ความเดิมตอนที่แล้ว
http://ppantip.com/topic/34935328
หลังจากไนท์และเฟรี่ ข้ามแม่น้ำแห่งความตายก็มาอาศัยอยู่กับปีศาจขาววินีลี่ ผุ้ลึกลับ เฟรี่มีเพื่อนใหม่มาอีกคนได้แก่ ไลเดีย สาวรับใช้คนเก่ง ระหว่างนั้น สัญญาณสื่อสารจากคนรักของเฟรี่ก็ปรากฏให้เห็น
ทันใดนั้น มีเสียงดังกังวานสดใสมาจากแขนเสื้อของเฟรี่ หญิงสาวดึงกล่องแก้วเจียรนัยสื่อสารออกมาทันทีอย่างตื่นเต้นดีใจ แต่แล้วสัญญาณเสียงนั้นก็ขาดหายไป หากชื่อของคนติดต่อมายังคงค้างคาอยู่บนเครื่อง นั่นเป็นชื่อคนรักของเธอ เขาคงพยายามติดต่อมาจากนอกมิติมากมายหลายครั้ง คงจะมีบางช่วงสัญญาณการติดต่อบังเอิญเชื่อมโยงหากันได้ แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
==================
จอมใจอเวจี บทที่ 10
ความทรงจำ
==================
Psycho G.
“แย่จัง....”
เฟรี่ขมวดคิ้วบ่นอย่างผิดหวังและเสียดาย จ้องมองหน้าปัดของอุปกรณ์สื่อสารในมืออย่างหวังว่ามันจะทำงานอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีวี่แววใดๆอีก
“อะไรกันคะ”
ไลเดียสาวรับใช้คนเก่งเอียงคอมองเมียงถามอย่างสงสัย
“มีคนพยายามติดต่อข้า” เฟรี่ตอบพร้อมรอยยิ้มเจื่อน
“แต่ที่นี่คงไม่สามารถรับสัญญาณได้ มันคงต่างและห่างกันมากจนจูนเข้าหากันไม่ได้”
“คนรักของคุณเฟรี่ติดต่อมาใช่ไหมคะ”
“เธอรู้ได้ยังไง”
“เดาจากสีหน้าท่าทางค่ะ”
เชื่อเลย...เฟรี่นึกในใจ คนรับใช้ในอเวจีทำไมฉลาดเป็นกรดเหลือเชื่อ แต่พอนึกได้ว่าในดินแดนแห่งนี้มีหลายอย่างไม่ธรรมดาสามัญ แม้แต่คนรับใช้ก็ต้องผ่านการทดสอบเคี่ยวเข็ญมากมายกว่าจะเป็นได้ จึงพอจะเข้าใจกับความฉลาดเกินตัวของสาวรับใช้หน้าใสไลเดีย
“ที่นี่เครื่องมือซับซ้อนพวกเราไม่ใช้กันหรอกค่ะ” คนรับใช้สาวยิ้มกริ่มอธิบายเสียงใสต่อไป
“พวกเรายังคงอนุรักษ์สภาพความเป็นอยู่แบบดั้งเดิมของชนรุ่นเก่าเอาไว้ เพื่อเป็นการรักษาสภาพของจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ ถ้าเราอยากติดต่อใครก็ต้องใช้วิธีส่งจดหมายโดยผ่านทางคนส่งจดหมาย หรือนกปีศาจสื่อสาร จะมีการใช้อุปกรณ์พิเศษบ้างก็ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น แต่คุณวีนิลี่จะเป็นคนใช้เครื่องมือชนิดนี้เพียงผู้เดียว”
“ใช้เครื่องมือนี้....”
