จอมใจอเวจี......บทที่ 17 (ดินแดนแห่งความตาย)

กระทู้สนทนา
ความเดิมตอนที่แล้ว
http://ppantip.com/topic/35488723


เฟรี่ล้มหมอนนอนเสื่ออีกครั้ง ความจำเสื่อมอีกต่างหาก จากการรับบทคนรับใช้
มีไลเดียและไนท์เฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด


============
จอมใจอเวจี
บทที่ 17

============



             “เจ้านายบ้าๆ คนนั้นจะกินอาหารที่ข้าทำไหม”

             เสียงละเมอของคนบนเตียง ทำให้สาวใช้ตนเก่งเช็ดน้ำตาแอบเหลือบมอง “เจ้านายบ้าๆ” ด้วยหางตาแล้วจงใจกระซิบดังๆข้างหู

             “คุณเฟรี่ทำอาหารอร่อย เจ้านายบ้าๆ นั่นต้องชอบแน่นอน ไม่ต้องห่วง”

             เจ้านายบ้าๆ ผู้ยืนข้างเตียงสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นสองสาวเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยยังกับนัดกันไว้  รู้สึกเหมือนตัวเองโดนว่าทางอ้อม ... เฟรี่พลิกตัวไปกอดหมอนข้างกระซิบแผ่วเบาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเงียบไป

             “ดูแลเขาด้วยนะ เจ้านายไม่สบาย ยังไม่หายเป็นปกติ”

             “ข้าหายแล้ว”

             แทบไม่ทันขาดคำ ปีศาจหนุ่มก็ตะโกนดังๆ เหมือนจะให้ทะลุเข้าไปในโลกแห่งความฝันของหญิงสาว ไลเดียเช็ดน้ำตาอีกครั้งก่อนวางมือของนางฟ้าคนดีลงอย่างแผ่วเบา แล้วพูดออกมาแบบไม่มองหน้าใครว่า

             “ใครว่า...หายแล้ว...อาการหนักกว่าเก่าอีก”

             “เจ้าว่าใคร”   ไนท์กระชากเสียงเตรียมหาเรื่องเต็มที่ ไลเดียทำเป็นไม่สนใจเอามือแตะหน้าผากคนไม่สบาย ตรวจดูอาการครู่หนึ่งก่อนลุกขึ้นจากเก้าอี้หันมาบอกคนอาการหนักแบบหน้าตาเฉย

             “ดูแลคุณเฟรี่ต่อนะคะ ห้ามแกล้งห้ามฉวยโอกาสห้ามแตะต้อง... มีอะไรตะโกนดังๆนะคะ”

             ว่าพลางเดินออกไปอย่างรวดเร็วก่อนอีกฝ่ายจะตั้งตัวทัน ไนท์อ้าปากค้าง มองตามไปอย่างไม่เข้าใจก่อนส่ายหน้าไปมาพลางยกมือขึ้นเกาศีรษะอย่างคนงงงันกับชีวิต พลางนั่งเก้าอี้ประจำตำแหน่งแทนคนเพิ่งเดินจากไป  นึกในใจว่าสองสาวคู่นี้เข้ากันดีเหลือเกิน  สุดท้ายเลยกลายเป็นคนเฝ้าไข้ไปโดยปริยาย ได้แต่นั่งจ้องมองสาวตกสวรรค์นิ่งอยู่เช่นนั้นด้วยท่าทางหมดสภาพนักล่ามือสังหารปีศาจไปชั่วขณะเพราะทำอะไรไม่ถูก แต่การที่ไลเดียลุกขึ้นเดินหนีออกไปได้ด้วยท่าทางไม่กังวลมากนักก็หมายถึงว่าอาการไม่มีอะไรน่าหนักหนาเท่าใด ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าผละหนีออกไปดื้อๆ เพราะรู้ว่าสาวใช้คนเก่งเป็นห่วงเฟรี่ขนาดไหน คิดไปคิดมาก็ไม่เข้าใจว่าสองสาวต่างโลกมาถูกชะตากันได้อย่างไร

             เฟรี่เวลานี้ดูน่ารักจริงๆ นอนหลับตาพริ้มขนตางอนเป็นแฝงเรียงสวย เพียงใบหน้าดูขาวซีดราวเป็นคนไข้ ไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือสาวจอมดื้อจอมโวยวายเอาแต่ใจอารมณ์ร้อน เป็นคนความจำเสื่อมแบบนี้ก็น่าจะดี เพราะพอความจำเสื่อมก็ดูพูดง่ายไม่ดื้อไม่ซนน่ารักไปอีกแบบ ไม่ต้องฟื้นความจำดีไหม...

