ความเดิม ตอนที่แล้ว
http://ppantip.com/topic/34623110
ตอนนี้นักรบปีศาจดูเหมือนจะสนใจกล้องส่องทางไกลในมือมากกว่าจะโต้เถียง เขาใช้วัตถุพิสดารในมือกวาดมองไปมาด้วยความตื่นตาตื่นใจ ก่อนจะมาหยุดนิ่งอยู่กับกลุ่มคนซึ่งความจริงอยู่ไกลออกไปมองเห็นลิบๆ แต่พอมองผ่านกล้องแล้วรู้สึกเหมือนคนพวกนั้นอยู่ข้างหน้าจนแทบจะยื่นมือออกไปจับต้องได้
=================
จอมใจอเวจี
บทที่ 5 เทวบุตรมาร
=================
: Psycho G.
“กล้องส่องทางไกลอะไรแบบนี้ข้าไม่รู้จักหรอก พวกเราไม่เคยใช้กัน” ไนท์พูดขณะสายตายังส่องผ่านกล้องมหัศจรรย์ในมือจ้องมองภาพใกล้เกินจริงอย่างสนใจ
“แน่ล่ะ” นางฟ้าตกสวรรค์ได้โอกาสทอง
“จะมีใช้ได้อย่างไรกันเพราะโลกของเจ้ายังไม่เจริญทางวิทยาการอะไรเลย เหมือนยุคโบราณยังไงยังงั้นไม่มีผิด อย่าบอกนะว่าจะมีไดโนเสาร์ตัวใหญ่โผล่ออกมาให้เห็น”
“บนสวรรค์มีไดโนเสาร์ด้วยหรือ แล้วมันเป็นตัวยังไง”
ปีศาจหนุ่มถามทำเอาเฟรี่มองค้อนจนตาคว่ำ อธิบายด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งว่า
“จะมีได้อย่างไร พวกเราศึกษาเรื่องพวกนี้จากโลกมนุษย์ทั้งหมดล่ะ โลกมนุษย์ที่ขวางกั้นระหว่างเบื้องบนกับเบื้องล่างไม่รู้ว่าเจ้าจะเข้าใจหรือไม่ ความรู้ที่พวกมนุษย์ว่ายากและไม่เข้าใจ กับพวกเราชาวเบื้องบนมันเป็นเรื่องง่ายๆ ยิ่งมาเทียบกับโลกเบื้องโลกนี่ยิ่งห่างกันลิบลับเลย”
“ก็ใช่...เสียดายว่าเจ้าตกลงมาจากโลกเบื้องบนเสียแล้ว สิว่าวิทยาการอะไรนั่นของเบื้องบนจะลงมาช่วยได้ไหม”
คำพูดของคู่สนทนาแทงใจดำของหญิงสาวอย่างจัง ทำเอาคอแข็งพูดอะไรไม่ออก คิดในใจว่าแค่จะฟังเฉยๆ ไม่ได้หรืออย่างไร ทำเป็นมายอกย้อน
“นั่นมันพวกของเทวบุตรมาร เราเข้ามาในเขตพวกเขา หัวหน้าของพวกมันเจ้าคนตาบอดข้างหนึ่งนั่นชื่อมาร์ลาส”
ไนท์เหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าเมื่อมองเห็นคนกลุ่มนั้นได้ถนัดชัดเจนว่าพวกเขากำลังลังเลในการตัดสินใจว่าจะไปทิศทางใดดี ภาพจากกล้องส่องทางไกลดูเหมือนพวกเขากำลังปรึกษาหารือกันอย่างเคร่งเครียด
“พวกตัวอันตรายทีเดียว สำคัญคือเราต้องผ่านดินแดนของพวกนี้ออกไป”
“ไม่มีทางอื่นไปอีกแล้วหรือ” เฟรี่ถามเสียงอ่อยสีหน้าวิตกกังวลขึ้นมาทันที อะไรดูติดขัดมีปัญหาและอุปสรรคไปเสียหมด เท้าก็เจ็บระบมจนไม่อยากออกแรงวิ่งหนีอะไรอีกต่อไป
“ไม่มี”
ไนท์ตอบสั้นๆแต่ชัดเจนในความหมาย
“แล้วเราจะทำยังไง”
“ก็ต้องหาทางผ่านพวกมันออกไปให้ได้”
“ยากไหม..”