สาวชาวสวรรค์ร้องอุทานทวนคำอย่างตื่นเต้น จับแขนไลเดียเขย่าไปมาอย่างลืมตัว
“แสดงว่าที่นี่รับสัญญาณจากภายนอกได้น่ะสิ”
“ก็ไม่เชิงนะคะ...แต่จะต้องเดินทางไปตรงโน้น”
เฟรี่มองตามมือของสาวใช้ซึ่งชี้ออกไกลไป ที่ตรงโน้น...หมายถึงยอดเขาสูงที่สุดในบรรดายอดเขามากมายเรียงรายไกลสุดตา สายตาของเฟรี่เป็นประกายขึ้นมาทันที อย่างน้อยก็ยังพอมีช่องทางติดต่อกับโลกภายนอกแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นช่องทางหนึ่งในการออกจากขอบอเวจี
“แต่บริเวณนั้น เป็นพื้นที่ส่วนกลางนะคะ”
สาวรับใช้คนเก่งยังคงพูดต่อไป
“เป็นบริเวณเดียวที่มีการบิดเบี้ยวของกาลอวกาศทำให้การสื่อสารสู่มิติอื่นเป็นไปอย่างง่ายและสะดวกที่สุดแบบคลื่นวิทยุของพวกมนุษย์หรือพวกเบื้องบนไม่มีทางทำได้ค่ะ”
“เจ้ารู้จักพวกมนุษย์ด้วยหรือ”
“พวกเราในอดีตก็เคยเป็นมนุษย์ไม่ใช่หรือคะ”
มีการตอบแบบย้อนถามอีก ทำเอาเฟรี่อึ้งไปพักหนึ่ง ใช่แล้ว..ในตำราเรียนก็เคยบอกไว้ว่าพวกเบื้องล่างหรือเบื้องบนต่างมีที่มาจากมนุษย์ เผ่าพันธุ์ซึ่งเชื่อกันว่าสร้างความยุ่งยากวุ่นวายให้แก่ตัวเองและพื้นพิภพมากที่สุด
“ไลเดีย...เจ้าพาข้าไปได้ไหม”
หมายถึงการเดินทางไปยอดเขาสื่อสารแห่งนั้น แต่สาวรับใช้ส่ายหน้าตอบด้วยแววตาเห็นใจว่า
“ไลเดียพาไปไม่ได้หรอกค่ะ พวกเราไม่ได้มีบัตรผ่านทางไปยังสถานที่แห่งนั้น อีกอย่างเส้นทางมันอันตราย ขืนเราไปก็ตายฟรี”
“พอจะรู้ไหมว่าปีศาจบ้าหน้ากากจะไปไหน” เฟรี่นึกถึงนักรบปีศาจคู่ปรับ
“”ไปหาคนรักของเขากระมังคะ”
“อะไรนะ...มีคนรักด้วยหรือ”
หญิงสาวทำตาโต น้ำเสียงมีแววแปลกใจชัดเจน ใครจะไปเชื่อว่าปีศาจแบบนั้นจะมีใครมารักหรือมีหัวใจไปรักใครได้ ตำราบอกว่าสิ่งผูกพันชาวปีศาจเข้าด้วยกันคือ “ความเกลียดชัง” ไม่ใช่ความรัก แล้วปีศาจหน้ากากบ้าๆ มีคนรักได้อย่างไรกัน
ไนท์อยู่กับคนรักจริง ๆ
คนรักของเขาอยู่ห่างออกไปเบื้องหน้าเล็กน้อย เธอเป็นผู้หญิงผมสีน้ำตาลยาวสลวยผิวขาวรูปร่างบอบบาง สีหน้าท่าทางมีแววสดชื่นร่าเริงอยู่เป็นนิจและมีรอยยิ้มแจ่มใสนัยน์ตาเป็นประกาย
เธอกำลังยิ้มให้ปีศาจหนุ่มแล้วพูดทักทายสองสามคำก่อนจางหายไปในอากาศ
ไนท์ยื่นมือไปกด ปุ่มบันทึกความทรงจำบนแผ่นหินให้ทำงานอีกครั้ง อากาศเบื้องหน้าก่อตัวเป็นหญิงสาวคนเดิม ยิ้มแบบเดิม ทักทายแบบเดิม หายไปแบบเดิม ครั้งแล้วครั้งเล่า....
แผ่นหินอ่อนเรียงรายกันเป็นแนวยาวหลายแถวหลายแนว สลักจารึกชื่อของร่างผู้นอนอยู่ใต้พื้นดินอันเยือกเย็นตลาดกาล บางป้ายชื่อจะมีปุ่มแห่งความทรงจำฝังเรียงรายอยู่ ความทรงจำที่ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา ความทรงจำอันไม่เคยเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา บริเวณนี้เป็นสุสานโบราณอยู่พื้นที่ด้านหลังสุดของดินแดนของปีศาจขาวติดกับหน้าผาสูงกับบรรยากาศเยือกเย็น
การกลับมาหาความทรงจำในบางครั้งก็เป็นเรื่องน่ายินดี แต่ความทรงจำบางอย่างก็เลวร้ายเกินไป ความทรงจำบางอย่างไม่สมควรแม้แต่จะมาปรากฏให้เห็นในห้วงความคิดคำนึง ความทรงจำบางช่วงสมควรลบเลือนให้รวดเร็วที่สุดจะเป็นการดี แต่ความทรงจำบางเวลาสมควรอยู่ในใจเนิ่นนานตลอดไปเพื่อปลอบประโลมใจยามเหงาเศร้า
“ข้ามาเยี่ยมเจ้าอีกแล้วนะ”
ไนท์บอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนชนิดปกติไม่เคยมีใครได้ยินได้ฟัง “ข้าคิดถึงเจ้ามากมายเหลือเกินรู้ไหม”
พูดจบยื่นมือออกไปกดปุ่มแห่งความทรงจำอีกปุ่มหนึ่งเบื้องหน้าของแผ่นป้าย พลันค่อยๆปรากฏร่างของหญิงสาวคนเดิมขึ้นมาอีกครั้ง เธอก้มหัวให้ปีศาจหนุ่มแบบกึ่งล้อเลียนก่อนมองหน้ายิ้มหวานตาวับวาวแล้วพูดว่า
“ข้ารักท่าน....ข้ารักท่าน”
“ข้าก็รักเจ้า”
ว่าพลางยื่นมือไปกดปุ่มเดิมอีกครั้งเพื่อดูความทรงจำเก่าๆ
“ข้ารักท่าน....ข้ารักท่าน”
มือของไนท์ยื่นออกไปเพื่อพบกับความว่างเปล่า ไม่มีอะไรเป็นตัวตนเลยสักนิด เป็นเพียงเงาของอดีตสวยงาม ภาพของหญิงสาวก็เป็นภาพฉายซ้ำเดิมๆ แต่มีความหมายมากมายจนสุดบรรยาย
ภาพค้างนิ่งราวเป็นแผ่นภาพความทรงจำถูกหยุดนิ่งค้างเอาไว้เพื่อให้ซึมซับอารมณ์แห่งความคิดถึง แม้ว่าจะเป็นเพียงภาพมายา แต่ก็มีอิทธิพล มีผลต่อจิตใจกระทั่งจิตวิญญาณ
“ไหนเจ้าบอกจะอยู่กับข้าแต่เจ้าก็จากข้าไป”
ไนท์จ้องมองเนิ่นนานจึงเอื้อมมือไปกดอีกปุ่มหนึ่ง คราวนี้เป็นภาพของผู้หญิงคนนั้นเอียงแก้มยิ้มแย้มมาให้แล้วพูดว่า
“ข้าอยู่กับท่านตลอดไป อยู่ตลอดไป”
เสียงสุดท้ายจางหายภาพกลับกลายเป็นทะเลกว้างเกลียวคลื่นกำลังซัดเข้าหาฝั่งและท้องฟ้าสีครามไกล ราวกับทะเลมาปรากฏจริงๆต่อหน้าต่อตา ได้ยินกระทั่งเสียงคลื่นลมพัดพาผ่าน
นั่นเป็นภาพแห่งความทรงจำสุดท้ายที่ทั้งสองบันทึกเก็บเอาไว้สมัยเมื่อครั้งหนึ่งแอบพากันขึ้นไปเที่ยวบนโลกมนุษย์
“ไนท์ ข้าคิดถึงท่าน เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”
เสียงหวานใสแว่วมาพร้อมกับทะเลเลือนรางใบหน้าหน้าของเธอโผล่มาพร้อมด้วยรอยยิ้มก่อนจะจางหายไป เหลือเพียงแผ่นศิลาอันเย็นชืด
สายลมในสุสานโบราณกระโชกผ่าน ขอบหน้ากากเย็นชามีละอองน้ำบางส่วนปลิวกระจายออกไปตามแรงลม ความทรงจำไม่ได้คอยหลอกหลอนเสมอไป แต่ความทรงจำดีๆ ได้ย่อมประทับความรู้สึกดีๆไว้ให้แม้ว่าการประทับตรานั้นจะมีความเจ็บปวดอยู่บ้างก็ตาม ป้ายหลุมศพหลายแห่งจึงไม่มีปุ่มของความทรงจำแม้แต่ปุ่มเดียว คนบางคนใจไม่แข็งพอจะรับรู้เงาแห่งความทรงจำ