             แล้วเราเป็นใคร เป็นปีศาจมือสังหารจอมไล่ล่าวิญญาณบาปให้กลับสู่นรก ไม่ต้องไปเพ่นพ่านบนโลกมนุษย์ ไม่ใช่คนมาดูแลคนป่วยสักหน่อย เรามาทำอะไรอยู่กันแน่.....เกิดมาไม่เคยแม้แต่จะคิด

             หรือกำลังเฝ้าหัวใจของตนเอง   ปีศาจหนุ่มสลัดความคิดวุ่นวายออกจากความรู้สึก นั่งตรงตัวหลับตาลงสงบใจตั้งจิตแน่วแน่ กระซิบแผ่ว

             “ข้าจะไปตามหาเจ้าให้เจอ”



             เฟรี่กะพริบตาไปมาอย่างมึนงง ก่อนพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในป่าอันรกร้างว่างเปล่าและมืดครึ้มอย่างโดดเดี่ยว เดียวดาย กิ่งไม้ใบไม้แกว่งไกวไหวเอนตามแรงลมดูคล้ายเงาภูตผีปีศาจเริงระบำรำร่ายในเสียงหวีดหวิวคร่ำครวญหวนไห้ หลังจากตั้งสติพักหนึ่งก็เริ่มรู้สึกว่าคุ้นๆกับดินแดนประหลาดเหมือนเคยมาแล้วครั้งหนึ่งเพียงยังนึกไม่ออกว่าเคยมาช่วงเวลาใดของชีวิต

             ด้านหน้ามองเห็นถนนสายเล็กๆ เต็มไปด้วยเศษกิ่งไม้ใบหญ้ากำลังปลิวปลิวลิ่วลม คลับ คล้ายคลับคลาว่าเคยผ่านบริเวณนี้มาแล้วเช่นกัน บรรยากาศดูไม่ออกว่าเป็นเวลาใดเพราะดูหม่นมัวอึมครึม สายลมยะเยือกเย็นราวลมหายใจแห่งความตายพัดผ่านมาเป็นระยะ ทำให้ต้องกอดอกห่อไหล่ด้วยความหนาวสั่นสะท้าน

             ทันใดนั้นสายตาก็มองเห็นผู้หญิงในชุดเสื้อแขนสั้นกระโปรงยาวดำยิ่งกว่าสีแห่งรัตติกาลคนหนึ่งกำลังเดินอยู่อย่างช้าๆ เบื้องหน้าห่างออกไปไม่มากนัก มองจากด้านหลังไม่สามารถมองเห็นใบหน้า แต่ก็ให้ความรู้สึกคุ้นๆเช่นกันกับเส้นผมสีดำยาวสยายถึงแผ่นหลังพลิ้วไหว กาลเวลาเหมือนหมุนวนกลับมาอีกครั้ง นึกไม่ออกว่าเคยพบผู้หญิงคนนี้เมื่อไร

             เฟรี่เร่งฝีเท้าติดตามไปอย่างรวดเร็ว แต่ถึงจะเร่งฝีเท้ารวดเร็วปานใดก็ไม่อาจไล่ทันคนเดินนำหน้าได้ทั้งที่เห็นชัดว่ากำลังก้าวเดินแบบไม่รีบร้อน จนมาถึงสะพานหินโค้งข้ามแม่น้ำสายหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นเหมือนจะหยุดแล้วหันมามองนิดหนึ่งพลางทำท่าเหมือนเชิญชวนให้เดินตามไป เท้ากำลังจะก้าวตามโดยไม่รู้ตัว พลันรู้สึกถึงพลังอะไรบางอย่างแผ่ซ่านออกมาจากอกเสื้อ มือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้ออย่างไม่ตั้งใจ

             ก้อนหินกลมรีราวไข่มุกเล็กๆก้อนหนึ่งติดมือออกมาด้วย กำลังเปล่งประกายรายพร่างหลากสีราวมีดวงดาวเรียงรายไล่ร้อยบนสายรุ้งหมุนวนพลิกพลิ้วส่งแสงสวยงามระยิบระยับตา แสงสีแวววาวตัดความรู้สึกทำให้สะท้านกายเฮือกใหญ่ราวสะดุ้งตื่นจากมนตร์มายาครอบงำ  เงยหน้ามองอีกครั้งก็พบว่าหญิงสาวชุดดำลึกลับหายไปเสียแล้วราวกับเป็นภาพลวงตา แต่ตัวสะพานหินยังคงมองเห็นโค้งทอดยาวหายไปในความมืดอีกด้านหนึ่ง หญิงสาวแดนสรวงรู้สึกขนลุกซู่อย่างไม่มีเหตุผล ถ้าไม่หยุดเดินแล้วก้าวข้ามสะพานเบื้องหน้าไป จะเป็นอย่างไรกัน

             “ข้ามไปก็ไม่ได้กลับมาฝั่งคนเป็นอีก”

