จอมใจอเวจี......บทที่ 11

กระทู้สนทนา
บทที่ 10
http://ppantip.com/topic/35023798

ความเดิมตอนที่แล้ว

ไนท์ไปสุสาน เพือเยี่ยมอดีตคนรัก..(ห๊า..คนแบบนี้มีคนรักด้วย) ที่ตายไปแล้ว  เฟรี่ตามไปกวนประสาท
ทำให้ไนท์ ผู้เก็บกด ใช้มีดแทงตัวเอง เฟรี่เป็นลม ไนท์พามาส่งปราสาทขาวแล้วเขาก็หายไป

“ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ที่นั่นหรอก ไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่ไม่ต้องไปกังวลหรอก บอกแล้วไงว่าจะหาคนนำทางให้ ข้าเองก็ขี้เกียจวุ่นวายกับเขาแล้ว เข้าไปกันเถอะวันนี้อาจจะมีแขกพิเศษมากินมื้อเย็นกลับพวกเราด้วย”

====================
จอมใจอเวจี......บทที่ 11
====================


             เฟรี่ไม่ถามอะไรอีก เพราะทันใดนั้นก็รู้สึกถึงความรู้สึกพิเศษชนิดหนึ่ง   ปีศาจขาววีนิลี่ผู้นี้ภายใต้ท่าทางเย็นชาไร้น้ำใจ แต่ความจริงซ่อนเร้นอะไรบางอย่างอยู่ใต้สีหน้าท่าทางเย็นชาปากร้าย

             เหงาไหม เศร้าไหม สายลมเหมือนกระซิบถาม.......เหงากับการมีชีวิตอยู่อย่างอ้างว้างเดียวดาย เศร้าไหมกับการหนีอะไรบางอย่างมาแสนไกล เหงาอะไร เศร้ากับอะไร... เป็นความรู้สึกที่หญิงสาวแห่งแดนสรวงรับรู้ได้อย่างไม่คาดคิดมาก่อน   ผู้หญิงคนคนหนึ่ง ไม่ว่าจะแข็งแกร่งปานใด พยายามบอกเหตุผลกับตนเองหนักแน่นปานใดก็ตาม หรือต่อให้หนีอะไรบางอย่างก็ตาม  สุดท้ายก็ต้องอยู่กับความเหงาเศร้าโดยไม่ปริปากให้ใครรับรู้

             นางฟ้าตกสวรรค์จู่ๆ ก็พลันรู้สึกเหงาเศร้าขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล ร้องเรียกสาวเจ้าบ้านผู้ทำท่าจะเดินจากไปว่า

             “ท่าน...”   วีนิลี่กอดอกหันมาชำเลืองมองด้วยหางตาทำท่าเหมือนสงสัย  เฟรี่สะกดใจ ก่อนพูดต่อไปว่า   “ท่านไม่ใช่คนที่นี่”

             เหมือนมีรอยยิ้มชนิดหนึ่งปรากฏบริเวณมุมปากของเจ้าบ้าน แต่ไม่ได้อธิบายอะไร หันหน้ามองไปยังความมืดนอกตึกอีกครั้ง
“เจ้าก็ไม่ใช่คนที่นี่” ประมุขสาวแห่งตึกใหญ่พูดเสียงเรียบ พอเห็นอีกฝ่ายเงียบเฉยจึงพูดต่อไปว่า

             “คนบางคนมีเหตุผลมากมายในการละทิ้งบ้านเกิด เจ้าก็มีเหตุผลนั้น ข้าเองก็มีเหตุผลเพื่อความอยู่รอดหรือชีวิตที่ดีกว่า...ไม่สินะ...อาจไม่ต้องเพราะชีวิตที่ดีกว่าก็ได้ อาจเพราะเพื่อไม่ให้ชีวิตมันเลวร้ายลงไปมากกว่าเดิมก็เป็นได้  ละทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิด ไม่มองคนคุ้นเคยใกล้ตัว มันเป็นเหตุผลเพื่ออะไรข้าไม่รู้ แต่มันก็ทำให้คนเราอยู่ได้ เจ้าจากบ้านมาไม่นานอาจยังไม่รู้สึกอะไร แต่พอเจ้าอยู่นานไป เจ้าก็จะมีทางเลือกสองทาง หนึ่งอยู่ต่อไป อยู่กับชีวิตใหม่ของเจ้า ละทิ้งอดีตของเจ้า อยู่กับความสะดวกสบายและชีวิตใหม่ แต่เจ้าเคยคิดถึงถิ่นกำเนิดของเจ้าไหม”