“ถ้ามีข้าตามลำพังคนเดียวไม่ยากหรอก วิ่งหน้าตั้งไม่คิดชีวิตก็ผ่านพวกมันไปได้ แต่ถ้ามีเจ้าคอยเดินตามข้าอยู่เป็นตัวถ่วงแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย”
“นี่เจ้าหาว่าข้าเป็นตัวถ่วงเจ้าหรือไง”
เฟรี่ตาเขียวปั้ดและน้ำเสียงแหลมสูงออกแววไม่พอใจมาอีกแล้ว นักรบปีศาจหัวเราะในลำคอไม่พูดอะไรอีก คู่กรณีโมโหเลยพาลเอื้อมมือมากระชากกล้องส่องทางไกลออกจากมือของคู่กรณีอย่างแรง
“ไม่ให้ดูแล้ว เอาคืนมาเลย”
ปีศาจหนุ่มหันมามอง ทำท่าค้างเป็นรูปปั้นครู่หนึ่งจึงส่ายหน้าหัวเราะเบาๆ ในลำคอแบบไม่รู้ว่าขำอะไร เฟรี่มองหน้าค้อนขวับก่อนจับกล้องส่องทางไกลบิดพับไปมาอย่างคล่องแคล่วจนเหลือขนาดเล็กลงกว่าเดิมหลายเท่าแล้วเก็บเข้าอกเสื้อ โดยมีปีศาจร่วมทางคอยชำเลืองมองอยู่อย่างเงียบๆ เห็นชุดมอมแมมที่เคยขาวสะอาดของนางฟ้าตกยากก็รู้สึกเห็นใจขึ้นมาว่าคนไม่เคยเผชิญหน้ากับความลำบากแบบนี้คงสาหัสสากรรจ์ไม่น้อย แต่เห็นแววตาเด็ดเดี่ยวเป็นประกายของอีกฝ่ายก็พอจะเบาใจได้บ้างว่าเป็นคนไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
“แรงระเบิดของเจ้าทำให้พื้นที่แถบนี้กลายเป็นแหล่งกระตุ้นความสนใจของบรรดากลุ่มปีศาจ ตัวข้าเองก็ต้องยุ่งยากในการจะวกกลับเข้าเส้นทางเดิม จำเป็นต้องเดินไปในทิศทางเดียวกับเส้นทางที่จะพาเจ้าเดินทางกลับอย่างช่วยไม่ได้”
ผู้นำทางจำเป็นอธิบายเสียงเรียบๆเป็นเชิงบอกทางอ้อมว่าไม่ตั้งใจอยากช่วยเหลืออะไรมากมาย แต่บังเอิญใช้เส้นทางเดียวกันเท่านั้นขณะดึงดาบออกมาจากฝัก ตรวจดูคมดาบไปมาให้แน่ใจว่าพร้อมอยู่ในสภาพใช้งาน
“เจ้ารู้เส้นทางและวิธีการพาข้ากลับบ้านใช่ไหม”
เฟรี่ฟังแล้วเอ่ยถามด้วยนัยน์ตาเป็นประกายแห่งความหวัง อย่างน้อยคำพูดเป็นนัยวนประสามของปีศาจหนุ่มยังมีอะไรบางอย่างจุดประกายแห่งความหวังสว่างขึ้นมาในความมืดดำ
“คิดว่าพอรู้ จะตามข้ามาก็ได้นะ แม้ว่าข้าจะไม่เต็มใจนักกับการแบกรับภาระผู้หญิงไม่ได้เรื่องคนหนึ่งที่ทำอะไรไม่ค่อยเป็น เพราะเคยอยู่แต่เบื้องบนสุขสบาย แต่บอกก่อนนะว่าถ้าตามข้ามาแล้วห้ามดื้อหรือพูดจากวนอารมณ์เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นข้าทิ้งเจ้ากลางทางแน่”
หญิงสาวพยายามนับหนึ่งถึงร้อยกับวาจาเชือดเฉือนกวนประสาท แต่ก็รู้ว่าไม่มีทางเลือกอย่างอื่นอีกนอกจากตามปีศาจจอมโอหังเย็นชาผู้นี้ไปอย่างช่วยไม่ได้ พลางคิดในใจ คอยดูนะ...กลับไปได้เมื่อไรข้าจะไปฟ้องคนรักให้นำกองทัพมาตามจับตัวคนใจร้ายปากร้ายอย่างเจ้าไปขังในคุกอวกาศเสียให้เข็ด เห็นว่าเรามาพึ่งพาอาศัยทำปากคอเราะร้ายพูดไม่เกรงอกเกรงใจกันบ้างเลย
ไนท์ตรวจดูอาวุธคู่กายจนพอใจแล้วเก็บดาบเข้าฝักตามเดิม เดินไปเกาะโขดหินจ้องมองลงไปบริเวณด้านล่างอีกครั้งซึ่งตอนนี้เริ่มมีกลุ่มหมอกสีขาวลอยมาปกคลุมจนเลือนรางไปบ้างแล้ว
“ไปกันตอนนี้เลย”
เขาสอดฝักดาบเข้ากับสายรัดเอวหันมาพยักหน้าให้สาวตกสวรรค์ก่อนพูดต่อไปอีกว่า