             เสียงทุ้มต่ำของใครคนหนึ่งดังมาจากด้านหลังทำให้สะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ หันกลับไปมองก็เบิกตากว้างอย่างแปลกใจเมื่อพบร่างทะมึนในชุดสีดำและหน้ากากสีขาวเย็นชาราวปีศาจ

             “ไนท์....” หลุดออกร้องเรียกชื่อบุรุษลึกลับคนนั้นพลางเดินเข้าไปหาด้วยความดีใจ น่าแปลกว่าเธอจดจำปีศาจหน้ากากได้ชัดเจน หรือว่ามันเป็นอาถรรพ์ของดินแดนมรณะ

             “เจ้าจำข้าได้”   ปีศาจหนุ่มเป็นฝ่ายเอ่ยแบบงงงันไม่เข้าใจมากกว่าจะตั้งใจถามความจริง เฟรี่กำลังสลบไม่ได้สตินอนอยู่บนเตียงในห้องนอนอีกครั้งและกำลังอยู่ในช่วงความจำเสื่อม ทำไมถึงยังมีความทรงจำบางอย่างหลงเหลืออยู่ หรือว่าร่างกายกับจิตใจไม่จำเป็นต้องสัมพันธ์กัน

             “ทำไมจะจำไม่ได้ ตัวกวนประสาทหยิ่งๆ ไม่เข้าท่าแบบเจ้าทำไมข้าจะจำไม่ได้”

             นั่น....ชัดเลย...ไม่ต้องสงสัยอะไรเลย...พอจำได้ก็เริ่มหาเรื่องพาลตามนิสัย แต่คู่กรณีไม่ต่อปากต่อคำอะไรเพราะมัวแต่กำลังยืนนิ่งหาคำตอบให้กับตัวเอง อึดใจต่อมาจึงยื่นมือออกไปข้างหน้าทำท่าเหมือนจะขออะไรบางอย่าง หญิงสาวมองมือ..มองหน้ากากอย่างสงสัย แต่ด้วยความรู้สึกพิเศษบางชนิดก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร จึงค่อยๆ วางก้อนหินประหลาดลงบนฝ่ามือของผู้มาใหม่

             ก้อนหินประหลาดตอนนี้กลับกลายเป็นก้อนหินธรรมดา แต่ยังคงมีประกายวาววาวสวยงามหลงเหลือถึงแม้จะไม่มีดารารายประกายพรายรุ้งอย่างเช่นเมื่อครู่   ไนท์รับก้อนหินพิศวงไปก่อนหยิบเชือกสีดำเส้นเล็กๆ มาจากแขนเสื้อ บรรจงร้อยรัดมัดเข้ากับก้อนหินประหลาดจนกลายเป็นสร้อยคอเส้นหนึ่งพลางหันมามองหญิงสาวแดนสรวง

             “มีอะไรหรือ..” เฟรี่หลังจากจ้องมองอยู่อย่างเงียบๆส่งเสียงถามขึ้น แต่ก็พอเดาออกว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร

              “ข้าอยากให้เจ้าสวมมันไว้ตลอดเวลา”

             “ทำไมต้องสวมสร้อยด้วยล่ะ”

             “เถอะน่า ไม่ต้องพูดมาก”

             หญิงสาวเอียงคอชำเลืองมองดูท่าทีว่าจะมาไม้ไหน  เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรน่าจะเป็นพิษภัยจึงพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ ปีศาจหนุ่มเดินเข้ามาใกล้พลางคล้องสวมสร้อยคอพิเศษเส้นนั้นให้กับหญิงสาวอย่างแผ่วเบา เมื่อสร้อยสัมผัสผิวละมุน ก้อนหินกลิ้งอยู่บริเวณอกเสื้อ เหมือนกับมีรังสีอำนาจพิเศษบางอย่างทำให้รู้สึกอบอุ่นมั่นคงขึ้นมาทันทีพร้อมกับเสียงห้วนอธิบายเหตุผลอยู่ข้างหู

             “มันจะปกป้องเจ้าจากสิ่งชั่วร้ายและอันตรายจากพวกวิญญาณบาปจากนรก”

             ในที่สุดเฟรี่ก็นึกออกแล้วว่าก้อนหินก้อนนี้ได้มาจากใคร  ในคืนที่เธอเจ็บป่วยเพราะปฏิกิริยาจากเลือดปีศาจเจียนอยู่เจียนไป และกำลังจะหลงทางเดินติดตามผู้หญิงชุดดำคนนำทางวิญญาณไปสู่โลกแห่งความตายข้ามสะพานมรณะ ดีว่านักรบปีศาจก็โผล่มาช่วยไว้ทันและมอบก้อนหินนี้ให้เก็บติดตัวเอาไว้ ไม่นึกว่าก้อนหินประหลาดจะช่วยเธอเอาไว้จากการเข้าสู่ดินแดนมรณะอีกครั้ง