             “ข้ารู้ว่าข้ามีที่มาอย่างไร”  หญิงสาวคัดค้านเสียงใสอย่างมั่นอกมั่นใจ เจ้าบ้านยิ้มบางๆ ชี้มือไปยังสวนดอกไม้ด้านนอกที่เริ่มมีประกายวับวาวพราวแพรว

             “เห็นไหม นั่นคือหิ่งห้อย”

             ใช่แล้ว..หิ่งห้อยนับร้อยนับพันกะพริบแสงระบิบระยับวับวาวยิ่งกว่าสารธารแห่งดาราราย เคลื่อนไหวโบยบินราวเป็นชีวิตมากมายมหาศาล ไม่ใหญ่โตแต่ละเอียดอ่อนเต็มไปด้วยชีวิตชีวาตระการตา ปีศาจสาวหันมามองหน้าแขกผู้มาเยือน ถอนใจกล่าวช้าๆว่า

             “แต่ยังไงมันก็ไม่ใช่หิ่งห้อยที่ข้าเคยเห็นในบ้านเดิมของข้า”

             ฟังแล้วน่าใจหาย
            คนบางคนอยู่ไกลบ้านเกินไปจะรู้สึกแบบนี้ทุกคนไหมนะ อยู่ไปเพื่ออะไร ยังคิดถึงถิ่นฐานบ้านเดิมไหม ตื่นเช้ามานอกจากคำว่าหน้าที่การงานและจัดการให้ร่างกายและชีวิตอยู่ด้วยกัน คิดถึงจุดเริ่มต้นของตัวเองอย่างไร ชีวิตคืออะไรแล้วอยู่เพื่ออะไร มีความหมายอะไร รอยยิ้มของพ่อแม่พี่น้องลืมเลือนไปแล้วหรืออย่างไรกัน หรือมันเป็นเพียงความทรงจำไร้ตัวตน ไกลแสนไกล..

             เฟรี่พลันใจหายอย่างประหลาด

             ท้องฟ้าและวันเวลาเดียวกัน แต่หัวใจกลับเป็นคนละดวง
             วีนิลี่ไม่พูดอะไรอีก หันกลับออกเดินช้าๆ ไปยังตึกใหญ่  ทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้ในใจของธิดาตกสวรรค์
             ในความรู้สึกเหมือนมีเสียงบทเพลงในอดีตลอยมาตามสายลมอย่างเบาบางจนอาจเพียงสามารถรับรู้ได้ด้วยหัวใจบางเบา


             เวลาบ่ายของวันนั้น

             บุรุษผู้มีนัยน์ตาข้างซ้ายปิดด้วยเหรียญเงินและผมเผ้ายาวยุ่งเหยิงในชุดเสื้อผ้าหยาบๆสีหม่นกำลังยืนกอดอกอยู่ทางเข้าหมู่บ้านบริเวณเชิงเขากลุ่มควันเหมือนมาจากการหุงหาอาหารลอยขึ้นมาหลายจุดในหมู่บ้าน  อาการบาดเจ็บจากการต่อสู้ดูเหมือนจะดีขึ้นมากแล้วทั้งที่ยังไม่ทันข้ามวัน มาร์ลาสมองเห็นบริวารของเขาสามคนเดินเหมือนควบคุมตัวใครคนหนึ่งขึ้นเนินเขา ตรงเข้ามาหา นักรบตาเดียวไม่ได้มีสีหน้าท่าทางแปลกใจเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่คนเดินนำหน้ามาคือไนท์กับหน้ากากขาวไร้ความรู้สึก

