงจ้องหน้าตอบแบบเต็มเสียงเช่นกัน

             “แต่ข้าไม่มีทางเลือกนี่นา ข้าไม่รู้จักใครเลยนอกจากเจ้า โดยหลักการและเหตุผลเจ้าต้องช่วยข้า”

             “แล้ว...เจ้าไม่กลัวข้าปล้ำ อย่าลืมว่าข้าเป็นปีศาจทำอะไรก็ได้” พยายามขู่ทุกวิธีทุกรูปแบบแต่รู้สึกว่าไม่ได้ผลเสียแล้วเมื่ออีกฝ่ายเกทับกลับมาทันทีว่า

             “ถ้าเจ้าทำบ้าๆ ข้าจะระเบิดทั้งเจ้าทั้งข้าให้หายสลายไปให้หมด”

             “เจ้ายังมีระเบิดเหลืออีกหรือ ไหนบอกว่าไม่มีแล้วไง”

             น้ำเสียงคนตั้งข้อสังเกตมีแววไม่เชื่อและหยั่งท่าทีในขณะเดียวกัน อีกฝ่ายยิ้มดุสีหน้าท่าทางเหมือนจะท้าทายให้ลองดี จ้องหน้าย้อนถามด้วยเสียงราบเรียบว่า

             “แล้วคิดว่ามีไหมล่ะ”

             คราวนี้ปีศาจหนุ่มหน้าคู่กรณีอย่างพินิจพิเคราะห์บ้างว่าทำไมฉลาดเป็นกรดจนน่าเวียนหัว แถมมีลูกบ้าแบบคาดไม่ถึง ทั้งยังตั้งสติปรับเปลี่ยนอารมณ์รับมือต่อสถานการณ์เลวร้ายได้อย่างรวดเร็วจนน่าทึ่ง เป็นบุคลิกภาพชนิดพิเศษไม่เคยพบไม่เคยเห็นมาก่อนเลย เป็นบางคนอาจฟูมพายสติแตกไปแล้ว

             ”เจ้าอาจมีหรือไม่มีระเบิดก็ได้” ปีศาจหนุ่มลากเสียงช้าๆ

             “เจ้าจะเสี่ยงไหมล่ะ” เสียงหวานใสท้าทายพลางเขม้นจ้องมองด้วยแววตาเร้นลับเดาใจไม่ออก พูดต่ออีกว่า

             “ถ้าเจ้าเสี่ยงข้าก็จะเสี่ยงด้วย ตายกันให้หมดเลยก็ดี”

             “ข้าไม่จำเป็นต้องเสี่ยง ข้าจะหนีเจ้าไปเลยก็ได้”

             “ทำแบบนั้นก็เสียชื่อลูกผู้ชายหมด ถึงจะเป็นปีศาจก็ต้องมีรับผิดชอบเป็นเหมือนกัน เจ้าแค่พาข้าออกไปจากที่นี่เท่านั้น เรื่องก็จบลงด้วยดีสบายใจทั้งสองฝ่าย อย่าให้ข้าต้องเอาระเบิดพลีชีพถล่มโลกของเจ้าให้พินาศ”

             มีการขู่แถมท้ายอีกต่างหาก ปีศาจหนุ่มส่ายหน้าอีกครั้งนึกในใจว่าวันนรกแตกอะไรกันทำไมต้องมาพบกับเรื่องยุ่งยากลำบากกายใจอย่างไม่เคยเจอมาก่อน ความรู้สึกแปลกประหลาดรบกวนจิตใจก็ยังไม่ยอมจางหาย ราวกับว่ามีความสัมพันธ์ไร้สภาพบางอย่างเชื่อมโยงทั้งสองฝ่ายเข้าด้วยกันแบบอธิบายไม่ได้

            “แล้ว...ถ้าข้าใช้จังหวะเจ้าเผลอตัว ฆ่าเจ้าเสียให้ตายไม่ให้เจ้ามีโอกาสใช้ระเบิดล่ะ เจ้าจะว่ายังไง”

             “เป็นแบบนั้นก็ดี ข้าก็จะได้ตายๆไปไม่ต้องรับรู้เรื่องรู้ราวอะไรต่อไป จะได้ไม่ต้องมาทนทุกข์ทรมานอยู่ในโลกมืดของเจ้า”