             “เก็บในอกเสื้อเดี๋ยวก็ทำหล่นหาย แขวนคอไว้เลยจะดีกว่า”

           คนให้สายสร้อยทำเสียงจริงจังแบบผู้ใหญ่บอกเด็ก คนฟังลอบทำจมูกย่นและรู้สึกขวางๆกับคำพูดและน้ำเสียงเข้มดุ จะพูดกับเฟรี่คนนี้ต้องพูดดีๆ ไม่ใช่ห้วนกวนอารมณ์วางอำนาจ

             “รู้สึกว่ามันน่ารำคาญ” บ่นพอให้อีกฝ่ายได้ยิน แต่ปีศาจหนุ่มยังคงบอกอย่างใจเย็นว่า

             “ห้อยคอไว้เถอะน่า อย่างน้อยมันก็ช่วยเจ้าได้”

             “ข้าไม่ชอบ..รำคาญ”

             “รำคาญก็โยนทิ้งได้เลย”

             “งั้นข้าโยนทิ้งล่ะนะ” เอียงคอเลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าจริงจัง มือจับสร้อยคอทำท่าเหมือนจะกระชากสร้อยคอทิ้ง อีกฝ่ายยืนนิ่งสักพักจึงตอบด้วยเสียงราบเรียบว่า

             “ก็ตามใจ”

             เฟรี่มองหน้ากากเย็นชาไร้อารมณ์ราวกับจะพยายามมองลึกให้ไปถึงบางอย่างภายในใจที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากนั้นแล้วในที่สุดก็ส่ายหน้าจนเส้นผมสยายพลางหัวเราะเสียงใสบอกว่า

             “เรื่องอะไรข้าจะทิ้ง ได้มาก็แบบฟรีๆ ไม่เสียเงินซื้อ เก็บเอาไว้ขายต่อดีกว่าคงได้ราคาดี อีกอย่างถ้าทิ้งไปจริงๆ เจ้าคงเสียใจแย่”

             “ทำไมข้าต้องเสียใจ”

             “ไม่เห็นจะต้องถาม คนให้สิ่งของกับคนอื่น แล้วเห็นเขาโยนทิ้งต่อหน้าต่อตาใครบ้างจะไม่เสียใจ”    พูดจบก็หัวเราะชอบใจ ทำเอาคนให้สร้อยพูดไม่ออกกับสภาพปรับเปลี่ยนอารมณ์ชนิดตามไม่ทัน แต่นี่ล่ะ...ตัวจริงเสียงจริงของนางฟ้าคนนี้ล่ะ คนเจ้าอารมณ์เปลี่ยนแปลงไปมาง่ายตามไม่ทัน หลังจากหัวเราะจนพอใจหญิงสาวก็เริ่มสนใจหันไปมองรอบตัว

             “ไนท์...เราอยู่ที่ไหนกัน”

             “อ้าว...จำไม่ได้หรือ ก็รอยต่อระหว่างโลกแห่งความเป็นกับโลกแห่งความตายยังไงล่ะ”

             “ข้าหมายถึงว่าเรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน”

             “เจ้าจำไม่ได้เหรอ”

             เฟรี่ส่ายหน้า สายตามีแววครุ่นคิดกังวล นักรบปีศาจมองหน้าคู่สนทนาอย่างไม่เข้าใจก่อนย้อนถามอย่างสงสัยว่า

             “เจ้าพอจำได้ไหม... ก่อนหน้านี้เจ้าอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่”

             หญิงสาวมีสีหน้าครุ่นคิดอีกครั้ง คิ้วขมวดเข้าหากันครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้าอย่างจนปัญญาบอกว่า

             “ข้าจำไม่ได้เลย...แต่น่าแปลกว่าข้าจำและรู้จักเจ้าดี......”

             จิตใจคนเราช่างซับซ้อนและแปลกพิสดารจนยากจะหยั่งถึงหรือเข้าใจ เวลานี้เฟรี่จดจำไนท์ได้ แต่ความทรงจำส่วนอื่นเหมือนยังไม่กลับคืนฟื้นคืนสภาพ

             “เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร” นักรบปีศาจเอ่ยถามแบบหยั่งเชิง คนถูกถามทำหน้าครุ่นคิดอีกแล้วตอบช้าๆอย่างมั่นใจว่า

             “เจ้าเป็นปีศาจ ส่วนข้าเป็นนางฟ้า”

             “แล้วนางฟ้าอย่างเจ้ามาทำอะไรอยู่ในดินแดนของปีศาจ”

             “ข้าจำไม่ได้”

             “เจ้ากลัวข้าไหม...ข้าเป็นปีศาจนะ”



            ........
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  แต่งนิยาย
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่