“หมอกกำลังเคลื่อนตัวมาเรา ทำให้พวกนั้นค้นหาเราพบยากขึ้น ข้าไม่อยากเสี่ยงปะทะกับพวกของเทวบุตรมาร พวกมันเป็นตัวอันตราย ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงการปะทะกันเป็นดีที่สุด”
พูดจบก็ไม่ต้องรอฟังความเห็นของใครปีศาจหนุ่มหันหลังเดินลัดเลาะลงไปตามทางเดินแคบสูงชันและท่าทางอันตรายจากการหลุดร่วงหล่นลงไป ดูเหมือนว่าเขาจะชำนาญกับสภาพแบบนี้เป็นอย่างดี แต่สำหรับเฟรี่เป็นเรื่องหนักหนาสาหัสเหลือเกินเพราะทางเดินทั้งชันทั้งแคบ ด้านหนึ่งคือหน้าผาสูงเสียดฟ้าด้านหนึ่งคือผนังชันดิ่งลงไปอย่างน่ากลัว ถ้าร่วงหล่นลงไปมีหวังอาการหนักหนาสาหัสแน่นอน
“ถ้าไม่แน่ใจก็จับชะง่อนหินเอาไว้”
ไนท์หันมาบอกด้วยท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจเท่าไรแต่ก็ไม่ได้เดินห่างออกไปจนหายลับไปหับตาเหมือนอยู่ในถ้ำ เขาเว้นระยะไปเพียงไม่กี่ช่วงแขนเท่านั้น
“ไม่ต้องห่วงข้าหรอกน่า ทางแค่นี้ข้าเดินสบาย”
หญิงสาวกัดฟันร้องบอกด้วยเสียงหนักแน่นพยายามก้าวเท้าลงมาตามทางลาดชันอันน่าหวาดเสียวด้วยความเร็วเท่าที่จะทำได้จนอีกฝ่ายต้องมองแล้วนึกชมในใจ เห็นท่าทางผู้ดีนุ่มนิ่มพอถึงคราวจำเป็นก็พยายามทำตัวไม่เป็นภาระให้ใครมากมายจนเกินไปได้เหมือนกัน
ขณะลงมาถึงครึ่งทาง หญิงสาวเหยียบพลาดร่างไถลลื่นลงมาตามทางเดินทำท่าจะหลุดหล่นออกไปจากหน้าผาพร้อมกับเสียงร้องอย่างตกใจ คนนำทางเหมือนคอยดูอยู่แล้วแบบไม่ให้คลาดสายตา รีบพุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็วดึงแขนของหญิงสาวกระชากกลับเข้ามาในแนวทางเดินอย่างทันท่วงที
“ข้าไม่เป็นไร”
เฟรี่บอกเสียงสั่นยกมือขึ้นปาดเหงื่อพยายามฝืนยิ้มแม้ใบหน้าจะขาวซีดด้วยความตกใจ ปีศาจหนุ่มค่อยปล่อยมือของเธอออกด้วยท่าทางแปลกๆ แถมยกฝ่ามือของตัวเองขึ้นมาดูเหมือนไม่แน่ใจ
“มันไม่ระเบิดใช่ไหม”
คู่กรณีจากฟากฟ้าเอียงคอมองอย่างสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงพูดถึงเรื่องระเบิด เฟรี่ทำหน้าครุ่นคิดพักหนึ่งจึงเอ่ยขึ้นเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“ใช่..”
ปีศาจหนุ่มพยักหน้าตอบรับกับคำพูดสั้นๆ ของอีกฝ่ายราวกับว่าเข้าใจเป็นอย่างดีก่อนก่อนพูดช้าๆ ว่า
“ข้าเองก็เพิ่งนึกได้ว่าตำราหรือเรื่องเล่าขานที่ข้าเคยเรียนมาน่าจะผิด มันเขียนบอกว่าร่างกายของพวกเบื้องบนและพวกเบื้องล่าง เป็นเหมือนสสารและปฏิสสาร ถ้ากระทบกันตรง ๆ เมื่อไรจะระเบิดทำลายตัวเองไปทั้งคู่”
“ในตำราของพวกข้าก็เขียนไว้แบบนี้เหมือนกัน”
เฟรี่บอกขณะเริ่มเดินลงมาอีกครั้งอย่างระมัดระวังมากกว่าเก่า ไม่ต้องลงมาแบบรีบร้อนเพื่อพิสูจน์อะไรให้ใครบางคนเห็นอีกแล้ว ส่วนปีศาจนักรบก็ยังคงเดินนำหน้าลงไปเหมือนเคย อย่างน้อยก็ทำให้เห็นแล้วว่าภายใต้หน้ากากเย็นชาไร้อารมณ์ยังมีความปกป้องดูแลอีกฝ่ายอยู่ ไม่ได้ใจร้ายไส้ระกำจนเกินไป แม้ภายนอกจะดูราวไม่แยแสสนใจอะไรมากมาย
“เจ้าเชื่อแบบนั้นจริงๆ ใช่ไหม....”