             กระทั่งไนท์ถูกนำตัวมายืนข้างหน้า มาร์ลาสจ้องมองสำรวจผู้มาเยือนไปมาด้วยตาข้างเดียวที่เหมือนเป็นคมมีดแสนคมกวาดผ่านไปมาไม่หยุดยั้ง ราวกับจะพยายามเจาะทะลุหน้ากากเย็นชาเข้าไปถึงภายใน  บริเวณอกด้านซ้ายของปีศาจหน้ากากมีร่องรอยของคนมีดปักลึก ยังมีร่องรอยของธารเลือดสีดำและท่าทางอ่อนล้าเหมือนภูผาหมิ่นเหม่ปากเหว พร้อมจะทลายลงสู่สายน้ำมรณะได้ทุกเมื่อ

             ประกายตาและน้ำเสียงของมาร์ลาสมีแววยิ้มเหมือนจะเยาะเย้ยขณะพูดขึ้นว่า

             “คงไม่มีใครเอามีดปักอกเจ้าได้ง่ายๆ หรอก ว่าไหม”

             “นั่นไม่ใช่เรื่องอะไรของเจ้า” ปีศาจหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงเย็นชา เอามือกอดอกบ้าง ไม่ได้มีท่าทางหวาดหวั่นแม้แต่น้อย

             “เจ้าคงไม่ได้มาเยี่ยมเยียนข้าเฉยๆเป็นแน่ แล้วก้คงไม่ใช่เอาของที่ระลึกมาฝากข้า”

             “ข้ามาขอใบผ่านทางจากเจ้า ในการเดินทางไปสู่ยอดเขาสื่อสาร”

             นักรบตาเดียวห่อปาก ทำตาโตสีหน้าท่าทางไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินแม้แต่น้อย และแล้วก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นก่อนจะพูดพลางหัวเราะพลางว่า

             เจ้าเดินเข้ามาหน้าตาเฉยอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แล้วมาขอใบผ่านทางกับข้า เจ้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”

             ไนท์ไม่พูดว่าอะไร ปล่อยให้อีกฝ่ายหัวเราะจนสาแก่ใจแล้วจึงพูดขึ้นอีกว่า

             “ข้ามาขอใบผ่านทางจากเจ้าในการเดินทางไปสู่ยอดเขาสื่อสาร”

             ยังคงเป็นประโยคเดิม   คราวนี้มาร์ลาสหยุดหัวเราะ มองหน้าคู่ปรับเก่าด้วยสายตาจริงจัง แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงหนักๆ

             “จะเอาอะไรมาแลกเปลี่ยน”

             “หัวของเจ้า”

             คำตอบของปีศาจหนุ่มทำให้สายตาของนักรบตาเดียวเปลี่ยนไปอีกแบบ เหมือนสายตากำลังใช้มองคนบ้าเต็มพิกัด เหมือนกำลังมองคนบ้าที่บ้าเกินไป บ้าจนตายทั้งเป็น!

             “รู้ไหมว่าพูดอะไรออกมา ถึงข้าจะบาดเจ็บยังไม่หาย แต่ดูสภาพแล้วเจ้าไม่มีทางสู้ข้าได้เลย อาการบาดเจ็บของเจ้าหนักกว่าข้ามากนัก ลำพังคนของข้าที่ควบคุมตัวเจ้ามา ก็สามารถจัดการกับเจ้าได้แล้ว ไม่ต้องถึงมือข้าก็ได้ ข้าไม่รู้ว่าอะไรทำให้เจ้าคิดและทำอะไรหลุดนรกแบบนี้ มันเป็นเรื่องปัญญาอ่อนชัดๆ แต่ถ้าจะให้เดา ต้องเกี่ยวข้องกับแม่สาวตกสวรรค์คนนั้นแน่นอน เธอคงอยากไปส่งข่าวถึงพวกเบื้องบน แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมเจ้าต้องยอมทำยอมช่วยเหลือนาง มันเสียความเป็นตัวตนของเจ้าไปจนหมด”