ไม่ว่าเรื่องดีหรือไม่ดี ต่างไม่อยากรับรู้ระลึกถึงทั้งนั้น เพราะคิดว่าความทรงจำถึงจะดีแสนวิเศษขนาดไหน แต่เมื่อหวนคิดถึงนึกถึงครั้งใดก็จะต้องแลกกับความเจ็บปวดขมขื่นเมื่อรู้ว่าได้สูญเสียต้นตอของความทรงจำไปเสียแล้วตลอดกาล
“แอบหนีมาอยู่นี่เอง”
เสียงใสๆ ดังขึ้นด้านหลังห่างออกไปหกเจ็ดก้าว ไนท์ไม่ได้หันไปมองเลยสักนิด เพราะจำได้ว่าเป็นเสียงของนางฟ้าตกสวรรค์จอมจุ้นวุ่นวายไม่มีทางเป็นคนอื่นไปได้อย่างเด็ดขาด
“ข้าไม่ได้แอบเดินหนี ข้าเดินมาตามธรรมดา”
ปีศาจหนุ่มชี้แจงเสียงห้วนๆ ไม่พอใจนักกับการรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวของอีกฝ่ายหนึ่ง
“ไลเดียบอกข้าหมดแล้วล่ะ”
เฟรี่บอกพลางเดินเข้ามาใกล้ ยื่นหน้าไปดูปุ่มความทรงจำอย่างสนใจทำท่าจะยื่นมือออกไปกดแต่คู่สนทนายกมือขึ้นกันเอาไว้ทันท่วงที
“ทำไม”
นางฟ้าจอมยุ่งมองหน้าคนขัดขวางความอยากรู้อยากเห็นอย่างไม่พอใจ ปีศาจหนุ่มไม่ตอบในทันที เงียบไปอึดใจหนึ่งจึงเอ่ยเบาๆขึ้นว่า
“นี่มันเป็นบริเวณส่วนตัวของข้า”
“อะไรกัน..”
สาวสวยคู่ปรับคนสำคัญร้องเสียงสูง
“สุสานมีพื้นที่ส่วนตัวด้วยหรือ ข้าไม่เคยรู้ ความจริงก็คือมันไม่ได้เป็นเขตหวงห้ามหรือพื้นที่เฉพาะบุคคลสักหน่อย ทำไมมาห้าม ข้าเพียงอยากดูการทำงานของเครื่องนี้เท่านั้น เมื่อครู่แอบเห็นแวบๆ ขอดูหน่อยนะ”
“มันเป็นความทรงจำของข้า ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า”
น้ำเสียงของปีศาจนักรบเฉียบขาดจริงจัง แต่อีกฝ่ายไม่สนใจ ย่นจมูกร้องคัดค้านว่า
“ความทรงจำมันยังไงก็เป็นของเจ้าอยู่แล้ว ไม่มีใครขโมยมันไปจากเจ้าได้หรอกน่า แต่ข้าอยากดูความทรงจำของเจ้าเท่านั้น ไม่เห็นเสียหายตรงไหน”
ว่าพลางยื่นมือออกไปอีก แต่ก็ถูกสกัดกั้นไว้อีก
“จะให้ข้าดูหรือไม่ให้ดู...มันสำคัญมากมายวิเศษแค่ไหนกันถึงจะให้ข้าดูไม่ได้” หันมามองหน้าอีกฝ่าย ตาเป็นประกายวาววับ
“ข้าไม่ให้ดู”
“น่า ขอดูนิดเดียว”
“บอกว่าไม่ได้ ก็ไม่ได้สิ”
“แต่ข้าอยากดูนี่นาดู อยากดูสิว่าคนรักของเจ้าจะสวยขนาดไหน ดูสิว่าสาวๆชาวอเวจีหน้าตาเป็นยังไงนะ ถึงมารักมาชอบเจ้าได้ ขอดูหน่อยน่า..นะ...นิดเดียวก็ยังดี”
“บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้สิ”
ไนท์บอกเสียงห้วนสั้นอย่างคนพยายามสะกดอารมณ์
แต่อีกฝ่ายยังดื้อไม่ยอมเลิกตามนิสัยส่วนตัวพยายามตรงเข้ามาจะกดปุ่ม ปีศาจหนุ่มเลยยื่นมือมาขวางอีกครั้ง คราวนี้เฟรี่โมโหเมื่อถูกขัดขวาง อยากเอาแขนมากั้นดีนักเลยคว้าแขนของอีกฝ่ายมาแล้วกัดเข้าให้เต็มแรง เต็มแรงจริงๆแบบไม่ยั้งปากเพราะอารมณ์โมโหเต็มร้อย
กัดออกไปเต็มที่แล้วก็ใจหายวาบ เมื่อเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองกำลังกัดข้อมือของนักรบผู้เกรียงไกรในอเวจี นักล่าสังหารผุ้สามารถหักคอเธอได้ๆ ด้วยการออกแรงเพียงครั้งเดียว!