หญิงสาวเป็นฝ่ายชวนคุยเมื่อเห็นว่าคนนำทางไม่ได้ทิ้งระยะห่างไปไกลจนเกินเอื้อมทำให้รู้สึกอบอุ่นปลอดภัยมากขึ้น ว่าผู้นำทางอยู่ในระยะพร้อมจะเข้ามาช่วยเหลือได้ทุกเมื่อถ้าเกิดเหตุอันตรายสุดวิสัย
“เรื่องอะไร”
“เรื่องสสารปฏิสสารอะไรนั่น...เจ้าเชื่อว่าเป็นจริงไหม”
“ถ้าข้าเชื่อข้าก็คงปล่อยให้เจ้าหล่นลงไปแล้ว...ตอนนี้ก็พิสูจน์ได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องจริงเจ้ากับข้าคงระเบิดเป็นจุลไปแล้ว”
“ทำไมตำราต้องบอกเรื่องผิดๆ ด้วยนะ”
น้ำเสียงปรารภของเฟรี่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ ในตำราสมัยเรียนบอกว่าพวกโลกมืดและพวกเบื้องบนจะกระทบกันไม่ได้ ถ้าสัมผัสกันเมื่อไรจะระเบิดรุนแรงเป็นพลังงานสูญหายไปอย่างไม่มีวันกลับมาเป็นสภาพเดิมได้อีก และยังบอกว่าชาวปีศาจรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวไม่มีรูปกายเค้าโครงของความเป็นมนุษย์หรือแบบชาวเบื้องบนอยู่เลย ตัวโตใหญ่และชอบกินเนื้อสดเป็นอาหาร ชอบการฆ่าฟันและทำลายล้างแบบโหดร้ายกักขละป่าเถื่อนไร้ความเมตตา
“นี่ไนท์...เจ้าเป็นปีศาจจริงหรือ” หญิงสาวถามอีกขณะเมื่อเกาะไปตามชะง่อนหินย่างก้าวอย่างระมัดระวัง
“แล้วเจ้าล่ะ เป็นนางฟ้าจริงหรือ”
“เลิกเสียทีได้ไหมอาการย้อนถาม ข้าไม่ชอบเลย”
เริ่มเสียงขุ่นอีกแล้ว แต่อีกฝ่ายหัวเราะในลำคออย่างหาความหมายอะไรไม่ได้ก่อนจะพูดด้วยเสียงราบเรียบตามความเคยชินว่า
“ข้าว่าบางทีมันอาจเป็นเพียงคำเรียกขานเท่านั้น พวกข้าเป็นปีศาจจริงหรือไม่ใครจะไปรู้ จะว่าไปแล้วข้าเองก็ตอบไม่ได้ ถ้าข้าไม่ใช่ปีศาจตัวจริงเสียงจริง แล้วปีศาจตัวจริงๆ อยู่ที่ไหน เจ้าเป็นพวกชาวสวรรค์จริงหรือไม่ ถ้าไม่ใช่แล้วพวกชาวสวรรค์จริงๆ จะอยู่ที่ไหนกัน พวกเราเป็นอะไรกันแน่ข้าก็ไม่เข้าใจแต่ที่แน่ๆ พวกเราถูกแบ่งแยกกันแล้วด้วยอะไรบางอย่าง”
“เจ้าไม่ค่อยเหมือนปีศาจที่ข้าเคยคิดเอาไว้สักเท่าไร” เฟรี่บอกด้วยสีหน้าเริ่มมีเหงื่อซึมเล็กน้อยจากสภาพการเดินทาง เสียงผู้นำทางแว่วดังมาว่า
“ความจริงข้าเองก็เคยสงสัยว่าลึกลงไปใต้อาณาจักรของพวกเข้าแล้วยังจะมีพวกโลกเบื้องล่างอยู่อีกสักแค่ไหนกัน แล้วอะไรคือเบื้องบนเบื้องล่างที่แท้จริง”
“ไม่เห็นจะยากเลย” เสียงของเฟรี่รีบตอบโดยเร็วเมื่อเห็นช่องว่าง
“โลกข้าอยู่ข้างบน โลกของเจ้าอยู่ข้างล่างจริงแท้แน่นอน แต่จะว่าไปนะข้าก็เคยสงสัยเหมือนกันว่าเบื้องบนอาณาจักรของข้าจะมีพวกเบื้องบนกว่าอยู่ที่ไหน สูงขึ้นไปเท่าไร ข้าก็จินตนาการไม่ออกเหมือนกัน.....นี่”
“อะไร”
ต่างฝ่ายต่างถามต่างตอบเหมือนไม่ค่อยพอใจในการพูดคุยกันนัก แต่การสนทนายังคงมีเรื่อยๆในขณะการเดินทางบนหน้าผายังคงดำเนินต่อไป
เจ้าว่าโลกกลมหรือแบน” จู่ๆเฟรี่ก็เปลี่ยนหัวข้อเรื่องสนทนา
“โลกของใครล่ะ”
“โลกของใครก็ได้จะเป็นโลกสวรรค์โลกมนุษย์หรือโลกของเจ้าก็ได้”
“ไม่เห็นจะยาก ถ้าเป็นโลกต้องแบนอยู่แล้ว”
จอมใจอเวจี......บทที่ 5 (เทวบุตรมาร)
ความเดิม ตอนที่แล้ว
http://ppantip.com/topic/34623110
ตอนนี้นักรบปีศาจดูเหมือนจะสนใจกล้องส่องทางไกลในมือมากกว่าจะโต้เถียง เขาใช้วัตถุพิสดารในมือกวาดมองไปมาด้วยความตื่นตาตื่นใจ ก่อนจะมาหยุดนิ่งอยู่กับกลุ่มคนซึ่งความจริงอยู่ไกลออกไปมองเห็นลิบๆ แต่พอมองผ่านกล้องแล้วรู้สึกเหมือนคนพวกนั้นอยู่ข้างหน้าจนแทบจะยื่นมือออกไปจับต้องได้
=================
จอมใจอเวจี
บทที่ 5 เทวบุตรมาร
=================
: Psycho G.
