...หากว่ามีวันหรือคืนหนึ่ง
ปีศาจได้ย่องตามเจ้าในยามที่โดดเดี่ยวและโดดเดี่ยวอย่างถึงที่สุด จากนั้นกล่าวกับเจ้าว่า
"ชีวิตนี้ซึ่งเจ้าใช้อยู่และเคยใช้มาแล้ว เจ้าจะต้องใช้ชีวิตแบบเดียวกันนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด"
เจ้าจะไม่ทุ่มตัวลงกับพื้นขบฟันด้วยคั่งแค้นและสาปแช่งปีศาจซึ่งกล่าวเช่นนี้กระนั้นหรือ?
หรือว่าหลังจากประสบการณ์อันน่าประหวั่นพรั่นพรึงนี้เจ้าจะตอบแก่มันว่า
"ท่านคือพระเจ้า และข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินถ้อยคำใดศักดิ์สิทธิ์เท่านี้มาก่อน"
ฟรีดริช นีทเชต์
โนมอสยืนอยู่ที่ระเบียงของวิหารหนึ่งในจำนวนที่มีมากมายในไบเอโอเธียชั้นใน ระเบียงด้านนั้นหันหน้าไปทางทะเลสีแดงสดจากสาหร่ายที่แพร่กระจายในฤดูนี้พอดี
เดวิดอราเบลและหญิงพรหมจรรย์ทั้งหลายเดินมาจนตัวแห้ง เขาคันจมูกยุบยิบเพราะกลิ่นเค็มผ่าวของไอทะเลที่อบอวลอยู่
"พี่หญิงโนมอส" อราเบลย่อตัวคารวะ โนมอสหันกายกลับมา นัยน์ตาหรี่ปรือและร่างกายโงนเงนเหมือนตกอยู่ใต้ฤทธิ์ยาบางอย่าง นางสูดลมหายใจยาวพลางจับราวระเบียงวิหารไว้เพื่อทรงตัว จากนั้นจึงสังเกตเห็นเดวิด
"เทพีเมตตาเจ้ายิ่ง ไม่เคยมีบุรุษใดที่สามารถร่วมคณะเราได้มาก่อน หากเจตจำนงของเทพีย่อมเป็นเด็ดขาด"
อราเบลและหญิงพรหมจรรย์ทั้งหลายย่อตัวเคารพแล้วถอยออกไปจากบริเวณนั้นอย่างเงียบ ๆ เอพิสเทเม่เหลียวหลังมองเดวิดด้วยสายตากังวล
"ท่านไวส์เวอร์จิ้น ข้า..ข้าคิดว่า ข้าไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นดีนัก ข้าจะขอบคุณท่านมากหากปล่อยข้าไปจากที่นี่ ข้ารู้ว่าเป็นการอุกอาจที่ร้องขอความกรุณาจากท่านไวส์เวอร์จิ้น แต่ข้าไม่เห็นผู้ใดที่พอจะเป็นที่พึ่งแล้ว"
"เจตจำนงของเทพีย่อมเป็นเด็ดขาด เจ้าดื่มน้ำยาศักดิ์สิทธิ์และผ่านการทดสอบ เจ้าได้ครอบครองปัญญาอันสูงส่งของเทพีแล้ว เหตุใดจึงยังใฝ่หาลัทธินอกรีตอีก"
"ปัญญาสูงส่ง ท่านหมายความว่าอะไร คนพวกนั้นบอกแก่ข้าเช่นเดียวกับที่ท่านบอก แต่ข้าไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น ปล่อยข้าไปเถิด ข้าสัญญาว่าข้าจะทำทุกอย่างที่ท่านต้องการ"
"อะไรคือที่สุดของศักยภาพของมนุษย์ ที่สุดของศักยภาพมนุษย์คือความรู้ อะไรคือความรู้ ความรู้คือความเชื่อที่จริงและมีสิ่งเกื้อหนุนความเชื่อนั้น อะไรคือที่สุดของความรู้ ที่สุดของความรู้คือความรู้เกี่ยวกับความรู้ ความรู้เกี่ยวกับความรู้จึงเป็นที่สุดของศักยภาพมนุษย์ และนั่นคือปัญญาสูงส่งที่เทพีมอบให้แก่เจ้า"
"ได้โปรด ท่านไวส์เวอร์จิ้น ข้าไม่เข้าใจที่ท่านพูดเลยสักคำเดียว ข้าไม่ได้ต้องการมาหาศักยภาพอะไรนั่น ข้าเพียงแต่ต้องการกลับไปหามิตรสหายที่ข้าอุ่นใจ"
"ดังนั้นเจ้าอ้างมิตรภาพ เป็นคำโป้ปดที่แย่ที่สุดเท่าที่เราเคยได้ยินมา โอเวอร์แมนเอ๋ย เราจะเรียกเจ้าเช่นนั้นเพราะหัวใจของเจ้ายังเป็นของพวกเขา จงบอกมาเถิดว่าอะไรที่ถูกถามกันในหมู่ของเจ้า"