(มีต่อครับ)
จอมใจอเวจี......บทที 10 (ความทรงจำ)
http://ppantip.com/topic/34935328
หลังจากไนท์และเฟรี่ ข้ามแม่น้ำแห่งความตายก็มาอาศัยอยู่กับปีศาจขาววินีลี่ ผุ้ลึกลับ เฟรี่มีเพื่อนใหม่มาอีกคนได้แก่ ไลเดีย สาวรับใช้คนเก่ง ระหว่างนั้น สัญญาณสื่อสารจากคนรักของเฟรี่ก็ปรากฏให้เห็น
ทันใดนั้น มีเสียงดังกังวานสดใสมาจากแขนเสื้อของเฟรี่ หญิงสาวดึงกล่องแก้วเจียรนัยสื่อสารออกมาทันทีอย่างตื่นเต้นดีใจ แต่แล้วสัญญาณเสียงนั้นก็ขาดหายไป หากชื่อของคนติดต่อมายังคงค้างคาอยู่บนเครื่อง นั่นเป็นชื่อคนรักของเธอ เขาคงพยายามติดต่อมาจากนอกมิติมากมายหลายครั้ง คงจะมีบางช่วงสัญญาณการติดต่อบังเอิญเชื่อมโยงหากันได้ แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
==================
จอมใจอเวจี บทที่ 10
ความทรงจำ
==================
Psycho G.
“แย่จัง....”
เฟรี่ขมวดคิ้วบ่นอย่างผิดหวังและเสียดาย จ้องมองหน้าปัดของอุปกรณ์สื่อสารในมืออย่างหวังว่ามันจะทำงานอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีวี่แววใดๆอีก
“อะไรกันคะ”
ไลเดียสาวรับใช้คนเก่งเอียงคอมองเมียงถามอย่างสงสัย
“มีคนพยายามติดต่อข้า” เฟรี่ตอบพร้อมรอยยิ้มเจื่อน
“แต่ที่นี่คงไม่สามารถรับสัญญาณได้ มันคงต่างและห่างกันมากจนจูนเข้าหากันไม่ได้”
“คนรักของคุณเฟรี่ติดต่อมาใช่ไหมคะ”
“เธอรู้ได้ยังไง”
“เดาจากสีหน้าท่าทางค่ะ”
เชื่อเลย...เฟรี่นึกในใจ คนรับใช้ในอเวจีทำไมฉลาดเป็นกรดเหลือเชื่อ แต่พอนึกได้ว่าในดินแดนแห่งนี้มีหลายอย่างไม่ธรรมดาสามัญ แม้แต่คนรับใช้ก็ต้องผ่านการทดสอบเคี่ยวเข็ญมากมายกว่าจะเป็นได้ จึงพอจะเข้าใจกับความฉลาดเกินตัวของสาวรับใช้หน้าใสไลเดีย
“ที่นี่เครื่องมือซับซ้อนพวกเราไม่ใช้กันหรอกค่ะ” คนรับใช้สาวยิ้มกริ่มอธิบายเสียงใสต่อไป
“พวกเรายังคงอนุรักษ์สภาพความเป็นอยู่แบบดั้งเดิมของชนรุ่นเก่าเอาไว้ เพื่อเป็นการรักษาสภาพของจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ ถ้าเราอยากติดต่อใครก็ต้องใช้วิธีส่งจดหมายโดยผ่านทางคนส่งจดหมาย หรือนกปีศาจสื่อสาร จะมีการใช้อุปกรณ์พิเศษบ้างก็ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น แต่คุณวีนิลี่จะเป็นคนใช้เครื่องมือชนิดนี้เพียงผู้เดียว”
“ใช้เครื่องมือนี้....”
