อริยสัจ ๒ ระดับ แยกให้ถูกจะไม่สับสน
อริยสัจ ๔ เข้าใจง่ายๆ คือ ๔ ขั้นตอน
๑. เหตุ คือ ทุกข์ ปัญหา
๒. ผลที่ได้รับ คือ เหตุอะไรที่ทำให้ทุกข์
๓. แก้แล้วเป็นยังไง คือ ถ้าเราแก้เหตุแล้วจะเป็นผลยังไง
๔. วิธีการ คือ ลงมือปฏิบัติ
บางคนนิโรธ ก็จะมาเน้นนิพพาน ตรงนี้จะไม่ถูกต้อง เพราะอริยสัจ ๔ จะไม่พาไปถึงนิพพาน
แต่ถ้าเราเอาอริยสัจ ๔ ไปพ่วงกับนิพพาน จะทำให้เราหรือคนทั่วไปงงกับอริยสัจ ๔ เอง เพราะอริยสัจ ๔ มี ๒ ขั้น
ขั้นที่ ๑ อริยสัจ ๔ ระดับสามัญ ธรรมดา ชาวบ้านได้รู้จักใช้ชีวิตอย่างถูกต้องตามธรรม ถ้าเราไปพ่วงกับนิพพาน จะทำให้ชาวบ้านทำไม่ได้และงงกัน และสับสน
ขั้นที่ ๒ อริยสัจ ๔ ระดับปรมัตถ์ ไปเสาะแสวงหาความจริง ได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ่งนั้นเป็นยังไง
เหมือนกับคำว่า "ทุกข์" ถ้าเราไม่แยก แล้วไปแปล เราจะปวดหัวมาก ทุกข์ระดับความหมายสามัญ (ปัญหา ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ) กับทุกข์ระดับปรมัตถ์ (คงทนอยู่สภาพนั้นไม่ได้) ความหมายไม่เหมือนกัน
สาเหตุที่แท้จริงของทุกข์ทั้งปวง ไม่ใช่พระพรหมลงโทษ
พระพรหมไม่สามารถลงโทษได้ อย่างเช่น อสูรยักษ์ทำผิด พระพรหมยังไม่สามารถลงโทษได้เลย แต่ขึ้นอยู่กับว่าเขาไปกระทำถูกหรือผิด เขานั่นแหละลงโทษตัวเอง
สมมติว่า มีกติกา หรือกฎหมายที่บัญญัติไว้ เราไม่ทำผิดกฎหมายไม่สามารถลงโทษเราได้ และถ้าเราไม่ได้ทำผิด กฎหมายลงโทษเราได้ไหม?
ก็ไม่ได้
เราทำผิด กฎหมายข้อนั้นๆ ถึงจะสามารถลงโทษเราได้ สรุปแล้วใครไปก่อให้เกิดการลงโทษ นั่นก็คือเรา
เหมือนกับว่าเราไปซื้อรถยนต์มา ๑ คัน ถ้าเราไม่ได้ทำผิดอะไร กฎหมายไม่สามารถลงโทษเราได้ แต่ถ้าเราขับรถยนต์นั้นฝ่าไฟแดง อย่างนี้สิ กฎหมายลงโทษเราได้
เวลารถชนกัน เราจะบอกว่า "รถชนกัน" หรือจะบอกว่า เราขับรถไปชนกัน นั่นแหละ เป็นเพราะตัวเราเอง
กรรมไม่สามารถบันดาลได้ เพราะว่า บันดาล ไม่รู้จักเหตุอะไรก็ได้ ไม่ต้องมีเหตุมีผล
ควรใช้คำพูดที่ว่า "กรรมเป็นเหตุ" สิ่งที่ทำให้เราทุกข์นี้ เพราะกรรมเป็นเหตุส่งผลให้เราทุกข์
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต
อริยสัจ ๒ ระดับ แยกให้ถูกจะไม่สับสน
อริยสัจ ๔ เข้าใจง่ายๆ คือ ๔ ขั้นตอน
๑. เหตุ คือ ทุกข์ ปัญหา
๒. ผลที่ได้รับ คือ เหตุอะไรที่ทำให้ทุกข์
๓. แก้แล้วเป็นยังไง คือ ถ้าเราแก้เหตุแล้วจะเป็นผลยังไง
๔. วิธีการ คือ ลงมือปฏิบัติ
บางคนนิโรธ ก็จะมาเน้นนิพพาน ตรงนี้จะไม่ถูกต้อง เพราะอริยสัจ ๔ จะไม่พาไปถึงนิพพาน
แต่ถ้าเราเอาอริยสัจ ๔ ไปพ่วงกับนิพพาน จะทำให้เราหรือคนทั่วไปงงกับอริยสัจ ๔ เอง เพราะอริยสัจ ๔ มี ๒ ขั้น
ขั้นที่ ๑ อริยสัจ ๔ ระดับสามัญ ธรรมดา ชาวบ้านได้รู้จักใช้ชีวิตอย่างถูกต้องตามธรรม ถ้าเราไปพ่วงกับนิพพาน จะทำให้ชาวบ้านทำไม่ได้และงงกัน และสับสน
ขั้นที่ ๒ อริยสัจ ๔ ระดับปรมัตถ์ ไปเสาะแสวงหาความจริง ได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ่งนั้นเป็นยังไง
เหมือนกับคำว่า "ทุกข์" ถ้าเราไม่แยก แล้วไปแปล เราจะปวดหัวมาก ทุกข์ระดับความหมายสามัญ (ปัญหา ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ) กับทุกข์ระดับปรมัตถ์ (คงทนอยู่สภาพนั้นไม่ได้) ความหมายไม่เหมือนกัน
สาเหตุที่แท้จริงของทุกข์ทั้งปวง ไม่ใช่พระพรหมลงโทษ
พระพรหมไม่สามารถลงโทษได้ อย่างเช่น อสูรยักษ์ทำผิด พระพรหมยังไม่สามารถลงโทษได้เลย แต่ขึ้นอยู่กับว่าเขาไปกระทำถูกหรือผิด เขานั่นแหละลงโทษตัวเอง
สมมติว่า มีกติกา หรือกฎหมายที่บัญญัติไว้ เราไม่ทำผิดกฎหมายไม่สามารถลงโทษเราได้ และถ้าเราไม่ได้ทำผิด กฎหมายลงโทษเราได้ไหม?
ก็ไม่ได้
เราทำผิด กฎหมายข้อนั้นๆ ถึงจะสามารถลงโทษเราได้ สรุปแล้วใครไปก่อให้เกิดการลงโทษ นั่นก็คือเรา
เหมือนกับว่าเราไปซื้อรถยนต์มา ๑ คัน ถ้าเราไม่ได้ทำผิดอะไร กฎหมายไม่สามารถลงโทษเราได้ แต่ถ้าเราขับรถยนต์นั้นฝ่าไฟแดง อย่างนี้สิ กฎหมายลงโทษเราได้
เวลารถชนกัน เราจะบอกว่า "รถชนกัน" หรือจะบอกว่า เราขับรถไปชนกัน นั่นแหละ เป็นเพราะตัวเราเอง
กรรมไม่สามารถบันดาลได้ เพราะว่า บันดาล ไม่รู้จักเหตุอะไรก็ได้ ไม่ต้องมีเหตุมีผล
ควรใช้คำพูดที่ว่า "กรรมเป็นเหตุ" สิ่งที่ทำให้เราทุกข์นี้ เพราะกรรมเป็นเหตุส่งผลให้เราทุกข์
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต