จอมใจอเวจี......บทที่ 6 (สายน้ำแห่งความตาย)

กระทู้สนทนา



ความเดิมตอนที่แล้ว

http://ppantip.com/topic/34643813
ไนท์และเฟรี่พากันผ่านอุโมงค์ทะลุขุนเขา  ออกมายังดินแดนของเทวบุตรมารผู้กำลังออกมาสำรวจหาสาเหตุของการระเบิดครั้งใหญ่ในขอบอเวจี
ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันในที่สุด


================
จอมใจอเวจี   บทที่ 6
สายน้ำแห่งความตาย

================
Psycho G.


             “คิดบ้าๆ”

             คราวนี้เฟรี่ผู้ยืนนิ่งสังเกตการณ์อยู่ด้านหลังข้างโขดหินสวนขึ้นอย่างเหลืออดประกายดาววับวาวแทบพวยพุ่งออกมาจากนัยน์ตาคมเข้ม ความหวาดกลัวอันตรายหายไปโดยไม่รู้ตัวเมื่อถูกพาดพิงแบบไม่เกรงใจ จะเป็นปีศาจจากขุมไหนก็แทบไม่อยู่ในสายตาอีกต่อไป

             “บ้ากันไปใหญ่แล้ว คิดได้ยังไงจะเอาเนื้อของข้าไปทำอาวุธ เนื้อข้าไม่ใช่ดินปืนนะเฟ้ย”

             คำพูดบรรจุอารมณ์ดุเดือดเลือดพล่านชนิดไม่เกรงกลัวปีศาจหน้าไหนของหญิงสาว ทำเอาทั้งไนท์และมาร์ลาสพากันสะดุ้ง หันไปมองหญิงสาวพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ก่อนหันกลับมามองหน้ากันด้วยสีหน้าท่าทางสงสัยไม่แน่ใจในหูของตัวเอง

             “ได้ยินไหม..” มาร์ลาสกลืนน้ำลายกระซิบเสียงแผ่วเบา คิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความฉงนเคลือบแคลงใจ

             “เธอพูดว่า เฟ้ย ด้วย อะไรกัน... ข้านึกว่าพวกเบื้องบนจะต้องพูดจาไพเราะเพราะพริ้งเป็นอย่างเดียว นี่มีเฟ้ยซะด้วย ท่าทางดุเอาเรื่อง”

             “ได้ยินชัดเลย”

             ไนท์ตอบเสียงแผ่วเช่นกันแบบคนรักษาอาการให้สงบนิ่งไม่สนใจ พลางชำเลืองมองคนถูกนินทาด้วยหางตา แต่ดูเหมือนคนถูกนินทาจะหูไวพอจะได้ยินคำพูดของทั้งสอง เสียงใสดังฟังชัดดังขึ้นมาอีกว่า

             “ไม่ต้องทำเป็นกระซิบกระซาบ ทำไมข้าจะพูดไม่ได้ล่ะ จะให้พูดเพราะจ๊ะจ๋าทั้งวันได้ยังไงไม่ใช่นางเอกละครชาวโลกสักหน่อย แต่ยังไงก็ดีกว่าคนคิดจะเอาเนื้อคนมาทำเป็นส่วนผสมของดินปืน หรือจับคนไปย่างไฟกินกันหรอก”

             อย่าว่าแต่สองนักรบจะสะดุ้งเลย แม้แต่บริวารทั้งห้าของนักรบตาเดียวที่ยืนคุมเชิงอยู่ ยังพากันมีสีหน้ายากต่อการบรรยาย ด้วยความรู้สึกกริ่งเกรงสาวเจ้าผู้ลึกลับผู้ดูเหมือนว่าไม่ได้หวั่นไหวภัยร้ายอันตรายรอบตัวเอาเสียเลย อันเป็นบุคลิกภาพพิเศษสุดชนิดไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน  มาร์ลาสฟังแล้วทำคอย่นหันมากระซิบกับนักรบปีศาจอีกว่า

             “ให้ตายเถอะไนท์ เจ้าคบผู้หญิงดื้อสวยดุได้อย่างไรกัน...ดุแบบนี้ไม่อยากยุ่งด้วยแล้ว ขืนเอาเนื้อมาทำเป็นอาวุธ ดินปืนคงระเบิดใส่หน้าพวกข้าตายเรียบยกรังก่อนใช้งานเป็นแน่ จะไปไหนก็ไป ว่าแต่เจ้าก็ต้องสู้กับข้าสักตั้ง อยากรู้มานานแล้วว่าเจ้าจะเก่งขนาดไหนไหนกัน ถ้าเจ้าชนะก็ผ่านดินแดนนี้ไปได้ แต่ถ้าแพ้ก็ทิ้งชีวิตไว้ที่นี่หรือไม่ก็หันหลังกลับไปทางเดิม”

             “ไม่มีปัญหา”

             ปีศาจหนุ่มรับคำสั้น ๆ มือกระชับด้ามดาบคู่ใจอย่างไม่ประมาท นักรบตาเดียวหัวเราะในลำคอเป็นฝ่ายขยับย่างสามขุมเข้าหา บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันที

             “นานแล้วข้าไม่ได้มีโอกาสประมือกับเจ้า วันนี้ข้าจะไม่ออมมือล่ะนะ”

             “ลงมือเต็มที่เลย ไม่ต้องเกรงใจ”

             “พวกเจ้าห้ามยุ่งเกี่ยวโดยเด็ดขาด ถ้าข้าไม่สั่งห้ามขยับไปไหนหรือทำอะไรทั้งนั้น”

              นักรบตาเดียวหันไปกำชับบริวารเพื่อให้เกิดความแน่ใจกับอีกฝ่ายว่า ไม่ใช้วิธีการกลุ้มรุมอย่างแน่นอน ก่อนสูดลมหายใจลึกเปลี่ยนจากการขยับก้าวเดินอย่างเชื่องช้าเป็นเคลื่อนไหวรวดเร็ววูบขึ้นมากะทันหัน

             ประกายดาบสีรุ้งเจิดจ้าโค้งฟาดผ่านลงมาจากฟากฟ้าก่อนถูกกำแพงสีดำสะบัดขัดขวาง เสียงดาบปะทะดังสนั่นแสบแก้วหู สะเก็ดไฟกระจายไฟพะเนียง เฟรี่ใจหายวาบลืมอาการขาเจ็บกระโดดหลบไปด้านหลังอย่างตกใจ สุนัขปีศาจถอยหลังกรูดอย่างตื่นตระหนกแต่คนทั้งห้าซึ่งเป็นบริวารของเทวบุตรมารยังคงยืนสงบนิ่งบ่งบอกถึงความมีระเบียบวินัยอย่างไม่น่าเชื่อ

             ดาบประกายสายรุ้งผ่าฟ้าลงมาถูกดาบมารสีดำยกขึ้นสกัดกั้นไว้ทันท่วงที พลังแห่งดาบสายรุ้งเฉียดผ่านข้างกายของนักรบปีศาจไปทางด้านหลังและในเสี้ยววินาทีต่อมาก็บังเกิดเสียงดังเปรี้ยงสนั่นหวั่นไหว โขดหินขนาดย่อมห่างออกไปทางด้านหลังสองสามวาก้อนหนึ่งมีรอยแยกแตกออกเป็นสองส่วนพร้อมกับไอประกายวาววับละเอียดนับร้อยลอยพุ่งออกมาจากรอยแยกราวเป็นลูกไฟหลากสีสันก่อนมอดลับดับแสงไปในที่สุด