สาวชาวสวรรค์ร้องอุทานทวนคำอย่างตื่นเต้น จับแขนไลเดียเขย่าไปมาอย่างลืมตัว
“แสดงว่าที่นี่รับสัญญาณจากภายนอกได้น่ะสิ”
“ก็ไม่เชิงนะคะ...แต่จะต้องเดินทางไปตรงโน้น”
เฟรี่มองตามมือของสาวใช้ซึ่งชี้ออกไกลไป ที่ตรงโน้น...หมายถึงยอดเขาสูงที่สุดในบรรดายอดเขามากมายเรียงรายไกลสุดตา สายตาของเฟรี่เป็นประกายขึ้นมาทันที อย่างน้อยก็ยังพอมีช่องทางติดต่อกับโลกภายนอกแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นช่องทางหนึ่งในการออกจากขอบอเวจี
“แต่บริเวณนั้น เป็นพื้นที่ส่วนกลางนะคะ”
สาวรับใช้คนเก่งยังคงพูดต่อไป
“เป็นบริเวณเดียวที่มีการบิดเบี้ยวของกาลอวกาศทำให้การสื่อสารสู่มิติอื่นเป็นไปอย่างง่ายและสะดวกที่สุดแบบคลื่นวิทยุของพวกมนุษย์หรือพวกเบื้องบนไม่มีทางทำได้ค่ะ”
“เจ้ารู้จักพวกมนุษย์ด้วยหรือ”
“พวกเราในอดีตก็เคยเป็นมนุษย์ไม่ใช่หรือคะ”
มีการตอบแบบย้อนถามอีก ทำเอาเฟรี่อึ้งไปพักหนึ่ง ใช่แล้ว..ในตำราเรียนก็เคยบอกไว้ว่าพวกเบื้องล่างหรือเบื้องบนต่างมีที่มาจากมนุษย์ เผ่าพันธุ์ซึ่งเชื่อกันว่าสร้างความยุ่งยากวุ่นวายให้แก่ตัวเองและพื้นพิภพมากที่สุด
“ไลเดีย...เจ้าพาข้าไปได้ไหม”
หมายถึงการเดินทางไปยอดเขาสื่อสารแห่งนั้น แต่สาวรับใช้ส่ายหน้าตอบด้วยแววตาเห็นใจว่า
“ไลเดียพาไปไม่ได้หรอกค่ะ พวกเราไม่ได้มีบัตรผ่านทางไปยังสถานที่แห่งนั้น อีกอย่างเส้นทางมันอันตราย ขืนเราไปก็ตายฟรี”
“พอจะรู้ไหมว่าปีศาจบ้าหน้ากากจะไปไหน” เฟรี่นึกถึงนักรบปีศาจคู่ปรับ
“”ไปหาคนรักของเขากระมังคะ”
“อะไรนะ...มีคนรักด้วยหรือ”
หญิงสาวทำตาโต น้ำเสียงมีแววแปลกใจชัดเจน ใครจะไปเชื่อว่าปีศาจแบบนั้นจะมีใครมารักหรือมีหัวใจไปรักใครได้ ตำราบอกว่าสิ่งผูกพันชาวปีศาจเข้าด้วยกันคือ “ความเกลียดชัง” ไม่ใช่ความรัก แล้วปีศาจหน้ากากบ้าๆ มีคนรักได้อย่างไรกัน
ไนท์อยู่กับคนรักจริง ๆ
คนรักของเขาอยู่ห่างออกไปเบื้องหน้าเล็กน้อย เธอเป็นผู้หญิงผมสีน้ำตาลยาวสลวยผิวขาวรูปร่างบอบบาง สีหน้าท่าทางมีแววสดชื่นร่าเริงอยู่เป็นนิจและมีรอยยิ้มแจ่มใสนัยน์ตาเป็นประกาย
เธอกำลังยิ้มให้ปีศาจหนุ่มแล้วพูดทักทายสองสามคำก่อนจางหายไปในอากาศ
ไนท์ยื่นมือไปกด ปุ่มบันทึกความทรงจำบนแผ่นหินให้ทำงานอีกครั้ง อากาศเบื้องหน้าก่อตัวเป็นหญิงสาวคนเดิม ยิ้มแบบเดิม ทักทายแบบเดิม หายไปแบบเดิม ครั้งแล้วครั้งเล่า....