             “พูดจบหรือยัง”     ปีศาจหนุ่มพูดสั้นๆ มาร์ลาสจ้องหน้ากากของอีกฝ่ายหนึ่งอยู่อึดใจแล้วฉีกยิ้มมุมปากพยักหน้าบอกว่า

            ได้ ข้าจะสั่งสอนเจ้าเอง ตามข้ามา”

             ว่าแล้วก็หันหลังก้าวเท้ายาวๆ ออกไป ปีศาจหนุ่มเดินตามไปติดๆโดยไม่มีอาการลังเลใจแต่ประการใด ราวกับเตรียมสละทุกสิ่งทุกอย่างหมดสิ้นแล้ว   ตัดผ่านเนินเขาเตี้ยๆเข้าแนวป่าเต็มไปด้วยต้นไม้รูปร่างพิกลพิการ มาถึงลานหินวงกลมบนเนินเขา อันมีต้นไม้ขึ้นรายรอบบริเวณ เทวบุตรมารหนุ่มชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับมามองพลางบอกว่า

             “นี่เป็นลานประลอง รับรองไม่มีคนอื่นยื่นมือมาแทรก”

             พูดขาดคำก็ขยับตัวลอยตัวขึ้นไปสูงสองสามวา ก่อนหย่อนตัวลงบนลานหินกว้างอย่างนิ่มนวลแผ่วเบา ไนท์ไม่ได้ว่าอะไร สาวก้าวขึ้นไปบนลานหินด้วยวิธีปกติของสามัญชนคนธรรมดา ดูสภาพแล้วเป็นรองหลายขุม บริวารทั้งสามของนักรบตาเดียวล่าถอยออกไปวงนอกอย่างเงียบงัน  สายลมยามบ่ายพัดผ่าน ใบไม้บิดเบี้ยวหงิกงอร่วงหล่น เมฆดำเคลื่อนคล้อยลอยวนบนฟากฟ้าหม่นมัว

             นักรบตาเดียวดึงดาบประกายรุ้งออกมาจากฝักดาบสะพายด้านหลัง ไนท์ดึงดาบอเวจีออกมาจากฝักเหน็บอยู่กับสายรัดเอว ถึงเวลาดาบคู่ปรับทั้งสองเล่มเผชิญหน้ากันอีกครั้ง

             “เจ้าแน่ใจนะ”  เทบุตรมารถอนถามเสียงหนัก

             “มีอะไรจะสั่งเสียก็รีบบอกมา ข้าไม่ออมมือให้แน่”

             ว่าพลาง ยกดาบขึ้นขวางระหว่างคิ้ว ปีศาจหนุ่มผู้มาเยือนชี้ปลายดาบเฉียงลงกับพื้น เป็นท่วงท่าที่ใช้แรงควบคุมน้อยที่สุด ธรรมดาที่สุด

             “ไม่ต้องพูดมากน่า” ไนท์บอกเสียงราบเรียบ ท่วงท่าผ่อนคลายเหมือนไม่ได้เข้าสู่การต่อสู้เลยสักนิด

             เหมือนกาลก่อนเหลือเกิน
             เพียงสมัยนั้นเป็นดาบไม้  ไม่ใช่อาวุธทำลายล้างหนักหนาสาหัส