“กล้องส่องทางไกลอะไรแบบนี้ข้าไม่รู้จักหรอก พวกเราไม่เคยใช้กัน” ไนท์พูดขณะสายตายังส่องผ่านกล้องมหัศจรรย์ในมือจ้องมองภาพใกล้เกินจริงอย่างสนใจ
“แน่ล่ะ” นางฟ้าตกสวรรค์ได้โอกาสทอง
“จะมีใช้ได้อย่างไรกันเพราะโลกของเจ้ายังไม่เจริญทางวิทยาการอะไรเลย เหมือนยุคโบราณยังไงยังงั้นไม่มีผิด อย่าบอกนะว่าจะมีไดโนเสาร์ตัวใหญ่โผล่ออกมาให้เห็น”
“บนสวรรค์มีไดโนเสาร์ด้วยหรือ แล้วมันเป็นตัวยังไง”
ปีศาจหนุ่มถามทำเอาเฟรี่มองค้อนจนตาคว่ำ อธิบายด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งว่า
“จะมีได้อย่างไร พวกเราศึกษาเรื่องพวกนี้จากโลกมนุษย์ทั้งหมดล่ะ โลกมนุษย์ที่ขวางกั้นระหว่างเบื้องบนกับเบื้องล่างไม่รู้ว่าเจ้าจะเข้าใจหรือไม่ ความรู้ที่พวกมนุษย์ว่ายากและไม่เข้าใจ กับพวกเราชาวเบื้องบนมันเป็นเรื่องง่ายๆ ยิ่งมาเทียบกับโลกเบื้องโลกนี่ยิ่งห่างกันลิบลับเลย”
“ก็ใช่...เสียดายว่าเจ้าตกลงมาจากโลกเบื้องบนเสียแล้ว สิว่าวิทยาการอะไรนั่นของเบื้องบนจะลงมาช่วยได้ไหม”
คำพูดของคู่สนทนาแทงใจดำของหญิงสาวอย่างจัง ทำเอาคอแข็งพูดอะไรไม่ออก คิดในใจว่าแค่จะฟังเฉยๆ ไม่ได้หรืออย่างไร ทำเป็นมายอกย้อน
“นั่นมันพวกของเทวบุตรมาร เราเข้ามาในเขตพวกเขา หัวหน้าของพวกมันเจ้าคนตาบอดข้างหนึ่งนั่นชื่อมาร์ลาส”
ไนท์เหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าเมื่อมองเห็นคนกลุ่มนั้นได้ถนัดชัดเจนว่าพวกเขากำลังลังเลในการตัดสินใจว่าจะไปทิศทางใดดี ภาพจากกล้องส่องทางไกลดูเหมือนพวกเขากำลังปรึกษาหารือกันอย่างเคร่งเครียด
“พวกตัวอันตรายทีเดียว สำคัญคือเราต้องผ่านดินแดนของพวกนี้ออกไป”
“ไม่มีทางอื่นไปอีกแล้วหรือ” เฟรี่ถามเสียงอ่อยสีหน้าวิตกกังวลขึ้นมาทันที อะไรดูติดขัดมีปัญหาและอุปสรรคไปเสียหมด เท้าก็เจ็บระบมจนไม่อยากออกแรงวิ่งหนีอะไรอีกต่อไป
“ไม่มี”
ไนท์ตอบสั้นๆแต่ชัดเจนในความหมาย
“แล้วเราจะทำยังไง”
“ก็ต้องหาทางผ่านพวกมันออกไปให้ได้”
“ยากไหม..”
“ถ้ามีข้าตามลำพังคนเดียวไม่ยากหรอก วิ่งหน้าตั้งไม่คิดชีวิตก็ผ่านพวกมันไปได้ แต่ถ้ามีเจ้าคอยเดินตามข้าอยู่เป็นตัวถ่วงแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย”
“นี่เจ้าหาว่าข้าเป็นตัวถ่วงเจ้าหรือไง”
เฟรี่ตาเขียวปั้ดและน้ำเสียงแหลมสูงออกแววไม่พอใจมาอีกแล้ว นักรบปีศาจหัวเราะในลำคอไม่พูดอะไรอีก คู่กรณีโมโหเลยพาลเอื้อมมือมากระชากกล้องส่องทางไกลออกจากมือของคู่กรณีอย่างแรง
“ไม่ให้ดูแล้ว เอาคืนมาเลย”
ปีศาจหนุ่มหันมามอง ทำท่าค้างเป็นรูปปั้นครู่หนึ่งจึงส่ายหน้าหัวเราะเบาๆ ในลำคอแบบไม่รู้ว่าขำอะไร เฟรี่มองหน้าค้อนขวับก่อนจับกล้องส่องทางไกลบิดพับไปมาอย่างคล่องแคล่วจนเหลือขนาดเล็กลงกว่าเดิมหลายเท่าแล้วเก็บเข้าอกเสื้อ โดยมีปีศาจร่วมทางคอยชำเลืองมองอยู่อย่างเงียบๆ เห็นชุดมอมแมมที่เคยขาวสะอาดของนางฟ้าตกยากก็รู้สึกเห็นใจขึ้นมาว่าคนไม่เคยเผชิญหน้ากับความลำบากแบบนี้คงสาหัสสากรรจ์ไม่น้อย แต่เห็นแววตาเด็ดเดี่ยวเป็นประกายของอีกฝ่ายก็พอจะเบาใจได้บ้างว่าเป็นคนไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
“แรงระเบิดของเจ้าทำให้พื้นที่แถบนี้กลายเป็นแหล่งกระตุ้นความสนใจของบรรดากลุ่มปีศาจ ตัวข้าเองก็ต้องยุ่งยากในการจะวกกลับเข้าเส้นทางเดิม จำเป็นต้องเดินไปในทิศทางเดียวกับเส้นทางที่จะพาเจ้าเดินทางกลับอย่างช่วยไม่ได้”
ผู้นำทางจำเป็นอธิบายเสียงเรียบๆเป็นเชิงบอกทางอ้อมว่าไม่ตั้งใจอยากช่วยเหลืออะไรมากมาย แต่บังเอิญใช้เส้นทางเดียวกันเท่านั้นขณะดึงดาบออกมาจากฝัก ตรวจดูคมดาบไปมาให้แน่ใจว่าพร้อมอยู่ในสภาพใช้งาน
“เจ้ารู้เส้นทางและวิธีการพาข้ากลับบ้านใช่ไหม”
เฟรี่ฟังแล้วเอ่ยถามด้วยนัยน์ตาเป็นประกายแห่งความหวัง อย่างน้อยคำพูดเป็นนัยวนประสามของปีศาจหนุ่มยังมีอะไรบางอย่างจุดประกายแห่งความหวังสว่างขึ้นมาในความมืดดำ
“คิดว่าพอรู้ จะตามข้ามาก็ได้นะ แม้ว่าข้าจะไม่เต็มใจนักกับการแบกรับภาระผู้หญิงไม่ได้เรื่องคนหนึ่งที่ทำอะไรไม่ค่อยเป็น เพราะเคยอยู่แต่เบื้องบนสุขสบาย แต่บอกก่อนนะว่าถ้าตามข้ามาแล้วห้ามดื้อหรือพูดจากวนอารมณ์เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นข้าทิ้งเจ้ากลางทางแน่”
หญิงสาวพยายามนับหนึ่งถึงร้อยกับวาจาเชือดเฉือนกวนประสาท แต่ก็รู้ว่าไม่มีทางเลือกอย่างอื่นอีกนอกจากตามปีศาจจอมโอหังเย็นชาผู้นี้ไปอย่างช่วยไม่ได้ พลางคิดในใจ คอยดูนะ...กลับไปได้เมื่อไรข้าจะไปฟ้องคนรักให้นำกองทัพมาตามจับตัวคนใจร้ายปากร้ายอย่างเจ้าไปขังในคุกอวกาศเสียให้เข็ด เห็นว่าเรามาพึ่งพาอาศัยทำปากคอเราะร้ายพูดไม่เกรงอกเกรงใจกันบ้างเลย
ไนท์ตรวจดูอาวุธคู่กายจนพอใจแล้วเก็บดาบเข้าฝักตามเดิม เดินไปเกาะโขดหินจ้องมองลงไปบริเวณด้านล่างอีกครั้งซึ่งตอนนี้เริ่มมีกลุ่มหมอกสีขาวลอยมาปกคลุมจนเลือนรางไปบ้างแล้ว
“ไปกันตอนนี้เลย”
เขาสอดฝักดาบเข้ากับสายรัดเอวหันมาพยักหน้าให้สาวตกสวรรค์ก่อนพูดต่อไปอีกว่า
“หมอกกำลังเคลื่อนตัวมาเรา ทำให้พวกนั้นค้นหาเราพบยากขึ้น ข้าไม่อยากเสี่ยงปะทะกับพวกของเทวบุตรมาร พวกมันเป็นตัวอันตราย ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงการปะทะกันเป็นดีที่สุด”
พูดจบก็ไม่ต้องรอฟังความเห็นของใครปีศาจหนุ่มหันหลังเดินลัดเลาะลงไปตามทางเดินแคบสูงชันและท่าทางอันตรายจากการหลุดร่วงหล่นลงไป ดูเหมือนว่าเขาจะชำนาญกับสภาพแบบนี้เป็นอย่างดี แต่สำหรับเฟรี่เป็นเรื่องหนักหนาสาหัสเหลือเกินเพราะทางเดินทั้งชันทั้งแคบ ด้านหนึ่งคือหน้าผาสูงเสียดฟ้าด้านหนึ่งคือผนังชันดิ่งลงไปอย่างน่ากลัว ถ้าร่วงหล่นลงไปมีหวังอาการหนักหนาสาหัสแน่นอน
“ถ้าไม่แน่ใจก็จับชะง่อนหินเอาไว้”
ไนท์หันมาบอกด้วยท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจเท่าไรแต่ก็ไม่ได้เดินห่างออกไปจนหายลับไปหับตาเหมือนอยู่ในถ้ำ เขาเว้นระยะไปเพียงไม่กี่ช่วงแขนเท่านั้น
“ไม่ต้องห่วงข้าหรอกน่า ทางแค่นี้ข้าเดินสบาย”
หญิงสาวกัดฟันร้องบอกด้วยเสียงหนักแน่นพยายามก้าวเท้าลงมาตามทางลาดชันอันน่าหวาดเสียวด้วยความเร็วเท่าที่จะทำได้จนอีกฝ่ายต้องมองแล้วนึกชมในใจ เห็นท่าทางผู้ดีนุ่มนิ่มพอถึงคราวจำเป็นก็พยายามทำตัวไม่เป็นภาระให้ใครมากมายจนเกินไปได้เหมือนกัน
ขณะลงมาถึงครึ่งทาง หญิงสาวเหยียบพลาดร่างไถลลื่นลงมาตามทางเดินทำท่าจะหลุดหล่นออกไปจากหน้าผาพร้อมกับเสียงร้องอย่างตกใจ คนนำทางเหมือนคอยดูอยู่แล้วแบบไม่ให้คลาดสายตา รีบพุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็วดึงแขนของหญิงสาวกระชากกลับเข้ามาในแนวทางเดินอย่างทันท่วงที
“ข้าไม่เป็นไร”
เฟรี่บอกเสียงสั่นยกมือขึ้นปาดเหงื่อพยายามฝืนยิ้มแม้ใบหน้าจะขาวซีดด้วยความตกใจ ปีศาจหนุ่มค่อยปล่อยมือของเธอออกด้วยท่าทางแปลกๆ แถมยกฝ่ามือของตัวเองขึ้นมาดูเหมือนไม่แน่ใจ
“มันไม่ระเบิดใช่ไหม”
คู่กรณีจากฟากฟ้าเอียงคอมองอย่างสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงพูดถึงเรื่องระเบิด เฟรี่ทำหน้าครุ่นคิดพักหนึ่งจึงเอ่ยขึ้นเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“ใช่..”
ปีศาจหนุ่มพยักหน้าตอบรับกับคำพูดสั้นๆ ของอีกฝ่ายราวกับว่าเข้าใจเป็นอย่างดีก่อนก่อนพูดช้าๆ ว่า
“ข้าเองก็เพิ่งนึกได้ว่าตำราหรือเรื่องเล่าขานที่ข้าเคยเรียนมาน่าจะผิด มันเขียนบอกว่าร่างกายของพวกเบื้องบนและพวกเบื้องล่าง เป็นเหมือนสสารและปฏิสสาร ถ้ากระทบกันตรง ๆ เมื่อไรจะระเบิดทำลายตัวเองไปทั้งคู่”
“ในตำราของพวกข้าก็เขียนไว้แบบนี้เหมือนกัน”
เฟรี่บอกขณะเริ่มเดินลงมาอีกครั้งอย่างระมัดระวังมากกว่าเก่า ไม่ต้องลงมาแบบรีบร้อนเพื่อพิสูจน์อะไรให้ใครบางคนเห็นอีกแล้ว ส่วนปีศาจนักรบก็ยังคงเดินนำหน้าลงไปเหมือนเคย อย่างน้อยก็ทำให้เห็นแล้วว่าภายใต้หน้ากากเย็นชาไร้อารมณ์ยังมีความปกป้องดูแลอีกฝ่ายอยู่ ไม่ได้ใจร้ายไส้ระกำจนเกินไป แม้ภายนอกจะดูราวไม่แยแสสนใจอะไรมากมาย
“เจ้าเชื่อแบบนั้นจริงๆ ใช่ไหม....”