            โห...มาแรง...ปีศาจหนุ่มคิดในใจ ไม่มีการลดราวาศอกเลย ท่าทางเอาจริงเสียด้วย ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นคงไม่กล้ามาต่อล้อต่อเถียง

            ทันใดนั้นเองปีศาจหนุ่มก็กระโดดคว้ามือของอีกฝ่ายดึงให้เคลื่อนพ้นห่างจากตำแหน่งเดิมของการยืนแบบกะทันหันด้วยความรวดเร็วจนมองไม่ทัน คู่กรณีใจหายวาบตัวปลิวแทบจะลอยติดมือตามแรงกระชากท่ามกลางเสียงร้องอย่างตกใจเพราะคิดว่าตัวเองจะโดนฆ่าตัดปัญหาเหมือนที่ถูกขู่เอาไว้ หันไปจะต่อสู้ดิ้นรนสุดชีวิตตามสัญชาตญาณ แต่แล้วก็ชะงักอ้าปากค้างเมื่อได้ยินเสียงดังเหมือนมีลมพ่นอย่างรุนแรงจากทางด้านหลังจึงหันไปมองอย่างไม่ตั้งใจ

            พื้นดินบริเวณยืนอยู่เมื่อครู่มีเปลวไฟไอร้อนพวยพุ่งลุกโชนเจิดจ้าจนแสบตาออกมาจากรอยแยกของพื้นดิน ถ้าไม่ถูกดึงแขนหลบออกมาคงกลายเป็นนางฟ้าย่างสดไปแล้ว จึงรู้ว่าตัวเองถูกช่วยชีวิตเอาไว้แบบหวุดหวิดจากคนที่คิดว่าเป็นปีศาจร้ายผู้ปล่อยมือเธอออกจากการกุมก่อนถอยหลังไปสองสามก้าว เหมือนกลัวการถูกมองด้วยความเข้าใจผิดว่าฉวยโอกาสทำร้าย เสียงห้าวทุ้มบอกว่า

            “พื้นดินแถวนี้มีแก๊สติดไฟ ถ้าไม่ระวังเจ้าตายได้ง่ายๆ”

           “แล้วข้าจะรู้ไหมนี่”  

             เสียงนางฟ้าคนงามครางอ่อยก่อนยกมือขึ้นปาดเหงื่อ ตอนแรกตกใจแทบตายเพราะนึกว่าอีกฝ่ายจะฉวยโอกาสเข้ามาทำอันตราย แต่กลับเป็นว่ามาช่วยดึงแขนให้รอดพ้นพวกเปลวไฟนรกปะทุอย่างหวุดหวิด ความรวดเร็วของนักล่าอเวจีทำให้หญิงสาวรู้แล้วว่าถ้าเขาคิดจะทำร้ายจริงๆ คงไม่มีทางหลบรอดมือไปได้

            “เจ้ารู้อย่างไรว่าจะมีไฟพุ่งขึ้นมา”    หญิงสาวหันหน้าไปถามด้วยน้ำเสียงสั่น อาการตกใจยังไม่หาย

            “ถ้าเจ้าอยู่ไปนานๆ ก็รู้ธรรมชาติพวกมันเองล่ะ”

            “จ้างข้าก็ไม่อยู่”  ตอบพลางส่ายหน้าไปมาและยังไม่ลืมเรื่องที่ตั้งใจจะพูดจะทำต่อไป

            “อย่าลืมว่าเจ้าต้องเป็นคนพาข้าหนีออกไปจากโลกบ้าๆนี่”

            ในขณะนั้นเองมีเสียงคล้ายพายุดังอื้ออึงมาจากขอบฟ้าอเวจี ปีศาจหนุ่มเอียงหูฟังครู่หนึ่งพลันหันหน้ามาบอกเสียงเข้มว่า

             “ตามข้ามา...ถ้าไม่อยากตาย”

             ว่าพลางล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อดึงวัตถุรูปร่างเป็นแท่งยาวประมาณหนึ่งฝ่ามือออกมาก่อนโยนขึ้นไปในอากาศ วัตถุดังกล่าวลุกไหม้เปลี่ยนเป็นดวงไฟส่องแสงขาวนวลสว่างจ้าไปทั่วบริเวณราวเล่นมายากลหรือเวทมนตร์คาถา