แผ่นหินอ่อนเรียงรายกันเป็นแนวยาวหลายแถวหลายแนว สลักจารึกชื่อของร่างผู้นอนอยู่ใต้พื้นดินอันเยือกเย็นตลาดกาล บางป้ายชื่อจะมีปุ่มแห่งความทรงจำฝังเรียงรายอยู่ ความทรงจำที่ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา ความทรงจำอันไม่เคยเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา บริเวณนี้เป็นสุสานโบราณอยู่พื้นที่ด้านหลังสุดของดินแดนของปีศาจขาวติดกับหน้าผาสูงกับบรรยากาศเยือกเย็น
การกลับมาหาความทรงจำในบางครั้งก็เป็นเรื่องน่ายินดี แต่ความทรงจำบางอย่างก็เลวร้ายเกินไป ความทรงจำบางอย่างไม่สมควรแม้แต่จะมาปรากฏให้เห็นในห้วงความคิดคำนึง ความทรงจำบางช่วงสมควรลบเลือนให้รวดเร็วที่สุดจะเป็นการดี แต่ความทรงจำบางเวลาสมควรอยู่ในใจเนิ่นนานตลอดไปเพื่อปลอบประโลมใจยามเหงาเศร้า
“ข้ามาเยี่ยมเจ้าอีกแล้วนะ”
ไนท์บอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนชนิดปกติไม่เคยมีใครได้ยินได้ฟัง “ข้าคิดถึงเจ้ามากมายเหลือเกินรู้ไหม”
พูดจบยื่นมือออกไปกดปุ่มแห่งความทรงจำอีกปุ่มหนึ่งเบื้องหน้าของแผ่นป้าย พลันค่อยๆปรากฏร่างของหญิงสาวคนเดิมขึ้นมาอีกครั้ง เธอก้มหัวให้ปีศาจหนุ่มแบบกึ่งล้อเลียนก่อนมองหน้ายิ้มหวานตาวับวาวแล้วพูดว่า
“ข้ารักท่าน....ข้ารักท่าน”
“ข้าก็รักเจ้า”
ว่าพลางยื่นมือไปกดปุ่มเดิมอีกครั้งเพื่อดูความทรงจำเก่าๆ
“ข้ารักท่าน....ข้ารักท่าน”
มือของไนท์ยื่นออกไปเพื่อพบกับความว่างเปล่า ไม่มีอะไรเป็นตัวตนเลยสักนิด เป็นเพียงเงาของอดีตสวยงาม ภาพของหญิงสาวก็เป็นภาพฉายซ้ำเดิมๆ แต่มีความหมายมากมายจนสุดบรรยาย
ภาพค้างนิ่งราวเป็นแผ่นภาพความทรงจำถูกหยุดนิ่งค้างเอาไว้เพื่อให้ซึมซับอารมณ์แห่งความคิดถึง แม้ว่าจะเป็นเพียงภาพมายา แต่ก็มีอิทธิพล มีผลต่อจิตใจกระทั่งจิตวิญญาณ
“ไหนเจ้าบอกจะอยู่กับข้าแต่เจ้าก็จากข้าไป”
ไนท์จ้องมองเนิ่นนานจึงเอื้อมมือไปกดอีกปุ่มหนึ่ง คราวนี้เป็นภาพของผู้หญิงคนนั้นเอียงแก้มยิ้มแย้มมาให้แล้วพูดว่า
“ข้าอยู่กับท่านตลอดไป อยู่ตลอดไป”
เสียงสุดท้ายจางหายภาพกลับกลายเป็นทะเลกว้างเกลียวคลื่นกำลังซัดเข้าหาฝั่งและท้องฟ้าสีครามไกล ราวกับทะเลมาปรากฏจริงๆต่อหน้าต่อตา ได้ยินกระทั่งเสียงคลื่นลมพัดพาผ่าน
นั่นเป็นภาพแห่งความทรงจำสุดท้ายที่ทั้งสองบันทึกเก็บเอาไว้สมัยเมื่อครั้งหนึ่งแอบพากันขึ้นไปเที่ยวบนโลกมนุษย์
“ไนท์ ข้าคิดถึงท่าน เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”
เสียงหวานใสแว่วมาพร้อมกับทะเลเลือนรางใบหน้าหน้าของเธอโผล่มาพร้อมด้วยรอยยิ้มก่อนจะจางหายไป เหลือเพียงแผ่นศิลาอันเย็นชืด
สายลมในสุสานโบราณกระโชกผ่าน ขอบหน้ากากเย็นชามีละอองน้ำบางส่วนปลิวกระจายออกไปตามแรงลม ความทรงจำไม่ได้คอยหลอกหลอนเสมอไป แต่ความทรงจำดีๆ ได้ย่อมประทับความรู้สึกดีๆไว้ให้แม้ว่าการประทับตรานั้นจะมีความเจ็บปวดอยู่บ้างก็ตาม ป้ายหลุมศพหลายแห่งจึงไม่มีปุ่มของความทรงจำแม้แต่ปุ่มเดียว คนบางคนใจไม่แข็งพอจะรับรู้เงาแห่งความทรงจำ