             ส่วนพลังดาบอเวจีฟาดแนวขวางผ่านศีรษะของเทวบุตรมารไปอย่างฉิวเฉียด พลังบางส่วนกรีดผ่านผ้าคาดหัวของมาร์ลาสขาดออกจากกันราวถูกตัดด้วยใบมีดคมกริบหลุดร่วงลงบนพื้นปล่อยให้เส้นผมยาวของนักรบตาเดียวหลุดลุ่ยปรกประระหน้าทันที ต้นไม้ตายซากต้นหนึ่งทางด้านหลังขาดเป็นสองท่อน ท่อนบนกระเด็นขึ้นไปในอากาศหมุนคว้างเป็นกังหันก่อนฟาดลงบนพื้นหินถล่มโครมครามลงไปในแนวป่า

             การต่อสู้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนมองแทบไม่ทันแต่เต็มไปด้วยความหวุดหวิดหวาดเสียว หญิงสาวชาวสวรรค์เอามือกุมอกจ้องมองอย่างใจหายใจคว่ำ ไม่เคยเห็นการต่อสู้อันน่าตื่นเต้นระทึกใจใกล้ชิดแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต

             หลังจากนั้นทั้งคู่พากันเซถอยหลังออกไปคนละสี่ห้าก้าว ดาบในมือสั่นไหวจนต้องพยายามกำด้ามดาบไว้แน่น มีเสียงครางกระหึ่มสะท้อนสะท้านเหมือนมีแผ่นเหล็กมหึมาฟาดเหวี่ยงอยู่ในอากาศ ลมกระโชกวูบพัดหวนขึ้นสูงหอบเอาฝุ่นดินกระจายจนหม่นมัว

             เป็นเวลาเดียวกับกลุ่มหมอกพัดผ่านเข้ามาบริเวณของการต่อสู้ยิ่งทำให้บรรยากาศหนักอึ้งหนาทึบขึ้นไปอีก ทั้งไนท์และมาร์ลาสพลันหายวับไปจากสายตาของหญิงสาว

             เฟรี่หันไปมองบริวารทั้งห้าของเทวบุตรมาร เห็นพวกนั้นเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบน เลยแหงนหน้ามองตามไปบ้าง จึงพบว่าทั้งสองนักรบไม่ได้หายไปไหนแต่ลอยตัวสูงขึ้นไปในอากาศ อึดใจต่อมามีเสียงกระทบกันถี่ยิบของโลหะก่อนมีเสียงระเบิดตูมใหญ่ ร่างของคนทั้งสองกระเด็นลอยลิ่วไปคนละทิศละทาง

             มาร์ลาสหมุนคว้างหลายรอบอย่างเสียการทรงตัวก่อนตกลงบนโขดหินขนาดใหญ่ห่างออกไปหกเจ็ดวาแล้วกลิ้งหลุดร่วงลงมากระแทกพื้นด้านล่าง เขาใช้ดาบปักโครมลงบนพื้นหินอย่างรุนแรงเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการช่วยทรงตัวจนเกิดประกายไฟสว่างวาบ แต่กระนั้นก็ยังเข่าอ่อนจนไม่อาจฝืนยืนอยู่ได้ต้องทรุดตัวคุกเข่าลงบนพื้น มุมปากมีเลือดสีคล้ำไหลออกมาไม่ขาดสาย

             ส่วนไนท์พลิกตัวกลางอากาศก่อนหล่นลงมาปักหลักยืนนิ่งบนพื้น ท่าทางเหมือนไม่ได้เป็นอะไร แต่อึดใจต่อมามีเสียงเพี้ยะๆ ติดต่อกันหลายครั้งตามร่างกายปรากฏเลือดสีดำพุ่งออกมาจากบ่าซ้ายและชายโครงด้านขวาหลั่งเป็นสายธารเลือดชุ่มโชกไปในทันทีจนต้องใช้ดาบปักโครมลงบนพื้นเป็นการพยุงตัวเช่นกัน

             เป็นการต่อสู้รวดเร็วฉับไวเห็นผลอย่างรวดเร็ว

             มาร์ลาสเงยหน้าขึ้นมองพลางเอามือขวาเช็ดคราบเลือดออกจากปากแต่กลับมีเลือดไหลทะลักออกมาอีก เขายิ้มแห้งๆอย่างไม่ค่อยใส่ใจกับอาการบาดเจ็บแถมยังมีหน้าหัวเราะก่อนบอกด้วยเสียงอ่อนล้าว่า

             “ท่าทางข้าโดนหนักไม่เบาเลยนะ กำลังสนุกเลย ทะลึ่งมาเจ็บหนักเสียก่อน แล้วเจ้าล่ะไนท์ เป็นยังไงบ้าง”

             ไนท์สูดลมหายใจลึกมือกุมด้ามดาบแน่นช่วยพยุงตัวกัดฟันตอบว่า

             “ข้าก็โดนไม่เบาเหมือนกัน รู้สึกจะโดนพลังดาบของเจ้าเข้าอย่างจัง ภายในบอบช้ำ บริเวณบ่าซ้าย ชายโครงขวามีบาดแผล”

             “ลึกมากไหม”

             “คงประมาณหนึ่งนิ้ว แต่ข้ายังไหว”

             นักรบปีศาจตอบแบบคาดคะเน หายใจหอบมือจับดาบสั่นระริกแต่ยังพยายามปักหลักมั่นคงทรงตัวให้แล้วพยายามดึงดาบขึ้นจากพื้นแต่ดาบคู่ใจไม่ยอมหลุดขึ้นมาจากพื้นง่ายๆ เสียแล้วเนื่องจากการทุ่มเทพลังปักดาบลึกลงไปในพื้นหินแบบสุดกำลังเพื่อใช้ในการตั้งหลัก ทั้งสองคนอาการบาดเจ็บภายนอกยังไม่หนักเท่าอาการบาดเจ็บภายในอันเป็นผลจากพลังดาบซึ่งร้ายแรงมากกว่าสายตามองเห็น

             “ดึงดาบก็ไม่ขึ้น ยังจะมาทำซ่าอีก...เจ้าบ้า”

             มาร์ลาสเห็นแล้วหัวเราะหึหึในลำคอ พยายามใช้ด้ามดาบเป็นเครื่องพยุงตัวลุกขึ้นมายืนอย่างลำบากยากเย็นด้วยท่าทางบาดเจ็บภายในอย่างหนักหนาสาหัสไม่แพ้กัน

             “ข้าก็ยังไหว...”

             พอพูดจบก็ออกแรงดึงด้ามดาบขึ้นมาจากพื้น แต่สีหน้าแปรเปลี่ยนวูบทันทีเมื่อพบว่าตัวเองดึงดาบจากพื้นไม่ขึ้นเหมือนกัน เลยกลายเป็นว่าสภาพของตัวเองก็ไม่ได้แตกต่างจากคู่ต่อสู้สักเท่าไร นักรบตาเดียวส่ายหน้าพลางเอามือปาดเลือดออกจากมุมปาก หัวเราะออกมาได้อย่างน่าหมั่นไส้ก่อนบอกเสียงขาดๆหายๆ

             “ว่าแต่คนอื่น...แต่ท่าทางข้าคงดึงดาบไม่ไหวเหมือนกัน...ขายหน้าไหมล่ะ เรามาต่อยกันดีกว่า”

             “นั่นล่ะ ที่ข้าต้องการ”

             ไนท์บอกพลางปล่อยมือออกจากด้ามดาบ ค่อยก้าวเดินตรงมาด้วยความรู้สึกว่าระยะห่างจากคู่กรณีดูไกลแสนไกลเหลือเกิน ขณะเทวบุตรมารหนุ่มก็โซเซก้าวตรงเข้าเผชิญหน้าเช่นกัน