            หญิงสาวแหงนหน้ามองอย่างอัศจรรย์ใจกับลูกเล่นพิสดารของอีกฝ่าย แต่เสียงห้วนสั้นดังเข้าหูเหมือนจะเร่งร้อนผิดปกติ

            “ตามข้ามา”

            เจ้าของเสียงก้าวยาวนำหน้าออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนจะแกล้งให้อีกฝ่ายเดินตามไม่ทัน หญิงสาวไม่มีทางเลือกอย่างอื่น รีบเร่งฝีเท้ากึ่งวิ่งกึ่งเดินตามหลังไปแบบไม่ให้คาดสายตา

            การเดินทางบริเวณเคยเป็นดงไม้ก่อนตัดขึ้นไปตามไหล่เขาอันสูงชันสำหรับนักล่าปีศาจไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเพราะคุ้นเคยกับสภาพภูมิประเทศมานาน ทว่ากับนางฟ้าตกสวรรค์ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ก็กัดฟันตามหลังเปะปะไปอย่างไม่รู้อนาคต

            “จะรีบไปตามควายที่ไหน”

            เสียงใสบ่นมาจากข้างหลัง คนฟังจับอาการเหนื่อยหอบอยู่ในคำพูดได้อย่างชัดเจนแต่ไม่ลดฝีเท้าลงแม้แต่น้อย ทั้งยังมีคำพูดลอยลมมาเข้าหูว่า
“แถวนี้ไม่มีควายให้ตามหรอก ถ้าจะมีก็มีแต่ภูตผีอสุรกายฝูงใหญ่กำลังตามมาต้อนรับน้องใหม่ ถ้ายังมัวชักช้าข้าเองก็รับมือพวกมันไม่ไหวหรอกนะ”

             “แกล้งพูดขู่ใช่ไหมล่ะ”

            “ไม่เชื่อก็ตามใจ..”

             ขณะก้าวไปตามโขดหินใหญ่น้อยลัดเลาะเชิงหน้าผาสูงชันจังหวะหนึ่งหญิงสาวเหยียบพลาดเสียหลักหัวทิ่มผวาลงไปด้านล่างมีความสูงห้าหกวา ปีศาจหนุ่มความจริงหันหลังให้แต่สัมผัสได้ถึงอันตรายในพริบตา เขาหันกลับกระโดดปราดเข้ามาอย่างรวดเร็วดึงแขนเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิดหวาดเสียว

             “ระวังตัวหน่อยสิ”

             เสียงดุเข้มแว่วเข้าหูขณะปล่อยมือออกจากแขนของหญิงสาวอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตั้งหลักได้แล้ว

            “ระวังอยู่แล้ว แต่ก็เพราะรีบเดินตามเจ้านี่ล่ะเลยพลาด ปกติไม่มีทางว่าข้าจะซุ่มซ่ามหรอกทำไมต้องเดินเร็วเป็นลิงด้วย จะแกล้งกันหรือยังไง”
หญิงสาวจากฟากฟ้าหายใจหอบตัวสั่นยังไม่หายจากสภาพอันหวุดหวิดหวาดเสียว หันลงไปมองด้านล่างแล้วใจหายเพราะเห็นโขดหินแหลมคมเรียงราย ตกลงไปไม่กล้าแม้จะนึกภาพ แต่ปากยังโต้แย้งแบบจริงจังชนิดไม่สนใจเลยว่าคนอยู่เบื้องหน้าเป็นปีศาจผู้อาจจะกระโดดขย้ำคอได้ทุกเมื่อ

             “ระวังให้ดีก็แล้วกัน”

             ปีศาจเจ้าถิ่นไม่อยากตอแยกับคู่กรณีมากนัก นึกในใจว่าผู้หญิงนิสัยดูใจยากและลูกบ้าจัดขนาดนี้ไม่เคยเจอมาก่อนเลย คิดพลางหันหลังก้าวเท้าอย่างรวดเร็วทำให้อีกฝ่ายต้องรีบตามไปแบบไม่ลดละด้วยประกายตามุ่งมั่นไม่ยอมแพ้

      


...
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่