เดวิดนิ่งอยู่ โนมอสจึงสำทับ "อะไรกัน เราเปิดโอกาสให้เจ้าได้โน้มน้าวเราว่าเจ้ามีศรัทธาที่ถูกต้อง หรือว่าโอเวอร์แมนทั้งหลายก็เป็นดังเจ้า เพราะชอบเที่ยวเล่นและติดเพื่อนจึงรวมกลุ่มกันเหมือนสัตว์คะนองที่ท่องไปในทุ่ง"
"ได้โปรดเถิดท่านไวส์เวอร์จิ้น ข้าไม่เข้าใจที่ท่านพูดสักนิดเดียว คนอย่างข้าไม่มีประโยชน์หรอก"
"ข้าถามว่าอะไรที่ถูกถามในหมู่ของเจ้า อะไรที่เป็นคำถามสำคัญที่เจ้ามุ่งแสวงหาคำตอบ ความสงสัยใดที่ต้อนเจ้าไปในราวไพร ดุ่มเดินในหมู่บ้านรกร้างที่เต็มไปด้วยวิบัติภัยและภูตร้าย"
"ท่านหญิง ถ้าท่านจะรู้ให้ได้ล่ะก็ คำถามที่เราพูดกันคือโลกนี้เป็นจริงดังที่ผัสสะเราบอกหรือ เราเห็นการหลอกลวงของผัสสะในกรณีเล็กน้อย และเราก็สงสัยว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เรารู้ มันถูกบิดเบือนหรือไม่"
"ว่าต่อไป"
"ท่านหญิงพูดถึงความรู้ของความรู้ ซึ่งนั่นเป็นความรู้แปลกใหม่ที่พวกข้าไม่เคยพูดถึง เราพูดกันถึงความรู้ที่ต้องมองด้วยตาเนื้อ และความรู้ที่ต้องมองด้วยตาแห่งปัญญา"
"มันแตกต่างไฉน"
"ตาเนื้อเป็นเพียงคำเปรียบเปรย หมายถึงผัสสะทั้งห้าที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโลกภายนอก ข้ารู้ว่าดวงอาทิตย์มีสีเขียว แดง น้ำเงิน และเหลืองเหลือบมุก และทิศที่ดวงอาทิตย์ขึ้นไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน ดังนี้ย่อมเป็นความรู้แต่ผัสสะ แต่ความรู้ที่ได้จากตาภายในก็เช่นมุมภายในของสามเหลี่ยมรวมกันได้เจ็ดร้อยสามสิบสามองศา ซึ่งย่อมพิสูจน์สืบสวนได้จากการครุ่นคิดโดยไม่ต้องพึ่งข้อมูลการชั่งตวงวัดในโลกแห่งผัสสะ"
"เจ้าพูดได้คล่องแคล่ว แต่ดูเหมือนนกแก้วนกขุนทองที่ท่องจำเขามามากกว่า"
เดวิดหน้าแดงและมีอาการไม่พอใจ "ท่านถามและข้าตอบ มีสิ่งใดที่ท่านหญิงต้องการให้ข้าสนองอีก"
"โอเวอร์แมนเอ๋ย คำถามของเราต้องการหาข้อพิสูจน์การมีอยู่ของปีศาจที่เจ้าอ้าง สิ่งที่เจ้าพูดมามันเป็นเรื่องผิวเผินถึงการแยกแยะความรู้ตามสามัญสำนึกที่ชาวป่าชาวดอยก็พูดได้ ปีศาจจะโผล่มาจากที่ใดได้เล่า หรือจากลิ้นและจงอยปากนกแก้วของเจ้า"
"ปีศาจย่อมมีอยู่จากข้อพิสูจน์สองข้อ ข้อแรกคือเราพบว่าประสาทสัมผัสให้ข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงและแตกต่างกันไปในแต่ละสภาวการณ์ อะไรที่เปลี่ยนแปลงย่อมไม่มีส่วนในความจริง เพราะความจริงคือสิ่งที่แน่นอนตายตัว ไม่เปลี่ยนแปลงและเป็นนิรันดร์ โลกที่เปลี่ยนแปลงเอาแน่เอานอนไม่ได้ย่อมเป็นคำโกหกของปีศาจ"
"เจ้าทำให้เรานึกถึงคำกล่าวโบราณ" โนมอสกล่าว "ความเปลี่ยนแปลงคือความไม่เปลี่ยนแปลง หากแก่นแท้ของโลกคือความเปลี่ยนแปลง ความรู้เกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงจึงเป็นความรู้ที่ไม่เปลี่ยนแปลง หากว่าความเปลี่ยนแปลงเป็นกฎสากลของธรรมชาติ และสภาวะนี้ยั่งยืนนิรันดร เจ้าจะอ้างได้อย่างไรว่าความเปลี่ยนแปลงไม่คงทนของสิ่งต่าง ๆ ในโลกคือการหลอกลวงของปีศาจ"