             เฟรี่หันไปมองหน้าทั้งคู่สลับไปมาแล้วขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ สภาพของทั้งสองแทบเดินไม่ไหวแล้วยังจะสู้กันต่ออีกไม่ต่างจากคนบ้าเลยสักนิด ไม่เห็นมีเหตุผลเลยว่าจะมีความจำเป็นต้องต่อสู้เข่นฆ่าหนักหนาสาหัสแบบไม่ล้มไม่เลิก  จนทั้งสองมาอยู่ห่างกันไม่ถึงสองวา หญิงสาวแดนสรวงเม้มปากแน่นนัยน์ตาเป็นประกายจัดจ้าเดินตรงเข้าไปแบบลืมเจ็บ ร้องเสียงดังอย่างเหลืออดเหลือทน

             “พากันบ้าไปหมดแล้ว หมดสภาพแบบนี้จะสู้กันได้ยังไง คิดจะฆ่ากันให้ตายไปทั้งสองฝ่ายเลยหรือ เดี๋ยวข้าจะพิสูจน์ให้ดูว่าพวกเจ้ายังเหลือสภาพนักรบอยู่แค่ไหนกัน”

              คนของมาร์ลาสพากันมองแบบไม่เชื่อสายตาและทำอะไรไม่ถูกเนื่องจากยังไม่มีคำสั่งจากเจ้านายจึงได้แต่พากันยืนตัวแข็งจ้องมองอย่างประหลาดใจอยู่เช่นนั้น  เฟรี่ผู้กลายเป็นแม่เสือสาวเดินไปเข้าไปด้านข้างของนักรบตาเดียว มองหน้าก่อนเงื้อมือขวาทุบลงไปกลางหลังของนักรบตาเดียวเต็มแรงชนิดไม่มีใครคิดว่าเธอจะกล้าทำแบบนั้น

             “โอ๊ย...”

             มาร์ลาสหลังแอ่นร้องเสียงหลงเข่าอ่อนทรุดลงไปกับพื้นทันทีใบหน้าแสดงถึงความเจ็บปวดอย่างไม่สามารถแสร้งข่มเก็บความรู้สึกไว้ได้อีก ถ้าเป็นสภาพธรรมดาแรงทุบจากร่างบอบบางย่อมไม่มีทางสะท้านสะเทือนทว่าตอนนี้อยู่ในอาการสาหัสเพียงแรงฟาดครั้งเดียวของผู้หญิงก็ทำให้อาการหนักขนาดลงไปทรุดกับพื้นได้ เจ้าของกำปั้นดุโหดยิ้มมุมปากหันไปมองเหยื่อรายต่อไป ปีศาจหนุ่มหยุดกึกชะงักค้างด้วยอาการของคนใจหายวาบ

             “นี่ก็อีกคน”

             ก่อนไนท์จะตั้งตัว กำปั้นแห่งสวรรค์ก็ทุบโครมลงไปบนบ่าของเขาเต็มแรง

             “โอ๊ย...”

             อาการเดียวกับนักรบตาเดียวไม่มีผิดเพี้ยนเข่าอ่อนร่วงลงไปกองเป็นนกปีกหักอีกคน

             “เห็นไหม...” เฟรี่ยิ้มดุ ๆ อีกแล้วราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

             “อาการปางตายยืนแทบไม่ไหวยังจะมาสู้กันอีก จะบ้าไปถึงกัน พอใจหรือยัง”

             มาร์ลาสตั้งสติเงยหน้าขึ้นมาฝืนยิ้มใช้มือข้างหนึ่งพยุงตัวค้ำยันพื้นเอาไว้ หลบตาคู่สวยคมที่จ้องมองมาอย่างเอาเรื่อง หันไปมองหน้าคู่ปรับผู้มีอาการหนักไม่แพ้กันก่อนยักคิ้วให้เอ่ยปากอย่างลำบากยากเย็นว่า

             “ข้าไม่ได้แพ้”



            ................
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่