             ประกายสายรุ้งสว่างวาบพร้อมกับเสียงดังเปรี้ยงสะเทือนเลื่อนลั่น พริบตานั้นเทวบุตรมารเคลื่อนตัวมาอยู่ตรงหน้ารวดเร็วปานสายฟ้า ดาบฟันลงอย่างรุนแรงเฉียบขาดแต่ถูกดาบอเวจีตวัดขึ้นมาต้านรับจนเกิดประกายระเบิดแตกกระจาย   ประกายไฟยังไม่ทันจางหาย นักล่าปีศาจก็เซถอยหลังไปสี่ห้าก้าว ก่อนทรุดลงคุกเข่ากับพื้นหิน ดาบอเวจีในมือสั่นระริกราวกับพยายามดิ้นรนออกจากการเกาะกุม บ่าซ้ายขวาปรากฏห่าฝนสีดำปะทุขึ้นมาอันเป็นผลจากบาดแผลแห่งประกายรังสีของดาบสายรุ้งทุ่มเทการโจมตีหมายเอาชนะให้ได้ในดาบเดียว

             ธารเลือดก็คือสายธารชีวิต

             ทั้งสองประดาบกันเพียงครั้งเดียว แต่เป็นครั้งเดียวที่ทุ่มเทพลังฝีมือทั้งหมดทั้งมวลออกมาในเพียงพริบตา เหมือนลูกระเบิดพลังอำนาจทำลายมหาศาลระเบิดตูมปลดปล่อยพลังงานออกมาจนหมดสิ้นในครั้งเดียว   เทวบุตรมารเป่าลมออกจากปาก แก้มซ้ายมีรอยกรีดจากปลายดาบเป็นแนวเล็กๆ มีเลือดหยดซึมออกมาเป็นทาง แต่ยังถือว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับอาการบาดเจ็บของอีกฝ่ายหนึ่ง ก้าวเท้าเข้าหาอย่างช้าๆ รวบรวมพลังเข้ามาในดาบประกายรุ้งทีละน้อย จนก้าวมาอยู่ข้างหน้าของคู่ปรับคนสำคัญ

             “อโหสิให้ข้าด้วย”     มาร์ลาสพึมพำออกมาประกายตาพลันปรากฏแววพิสดารขึ้นมาวูบหนึ่ง เหมือนทั้งเสียใจและโล่งใจผสมผสานกันออกมา จนยากจะจำแนกแยกแยะ คู่ต่อสู้คนสำคัญแบบนี้หาไม่ได้ง่ายนักและกำลังจะพบจุดจบอยู่เบื้องหน้า  ดาบประกายรุ้งยกขึ้นสูงราวกับจะประกาศชัยชนะแล้วฟันลงมาราวสายอสนีบาต

             เปรี้ยง!

             ความจริงไนท์นั่งอยู่แบบหมดสภาพ แต่พอประกายสายรุ้งผ่าฟ้าลงมาดาบสีดำในมือกลับสะบัดยกขึ้นต้านรับจนเสียงดังสนั่นหวั่นไหว มาร์ลาสเซถอยหลังออกไปสามก้าวผมเผ้าปลิวสยายเลือดลมพลุ่งพล่านปั่นป่วน เศษเส้นผมปอยหนึ่งกระจัดกระจายปลิวไปในอากาศ ต้องใช้เวลากว่าอึดใจจึงตั้งหลักได้อีกครั้ง

             ด้านของนักรบปีศาจ ดาบอเวจีหลุดจากมือเจ้าของอันเป็นผลจากการโจมตีหนักหน่วง ลอยหมุนคว้างเป็นกังหัน ปักลงกับต้นไม้หลังแนวลานหิน ปักลึกเข้าไปครึ่งเล่ม อึดใจต่อมาต้นไม้ต้นนั้นก็ระเบิดแตกออกเป็นสองเสี่ยง ล้มฟาดโครมไปจนละข้าง ด้วยอานุภาพหลงเหลือมากับตัวดาบ  ดาบอเวจีหมุนลอยขึ้นไปในอากาศอีกครั้ง ก่อนปักโครมลงลานหินเกิดเป็นรอยแตกปริเป็นเส้นใยแมงมุมแผ่ออกมา ตัวดาบสั่นระริกไหว

             ดาบหลุดมือไปแล้ว แต่การต่อสู้ยังไม่จบ

             เทวบุตรมารตั้งหลักได้ก็พลิกดาบแทงใส่หัวใจของคู่ปรับตลอดกาล




          (มีต่อครับ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่