หญิงสาวเป็นฝ่ายชวนคุยเมื่อเห็นว่าคนนำทางไม่ได้ทิ้งระยะห่างไปไกลจนเกินเอื้อมทำให้รู้สึกอบอุ่นปลอดภัยมากขึ้น ว่าผู้นำทางอยู่ในระยะพร้อมจะเข้ามาช่วยเหลือได้ทุกเมื่อถ้าเกิดเหตุอันตรายสุดวิสัย
“เรื่องอะไร”
“เรื่องสสารปฏิสสารอะไรนั่น...เจ้าเชื่อว่าเป็นจริงไหม”
“ถ้าข้าเชื่อข้าก็คงปล่อยให้เจ้าหล่นลงไปแล้ว...ตอนนี้ก็พิสูจน์ได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องจริงเจ้ากับข้าคงระเบิดเป็นจุลไปแล้ว”
“ทำไมตำราต้องบอกเรื่องผิดๆ ด้วยนะ”
น้ำเสียงปรารภของเฟรี่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ ในตำราสมัยเรียนบอกว่าพวกโลกมืดและพวกเบื้องบนจะกระทบกันไม่ได้ ถ้าสัมผัสกันเมื่อไรจะระเบิดรุนแรงเป็นพลังงานสูญหายไปอย่างไม่มีวันกลับมาเป็นสภาพเดิมได้อีก และยังบอกว่าชาวปีศาจรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวไม่มีรูปกายเค้าโครงของความเป็นมนุษย์หรือแบบชาวเบื้องบนอยู่เลย ตัวโตใหญ่และชอบกินเนื้อสดเป็นอาหาร ชอบการฆ่าฟันและทำลายล้างแบบโหดร้ายกักขละป่าเถื่อนไร้ความเมตตา
“นี่ไนท์...เจ้าเป็นปีศาจจริงหรือ” หญิงสาวถามอีกขณะเมื่อเกาะไปตามชะง่อนหินย่างก้าวอย่างระมัดระวัง
“แล้วเจ้าล่ะ เป็นนางฟ้าจริงหรือ”
“เลิกเสียทีได้ไหมอาการย้อนถาม ข้าไม่ชอบเลย”
เริ่มเสียงขุ่นอีกแล้ว แต่อีกฝ่ายหัวเราะในลำคออย่างหาความหมายอะไรไม่ได้ก่อนจะพูดด้วยเสียงราบเรียบตามความเคยชินว่า
“ข้าว่าบางทีมันอาจเป็นเพียงคำเรียกขานเท่านั้น พวกข้าเป็นปีศาจจริงหรือไม่ใครจะไปรู้ จะว่าไปแล้วข้าเองก็ตอบไม่ได้ ถ้าข้าไม่ใช่ปีศาจตัวจริงเสียงจริง แล้วปีศาจตัวจริงๆ อยู่ที่ไหน เจ้าเป็นพวกชาวสวรรค์จริงหรือไม่ ถ้าไม่ใช่แล้วพวกชาวสวรรค์จริงๆ จะอยู่ที่ไหนกัน พวกเราเป็นอะไรกันแน่ข้าก็ไม่เข้าใจแต่ที่แน่ๆ พวกเราถูกแบ่งแยกกันแล้วด้วยอะไรบางอย่าง”
“เจ้าไม่ค่อยเหมือนปีศาจที่ข้าเคยคิดเอาไว้สักเท่าไร” เฟรี่บอกด้วยสีหน้าเริ่มมีเหงื่อซึมเล็กน้อยจากสภาพการเดินทาง เสียงผู้นำทางแว่วดังมาว่า
“ความจริงข้าเองก็เคยสงสัยว่าลึกลงไปใต้อาณาจักรของพวกเข้าแล้วยังจะมีพวกโลกเบื้องล่างอยู่อีกสักแค่ไหนกัน แล้วอะไรคือเบื้องบนเบื้องล่างที่แท้จริง”
“ไม่เห็นจะยากเลย” เสียงของเฟรี่รีบตอบโดยเร็วเมื่อเห็นช่องว่าง
“โลกข้าอยู่ข้างบน โลกของเจ้าอยู่ข้างล่างจริงแท้แน่นอน แต่จะว่าไปนะข้าก็เคยสงสัยเหมือนกันว่าเบื้องบนอาณาจักรของข้าจะมีพวกเบื้องบนกว่าอยู่ที่ไหน สูงขึ้นไปเท่าไร ข้าก็จินตนาการไม่ออกเหมือนกัน.....นี่”
“อะไร”
ต่างฝ่ายต่างถามต่างตอบเหมือนไม่ค่อยพอใจในการพูดคุยกันนัก แต่การสนทนายังคงมีเรื่อยๆในขณะการเดินทางบนหน้าผายังคงดำเนินต่อไป
เจ้าว่าโลกกลมหรือแบน” จู่ๆเฟรี่ก็เปลี่ยนหัวข้อเรื่องสนทนา
“โลกของใครล่ะ”
“โลกของใครก็ได้จะเป็นโลกสวรรค์โลกมนุษย์หรือโลกของเจ้าก็ได้”
“ไม่เห็นจะยาก ถ้าเป็นโลกต้องแบนอยู่แล้ว”