"และข้อสอง" เดวิดชูนิ้วที่สองขึ้นมาโดยไม่สนใจคำโต้แย้งของโนมอส "ความรู้สองประเภทที่ข้ากล่าวถึงก่อนหน้าขัดแย้งกัน พวกเราได้พบสภาวะคอสมอส การมีกฎเกณฑ์สอดคล้องกลมเกลียวในความรู้ที่มองเห็นได้จากตาภายใน ท่านสามารถทำนายผลลัพท์ของการคำนวณตรีโกณมิติได้เสมอ และผลลัพท์นั้นมีเพียงหนึ่งเดียวและเป็นที่แน่นอนไม่มีทางเปลี่ยนแปลง ขณะที่โลกภายนอกอยู่ในสภาวะเคออส มันยุ่งเหยิงไม่มีระบบระเบียบ ท่านทำนายไม่ได้หรอกว่าวันพรุ่งดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศใด อาหารใดที่ยังคงกินได้อาจจะกลายเป็นสารก่อโรคระบาดในวันมะรืน"
โนมอสฟังดังนั้นแล้วกล่าวว่า "เราเคยชมละครที่เขาเล่นกันในเมืองเรื่องหนึ่ง เล่าถึงชายที่ถูกขังในโลกประดิษฐ์ วันหนึ่งฝนตกใส่เฉพาะหัวเขา และเมื่อเขาเดินไปยังทิศทางใด เมฆฝนนั้นก็ไล่ตามไปในทุกที่ เขาบอกแก่ผู้ชมว่าเขาสงสัยว่ากำลังถูกขังไว้ในโลกที่หลอกลวง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันแปลกประหลาดและวิปริตผิดเพี้ยน เมื่อจบการแสดงเราจึงเรียกเขามาถามว่า เขารู้ได้อย่างไรว่าอะไรผิดปกติ และอะไรไม่ผิดปกติ เขาตอบเราไม่ได้เพราะเขาเป็นเพียงนักแสดง บทละครได้ถูกส่งต่อ ๆ กันมา และที่มาของมันคือคำสอนของโอเวอร์แมน ข้าจึงยินดีที่มีโอกาสได้สนทนากับโอเวอร์แมนคนหนึ่ง ซึ่งพรุ่งนี้อาจจะกลายเป็นน้องชายของเรา ดังที่เจ้าบอกว่าโลกนี้มันไม่แน่นอน"
เดวิดคิดในใจว่าไวส์เวอร์จิ้นผู้นี้ที่จริงแล้วไม่ได้แตกต่างจากโอเวอร์แมนทั้งปวงเลย เขารู้สึกหวั่นไหวที่นางมีความสงสัยต่อเรื่องต่าง ๆ อย่างจริงใจ จึงตั้งใจว่าจะป้องกันคำสอนและความเชื่อของตนให้หนักแน่นยิ่งขึ้นเผื่อว่าจะสามารถเป็นคำตอบให้แก่นางได้ นึกถึงตรงนี้เดวิดก็ตบหน้าตัวเองในใจและถามต่อตนว่า เจ้าเป็นใครกันเดวิด เจ้าคิดว่าจะสั่งสอนไวส์เวอร์จิ้นสูงสุดแห่งไบเอโอเธียเชียวหรือ ความไม่เจียมตัวของเจ้า หากท่านเครทอสรู้เข้าคงไม่แคล้วเอาตะพดฟาดเข้าสักที
"เขาบอกได้ว่าอะไรผิดปกติ เพราะมันไม่ตรงตามแบบแผนของธรรมชาติ สิ่งที่ไม่ผิดปกติคือสิ่งที่เป็นไปตามแบบแผนของธรรมชาติ"
"แบบแผนของธรรมชาติคือสิ่งที่เจ้าใช้จำแนกสภาวะเคออสกับคอสมอสอย่างงั้นหรือ"
"ใช่แล้วท่านหญิง"
"แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าอะไรคือแบบแผนของธรรมชาติ"
"มันผุดขึ้นมาในหัวเหมือนตาน้ำเร้นลับที่ผุดขึ้นมากลางทะเลทรายแห้งผาก เหมือนกับที่ทารกรู้ว่าต้องร้องไห้เมื่อเจ็บปวด และแย้มยิ้มเมื่อกำลังสบาย เหมือนกับที่ท่านรู้ว่าท่านต้องขยับอวัยวะในคออย่างไร เสียงของท่านจึงออกมาดังที่ท่านหมายให้ออก"