ไม่ว่าเรื่องดีหรือไม่ดี ต่างไม่อยากรับรู้ระลึกถึงทั้งนั้น เพราะคิดว่าความทรงจำถึงจะดีแสนวิเศษขนาดไหน แต่เมื่อหวนคิดถึงนึกถึงครั้งใดก็จะต้องแลกกับความเจ็บปวดขมขื่นเมื่อรู้ว่าได้สูญเสียต้นตอของความทรงจำไปเสียแล้วตลอดกาล
“แอบหนีมาอยู่นี่เอง”
เสียงใสๆ ดังขึ้นด้านหลังห่างออกไปหกเจ็ดก้าว ไนท์ไม่ได้หันไปมองเลยสักนิด เพราะจำได้ว่าเป็นเสียงของนางฟ้าตกสวรรค์จอมจุ้นวุ่นวายไม่มีทางเป็นคนอื่นไปได้อย่างเด็ดขาด
“ข้าไม่ได้แอบเดินหนี ข้าเดินมาตามธรรมดา”
ปีศาจหนุ่มชี้แจงเสียงห้วนๆ ไม่พอใจนักกับการรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวของอีกฝ่ายหนึ่ง
“ไลเดียบอกข้าหมดแล้วล่ะ”
เฟรี่บอกพลางเดินเข้ามาใกล้ ยื่นหน้าไปดูปุ่มความทรงจำอย่างสนใจทำท่าจะยื่นมือออกไปกดแต่คู่สนทนายกมือขึ้นกันเอาไว้ทันท่วงที
“ทำไม”
นางฟ้าจอมยุ่งมองหน้าคนขัดขวางความอยากรู้อยากเห็นอย่างไม่พอใจ ปีศาจหนุ่มไม่ตอบในทันที เงียบไปอึดใจหนึ่งจึงเอ่ยเบาๆขึ้นว่า
“นี่มันเป็นบริเวณส่วนตัวของข้า”
“อะไรกัน..”
สาวสวยคู่ปรับคนสำคัญร้องเสียงสูง
“สุสานมีพื้นที่ส่วนตัวด้วยหรือ ข้าไม่เคยรู้ ความจริงก็คือมันไม่ได้เป็นเขตหวงห้ามหรือพื้นที่เฉพาะบุคคลสักหน่อย ทำไมมาห้าม ข้าเพียงอยากดูการทำงานของเครื่องนี้เท่านั้น เมื่อครู่แอบเห็นแวบๆ ขอดูหน่อยนะ”
“มันเป็นความทรงจำของข้า ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า”
น้ำเสียงของปีศาจนักรบเฉียบขาดจริงจัง แต่อีกฝ่ายไม่สนใจ ย่นจมูกร้องคัดค้านว่า
“ความทรงจำมันยังไงก็เป็นของเจ้าอยู่แล้ว ไม่มีใครขโมยมันไปจากเจ้าได้หรอกน่า แต่ข้าอยากดูความทรงจำของเจ้าเท่านั้น ไม่เห็นเสียหายตรงไหน”
ว่าพลางยื่นมือออกไปอีก แต่ก็ถูกสกัดกั้นไว้อีก
“จะให้ข้าดูหรือไม่ให้ดู...มันสำคัญมากมายวิเศษแค่ไหนกันถึงจะให้ข้าดูไม่ได้” หันมามองหน้าอีกฝ่าย ตาเป็นประกายวาววับ
“ข้าไม่ให้ดู”
“น่า ขอดูนิดเดียว”
“บอกว่าไม่ได้ ก็ไม่ได้สิ”
“แต่ข้าอยากดูนี่นาดู อยากดูสิว่าคนรักของเจ้าจะสวยขนาดไหน ดูสิว่าสาวๆชาวอเวจีหน้าตาเป็นยังไงนะ ถึงมารักมาชอบเจ้าได้ ขอดูหน่อยน่า..นะ...นิดเดียวก็ยังดี”
“บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้สิ”
ไนท์บอกเสียงห้วนสั้นอย่างคนพยายามสะกดอารมณ์
แต่อีกฝ่ายยังดื้อไม่ยอมเลิกตามนิสัยส่วนตัวพยายามตรงเข้ามาจะกดปุ่ม ปีศาจหนุ่มเลยยื่นมือมาขวางอีกครั้ง คราวนี้เฟรี่โมโหเมื่อถูกขัดขวาง อยากเอาแขนมากั้นดีนักเลยคว้าแขนของอีกฝ่ายมาแล้วกัดเข้าให้เต็มแรง เต็มแรงจริงๆแบบไม่ยั้งปากเพราะอารมณ์โมโหเต็มร้อย
กัดออกไปเต็มที่แล้วก็ใจหายวาบ เมื่อเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองกำลังกัดข้อมือของนักรบผู้เกรียงไกรในอเวจี นักล่าสังหารผุ้สามารถหักคอเธอได้ๆ ด้วยการออกแรงเพียงครั้งเดียว!
(มีต่อครับ)