"เราไม่เถียงว่ามีแบบแผนบางอย่างปรากฎขึ้นในกิริยาอาการของมนุษย์ แต่ว่าการที่มีแบบแผนที่แน่นอนปรากฎในการเคลื่อนไหวของมนุษย์ไม่สามารถสรุปได้ว่าธรรมชาติในภาพใหญ่จะต้องเป็นเช่นนั้น ให้เรากลับไปที่บทละครเรื่องดังกล่าว ชายผู้นั้นตลอดชีวิตของเขาอยู่ในโลกประดิษฐ์ซึ่งอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เหตุใดเขาจึงสงสัยในสิ่งที่เขาประสบอยู่ตั้งแต่เกิดจนเติบโต เรารู้สึกว่ามันไม่มีเหตุผลที่จะต้องสงสัย ความสงสัยดังกล่าวเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อละครถูกมองผ่านสายตาของผู้ชม เมื่อเราซึ่งอาศัยอยู่ในโลกที่ฝนไม่ตกแบบนั้นมองตัวละครในโลกที่ฝนตกแบบพิลึกพิลั่น เราจึงรู้สึกว่ามันประหลาด แต่ครั้นเมื่อมองด้วยสายตาของคนใน ซึ่งปราศจากสิ่งเปรียบเทียบหรือโลกอื่น ๆ ที่เขาจะอ้างว่ามันเป็นระบบระเบียบอยู่ในสภาวะคอสมอสมากกว่า เขาจะรู้สึกสงสัยได้หรือว่าโลกที่เขาดำรงอยู่นั้นเป็นสิ่งบิดเบี้ยวหลอกลวง กระทั่งเป็นคำโป้ปดมดเท็จของปีศาจผู้มหิทธิ์"
นางเว้นจังหวะครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวสรุปที่สั่นคลอนความเชื่อของเดวิดเป็นอย่างยิ่ง
"เจ้าเองก็เหมือนชายผู้นั้น เจ้าอยู่ในโลกที่เป็นดังที่เจ้าเห็น แต่เจ้าบอกว่ามันวิปริตบิดเบี้ยวทั้ง ๆ ที่มิได้ใช้สายตาของพระเจ้าซึ่งสามารถมองไปยังหลาย ๆ โลกพร้อม ๆ กันในการมองดูแบบแผนของธรรมชาติ ความสงสัยของเจ้าเป็นแค่การหลอกตัวเอง และการสรุปว่ามีปีศาจที่คอยหลอกลวงเจ้าอยู่ก็เป็นการสรุปเกินข้ออ้าง เจ้าถูกทำให้สายตาพร่าพรายด้วยโวหารของผู้เฒ่าเครทอส โอเวอร์แมนผู้มีลิ้นอันคล่องแคล่ว เจ้าบอกว่าความสงสัยของเจ้าหาที่สิ้นสุดมิได้ แต่เจ้าได้สงสัยความเชื่อฝังหัวของเจ้าเองหรือยัง อะไรคือปีศาจชั่วร้าย ปีศาจชั่วร้ายก็คือคนที่ไม่ไตร่ตรองความเชื่อของตนให้ถ่องแท้ แต่ไปชี้ว่าผู้อื่นงมงายในศรัทธาอันหาสาระมิได้ เดวิดน้องชายของเรา และไวส์เวอร์จิ้นคนที่สิบสามในขนบของเทพีแห่งปัญญา โปรดไตร่ตรองให้ดี หากวันใดที่เจ้าเกลี้ยกล่อมเราได้ว่ามีปีศาจชั่วร้ายอยู่จริงในโลก วันนั้นแหละที่เจ้าจะเป็นอิสระ หรือในสายตาของเรา คือกลับไปใส่โซ่ตรวนอันเพ้อเจ้อของโอเวอร์แมนเหล่านั้น"
เดวิดก้มหน้าลงรู้ว่าการสนทนาสิ้นสุด โนมอสเดินลากชายชุดอันยาวไปกับพื้นหินของวิหาร ฝีเท้าของนางค่อยห่างออกไป ห่างออกไป กลับกันกันความระแวงสงสัยในใจของเดวิดที่กว้างขึ้น กว้างขึ้น
Over Man! บทที่ 7 ข้อพิสูจน์เรื่องปีศาจ
...หากว่ามีวันหรือคืนหนึ่ง
ปีศาจได้ย่องตามเจ้าในยามที่โดดเดี่ยวและโดดเดี่ยวอย่างถึงที่สุด จากนั้นกล่าวกับเจ้าว่า
"ชีวิตนี้ซึ่งเจ้าใช้อยู่และเคยใช้มาแล้ว เจ้าจะต้องใช้ชีวิตแบบเดียวกันนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด"
เจ้าจะไม่ทุ่มตัวลงกับพื้นขบฟันด้วยคั่งแค้นและสาปแช่งปีศาจซึ่งกล่าวเช่นนี้กระนั้นหรือ?
หรือว่าหลังจากประสบการณ์อันน่าประหวั่นพรั่นพรึงนี้เจ้าจะตอบแก่มันว่า
"ท่านคือพระเจ้า และข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินถ้อยคำใดศักดิ์สิทธิ์เท่านี้มาก่อน"
ฟรีดริช นีทเชต์
โนมอสยืนอยู่ที่ระเบียงของวิหารหนึ่งในจำนวนที่มีมากมายในไบเอโอเธียชั้นใน ระเบียงด้านนั้นหันหน้าไปทางทะเลสีแดงสดจากสาหร่ายที่แพร่กระจายในฤดูนี้พอดี
เดวิดอราเบลและหญิงพรหมจรรย์ทั้งหลายเดินมาจนตัวแห้ง เขาคันจมูกยุบยิบเพราะกลิ่นเค็มผ่าวของไอทะเลที่อบอวลอยู่
"พี่หญิงโนมอส" อราเบลย่อตัวคารวะ โนมอสหันกายกลับมา นัยน์ตาหรี่ปรือและร่างกายโงนเงนเหมือนตกอยู่ใต้ฤทธิ์ยาบางอย่าง นางสูดลมหายใจยาวพลางจับราวระเบียงวิหารไว้เพื่อทรงตัว จากนั้นจึงสังเกตเห็นเดวิด
"เทพีเมตตาเจ้ายิ่ง ไม่เคยมีบุรุษใดที่สามารถร่วมคณะเราได้มาก่อน หากเจตจำนงของเทพีย่อมเป็นเด็ดขาด"
อราเบลและหญิงพรหมจรรย์ทั้งหลายย่อตัวเคารพแล้วถอยออกไปจากบริเวณนั้นอย่างเงียบ ๆ เอพิสเทเม่เหลียวหลังมองเดวิดด้วยสายตากังวล
"ท่านไวส์เวอร์จิ้น ข้า..ข้าคิดว่า ข้าไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นดีนัก ข้าจะขอบคุณท่านมากหากปล่อยข้าไปจากที่นี่ ข้ารู้ว่าเป็นการอุกอาจที่ร้องขอความกรุณาจากท่านไวส์เวอร์จิ้น แต่ข้าไม่เห็นผู้ใดที่พอจะเป็นที่พึ่งแล้ว"
"เจตจำนงของเทพีย่อมเป็นเด็ดขาด เจ้าดื่มน้ำยาศักดิ์สิทธิ์และผ่านการทดสอบ เจ้าได้ครอบครองปัญญาอันสูงส่งของเทพีแล้ว เหตุใดจึงยังใฝ่หาลัทธินอกรีตอีก"
"ปัญญาสูงส่ง ท่านหมายความว่าอะไร คนพวกนั้นบอกแก่ข้าเช่นเดียวกับที่ท่านบอก แต่ข้าไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น ปล่อยข้าไปเถิด ข้าสัญญาว่าข้าจะทำทุกอย่างที่ท่านต้องการ"
"อะไรคือที่สุดของศักยภาพของมนุษย์ ที่สุดของศักยภาพมนุษย์คือความรู้ อะไรคือความรู้ ความรู้คือความเชื่อที่จริงและมีสิ่งเกื้อหนุนความเชื่อนั้น อะไรคือที่สุดของความรู้ ที่สุดของความรู้คือความรู้เกี่ยวกับความรู้ ความรู้เกี่ยวกับความรู้จึงเป็นที่สุดของศักยภาพมนุษย์ และนั่นคือปัญญาสูงส่งที่เทพีมอบให้แก่เจ้า"
"ได้โปรด ท่านไวส์เวอร์จิ้น ข้าไม่เข้าใจที่ท่านพูดเลยสักคำเดียว ข้าไม่ได้ต้องการมาหาศักยภาพอะไรนั่น ข้าเพียงแต่ต้องการกลับไปหามิตรสหายที่ข้าอุ่นใจ"
"ดังนั้นเจ้าอ้างมิตรภาพ เป็นคำโป้ปดที่แย่ที่สุดเท่าที่เราเคยได้ยินมา โอเวอร์แมนเอ๋ย เราจะเรียกเจ้าเช่นนั้นเพราะหัวใจของเจ้ายังเป็นของพวกเขา จงบอกมาเถิดว่าอะไรที่ถูกถามกันในหมู่ของเจ้า"
เดวิดนิ่งอยู่ โนมอสจึงสำทับ "อะไรกัน เราเปิดโอกาสให้เจ้าได้โน้มน้าวเราว่าเจ้ามีศรัทธาที่ถูกต้อง หรือว่าโอเวอร์แมนทั้งหลายก็เป็นดังเจ้า เพราะชอบเที่ยวเล่นและติดเพื่อนจึงรวมกลุ่มกันเหมือนสัตว์คะนองที่ท่องไปในทุ่ง"
"ได้โปรดเถิดท่านไวส์เวอร์จิ้น ข้าไม่เข้าใจที่ท่านพูดสักนิดเดียว คนอย่างข้าไม่มีประโยชน์หรอก"
"ข้าถามว่าอะไรที่ถูกถามในหมู่ของเจ้า อะไรที่เป็นคำถามสำคัญที่เจ้ามุ่งแสวงหาคำตอบ ความสงสัยใดที่ต้อนเจ้าไปในราวไพร ดุ่มเดินในหมู่บ้านรกร้างที่เต็มไปด้วยวิบัติภัยและภูตร้าย"
"ท่านหญิง ถ้าท่านจะรู้ให้ได้ล่ะก็ คำถามที่เราพูดกันคือโลกนี้เป็นจริงดังที่ผัสสะเราบอกหรือ เราเห็นการหลอกลวงของผัสสะในกรณีเล็กน้อย และเราก็สงสัยว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เรารู้ มันถูกบิดเบือนหรือไม่"
"ว่าต่อไป"
"ท่านหญิงพูดถึงความรู้ของความรู้ ซึ่งนั่นเป็นความรู้แปลกใหม่ที่พวกข้าไม่เคยพูดถึง เราพูดกันถึงความรู้ที่ต้องมองด้วยตาเนื้อ และความรู้ที่ต้องมองด้วยตาแห่งปัญญา"
"มันแตกต่างไฉน"
"ตาเนื้อเป็นเพียงคำเปรียบเปรย หมายถึงผัสสะทั้งห้าที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโลกภายนอก ข้ารู้ว่าดวงอาทิตย์มีสีเขียว แดง น้ำเงิน และเหลืองเหลือบมุก และทิศที่ดวงอาทิตย์ขึ้นไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน ดังนี้ย่อมเป็นความรู้แต่ผัสสะ แต่ความรู้ที่ได้จากตาภายในก็เช่นมุมภายในของสามเหลี่ยมรวมกันได้เจ็ดร้อยสามสิบสามองศา ซึ่งย่อมพิสูจน์สืบสวนได้จากการครุ่นคิดโดยไม่ต้องพึ่งข้อมูลการชั่งตวงวัดในโลกแห่งผัสสะ"
"เจ้าพูดได้คล่องแคล่ว แต่ดูเหมือนนกแก้วนกขุนทองที่ท่องจำเขามามากกว่า"
เดวิดหน้าแดงและมีอาการไม่พอใจ "ท่านถามและข้าตอบ มีสิ่งใดที่ท่านหญิงต้องการให้ข้าสนองอีก"
"โอเวอร์แมนเอ๋ย คำถามของเราต้องการหาข้อพิสูจน์การมีอยู่ของปีศาจที่เจ้าอ้าง สิ่งที่เจ้าพูดมามันเป็นเรื่องผิวเผินถึงการแยกแยะความรู้ตามสามัญสำนึกที่ชาวป่าชาวดอยก็พูดได้ ปีศาจจะโผล่มาจากที่ใดได้เล่า หรือจากลิ้นและจงอยปากนกแก้วของเจ้า"
"ปีศาจย่อมมีอยู่จากข้อพิสูจน์สองข้อ ข้อแรกคือเราพบว่าประสาทสัมผัสให้ข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงและแตกต่างกันไปในแต่ละสภาวการณ์ อะไรที่เปลี่ยนแปลงย่อมไม่มีส่วนในความจริง เพราะความจริงคือสิ่งที่แน่นอนตายตัว ไม่เปลี่ยนแปลงและเป็นนิรันดร์ โลกที่เปลี่ยนแปลงเอาแน่เอานอนไม่ได้ย่อมเป็นคำโกหกของปีศาจ"
"เจ้าทำให้เรานึกถึงคำกล่าวโบราณ" โนมอสกล่าว "ความเปลี่ยนแปลงคือความไม่เปลี่ยนแปลง หากแก่นแท้ของโลกคือความเปลี่ยนแปลง ความรู้เกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงจึงเป็นความรู้ที่ไม่เปลี่ยนแปลง หากว่าความเปลี่ยนแปลงเป็นกฎสากลของธรรมชาติ และสภาวะนี้ยั่งยืนนิรันดร เจ้าจะอ้างได้อย่างไรว่าความเปลี่ยนแปลงไม่คงทนของสิ่งต่าง ๆ ในโลกคือการหลอกลวงของปีศาจ"
"และข้อสอง" เดวิดชูนิ้วที่สองขึ้นมาโดยไม่สนใจคำโต้แย้งของโนมอส "ความรู้สองประเภทที่ข้ากล่าวถึงก่อนหน้าขัดแย้งกัน พวกเราได้พบสภาวะคอสมอส การมีกฎเกณฑ์สอดคล้องกลมเกลียวในความรู้ที่มองเห็นได้จากตาภายใน ท่านสามารถทำนายผลลัพท์ของการคำนวณตรีโกณมิติได้เสมอ และผลลัพท์นั้นมีเพียงหนึ่งเดียวและเป็นที่แน่นอนไม่มีทางเปลี่ยนแปลง ขณะที่โลกภายนอกอยู่ในสภาวะเคออส มันยุ่งเหยิงไม่มีระบบระเบียบ ท่านทำนายไม่ได้หรอกว่าวันพรุ่งดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศใด อาหารใดที่ยังคงกินได้อาจจะกลายเป็นสารก่อโรคระบาดในวันมะรืน"
โนมอสฟังดังนั้นแล้วกล่าวว่า "เราเคยชมละครที่เขาเล่นกันในเมืองเรื่องหนึ่ง เล่าถึงชายที่ถูกขังในโลกประดิษฐ์ วันหนึ่งฝนตกใส่เฉพาะหัวเขา และเมื่อเขาเดินไปยังทิศทางใด เมฆฝนนั้นก็ไล่ตามไปในทุกที่ เขาบอกแก่ผู้ชมว่าเขาสงสัยว่ากำลังถูกขังไว้ในโลกที่หลอกลวง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันแปลกประหลาดและวิปริตผิดเพี้ยน เมื่อจบการแสดงเราจึงเรียกเขามาถามว่า เขารู้ได้อย่างไรว่าอะไรผิดปกติ และอะไรไม่ผิดปกติ เขาตอบเราไม่ได้เพราะเขาเป็นเพียงนักแสดง บทละครได้ถูกส่งต่อ ๆ กันมา และที่มาของมันคือคำสอนของโอเวอร์แมน ข้าจึงยินดีที่มีโอกาสได้สนทนากับโอเวอร์แมนคนหนึ่ง ซึ่งพรุ่งนี้อาจจะกลายเป็นน้องชายของเรา ดังที่เจ้าบอกว่าโลกนี้มันไม่แน่นอน"
เดวิดคิดในใจว่าไวส์เวอร์จิ้นผู้นี้ที่จริงแล้วไม่ได้แตกต่างจากโอเวอร์แมนทั้งปวงเลย เขารู้สึกหวั่นไหวที่นางมีความสงสัยต่อเรื่องต่าง ๆ อย่างจริงใจ จึงตั้งใจว่าจะป้องกันคำสอนและความเชื่อของตนให้หนักแน่นยิ่งขึ้นเผื่อว่าจะสามารถเป็นคำตอบให้แก่นางได้ นึกถึงตรงนี้เดวิดก็ตบหน้าตัวเองในใจและถามต่อตนว่า เจ้าเป็นใครกันเดวิด เจ้าคิดว่าจะสั่งสอนไวส์เวอร์จิ้นสูงสุดแห่งไบเอโอเธียเชียวหรือ ความไม่เจียมตัวของเจ้า หากท่านเครทอสรู้เข้าคงไม่แคล้วเอาตะพดฟาดเข้าสักที
"เขาบอกได้ว่าอะไรผิดปกติ เพราะมันไม่ตรงตามแบบแผนของธรรมชาติ สิ่งที่ไม่ผิดปกติคือสิ่งที่เป็นไปตามแบบแผนของธรรมชาติ"
"แบบแผนของธรรมชาติคือสิ่งที่เจ้าใช้จำแนกสภาวะเคออสกับคอสมอสอย่างงั้นหรือ"
"ใช่แล้วท่านหญิง"
"แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าอะไรคือแบบแผนของธรรมชาติ"
"มันผุดขึ้นมาในหัวเหมือนตาน้ำเร้นลับที่ผุดขึ้นมากลางทะเลทรายแห้งผาก เหมือนกับที่ทารกรู้ว่าต้องร้องไห้เมื่อเจ็บปวด และแย้มยิ้มเมื่อกำลังสบาย เหมือนกับที่ท่านรู้ว่าท่านต้องขยับอวัยวะในคออย่างไร เสียงของท่านจึงออกมาดังที่ท่านหมายให้ออก"
"เราไม่เถียงว่ามีแบบแผนบางอย่างปรากฎขึ้นในกิริยาอาการของมนุษย์ แต่ว่าการที่มีแบบแผนที่แน่นอนปรากฎในการเคลื่อนไหวของมนุษย์ไม่สามารถสรุปได้ว่าธรรมชาติในภาพใหญ่จะต้องเป็นเช่นนั้น ให้เรากลับไปที่บทละครเรื่องดังกล่าว ชายผู้นั้นตลอดชีวิตของเขาอยู่ในโลกประดิษฐ์ซึ่งอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เหตุใดเขาจึงสงสัยในสิ่งที่เขาประสบอยู่ตั้งแต่เกิดจนเติบโต เรารู้สึกว่ามันไม่มีเหตุผลที่จะต้องสงสัย ความสงสัยดังกล่าวเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อละครถูกมองผ่านสายตาของผู้ชม เมื่อเราซึ่งอาศัยอยู่ในโลกที่ฝนไม่ตกแบบนั้นมองตัวละครในโลกที่ฝนตกแบบพิลึกพิลั่น เราจึงรู้สึกว่ามันประหลาด แต่ครั้นเมื่อมองด้วยสายตาของคนใน ซึ่งปราศจากสิ่งเปรียบเทียบหรือโลกอื่น ๆ ที่เขาจะอ้างว่ามันเป็นระบบระเบียบอยู่ในสภาวะคอสมอสมากกว่า เขาจะรู้สึกสงสัยได้หรือว่าโลกที่เขาดำรงอยู่นั้นเป็นสิ่งบิดเบี้ยวหลอกลวง กระทั่งเป็นคำโป้ปดมดเท็จของปีศาจผู้มหิทธิ์"
นางเว้นจังหวะครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวสรุปที่สั่นคลอนความเชื่อของเดวิดเป็นอย่างยิ่ง
"เจ้าเองก็เหมือนชายผู้นั้น เจ้าอยู่ในโลกที่เป็นดังที่เจ้าเห็น แต่เจ้าบอกว่ามันวิปริตบิดเบี้ยวทั้ง ๆ ที่มิได้ใช้สายตาของพระเจ้าซึ่งสามารถมองไปยังหลาย ๆ โลกพร้อม ๆ กันในการมองดูแบบแผนของธรรมชาติ ความสงสัยของเจ้าเป็นแค่การหลอกตัวเอง และการสรุปว่ามีปีศาจที่คอยหลอกลวงเจ้าอยู่ก็เป็นการสรุปเกินข้ออ้าง เจ้าถูกทำให้สายตาพร่าพรายด้วยโวหารของผู้เฒ่าเครทอส โอเวอร์แมนผู้มีลิ้นอันคล่องแคล่ว เจ้าบอกว่าความสงสัยของเจ้าหาที่สิ้นสุดมิได้ แต่เจ้าได้สงสัยความเชื่อฝังหัวของเจ้าเองหรือยัง อะไรคือปีศาจชั่วร้าย ปีศาจชั่วร้ายก็คือคนที่ไม่ไตร่ตรองความเชื่อของตนให้ถ่องแท้ แต่ไปชี้ว่าผู้อื่นงมงายในศรัทธาอันหาสาระมิได้ เดวิดน้องชายของเรา และไวส์เวอร์จิ้นคนที่สิบสามในขนบของเทพีแห่งปัญญา โปรดไตร่ตรองให้ดี หากวันใดที่เจ้าเกลี้ยกล่อมเราได้ว่ามีปีศาจชั่วร้ายอยู่จริงในโลก วันนั้นแหละที่เจ้าจะเป็นอิสระ หรือในสายตาของเรา คือกลับไปใส่โซ่ตรวนอันเพ้อเจ้อของโอเวอร์แมนเหล่านั้น"
เดวิดก้มหน้าลงรู้ว่าการสนทนาสิ้นสุด โนมอสเดินลากชายชุดอันยาวไปกับพื้นหินของวิหาร ฝีเท้าของนางค่อยห่างออกไป ห่างออกไป กลับกันกันความระแวงสงสัยในใจของเดวิดที่กว้างขึ้น กว้างขึ้น