สำหรับคนที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศช่วงนี้

ผมเห็นใจพวกที่ซื้อตั๋วแล้ว กับพวกต้องจำเป็นไปทำงานนะ เพราะเป็นกลุ่มที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เห็นหลายคนบอกให้ทิ้งตั๋ว แต่ผมไม่คิดว่าจำเป็นต้องทำขนาดนั้น มันคงง่ายที่ผมจะบอกให้คนที่ซื้อตั๋ว เสียสละ เงินที่ตัวเองจ่ายไปแล้ว ทิ้งตั๋วซะ เพราะใครที่ไม่ได้เป็นคนเสียสละ ย่อมพูดได้ ผมไม่คิดว่าคนที่จ่ายเงินไปแล้ว ต้องเสียสละขนาดนั้น 

แต่ผมเองก็กลัวโรคและอยากให้คนที่ไปเที่ยวรู้จักรับผิดชอบต่อสังคมเหมือนกัน ไม่ต้องถึงขนาดเสียสละเงิน ทิ้งตั๋ว แต่แค่เสียสละแค่ความสุขเล็กๆ น้อยๆ เช่น ป้องกันตัวเองขณะเที่ยว กับเฝ้าระวังตัวเองตอนกลับมาแล้ว มันไม่ใช่แค่ดีกับคนอื่นในสังคม แต่มันดีกับตัวคนและครอบครัวของคนที่ไปเที่ยวเองด้วย

การป้องกันตัวเอง เช่น
1 ใส่หน้ากากตลอดเวลา แม้แต่เวลาถ่ายรูป
2 พยายามหลีกเลี่ยงที่ๆ คนเยอะ และแออัด ถ้าจำเป็นต้องใช้รถสาธารณะ พยายามหลีกเลี่ยงช่วง rush hour ตอนกินข้าวถ้าเลี่ยงร้านอาหารที่คนเยอะหรือ ถ้าซื้อข้าวกล่องมากินในที่ส่วนตัวได้จะดีมาก  
3 หมั่นล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะก่อนกินข้าว
4 ควรกินอาหารร้อน ไอ้พวกบุฟเฟต์แบบวางไว้ ควรงด

การเฝ้าระวังตัวเองหลังกลับมาแล้วซัก 1 เดือน
1 พยายามสังเกตุตัวเองว่าตัวร้อนหรือเปล่า มีอาการไอ จามหรือเปล่า ถ้ามีอาการดังกล่าวควรรีบไปพบแพทย์
2 ใส่หน้ากากเวลาอยู่กับคนอื่น แม้เวลาอยู่ในบ้าน แยกห้องนอนถ้าเป็นไปได้
3 ใช้ช้อนกลางทุกครั้งที่กินข้าว แม้แต่กับคนในครอบครัว ถ้าจะให้ดีแยกกินได้เลยจะดีมาก
* คุณ  สมาชิกหมายเลข 3931079 แนะนำว่าแยกกันกินกับครอบครัวเลยน่าจะปลอดภัยกว่า ผมก็เห็นด้วยเลยแก้ให้ครับ บางคนอาจจะคิดว่า ทำไมฉันต้องทำแบบนี้ด้วย ฉันอยากจะกินข้าวกับครอบครัวอย่างมีความสุข แต่ผมอยากให้ทำนะครับ ผมอ่านข่าวปู่ย่าที่ไปญี่ปุ่นมา สุดท้ายคนที่ติดไปคนแรกก็ไม่ใช่ใคร ก็หลานของตัวเอง อย่างน้อยไม่คิดถึงส่วนรวม อยากให้คิดถึงครอบครัวและคนที่คุณรักให้มากๆ ครับ 
4 ควรแยกของใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดหน้า เผื่อบางบ้านมีผ้าเช็ดมืออยู่ในห้องน้ำให้ทุกคนในบ้านใช้เช็ดมือ เช็ดหน้าหลังเข้าห้องน้ำ

ผมเห็นหลายความเห็นแสดงท่ารังเกียจคนที่กลับมาจากต่างประเทศ ผมเข้าใจนะ ไม่มีใครอยากเป็นโรคหรอก แต่การที่เราแสดงท่ารังเกียจมากเกินไป ผมว่ามันให้ผลสะท้อนกลับมากกว่า เหมือนช่วงที่โรคเอดส์ระบาดใหม่ๆ พอคนแสดงท่ารังเกียจ คนที่เป็นก็ไม่กล้าบอกคนอื่นเพราะกลัวโดนรังเกียจ มันทำให้มีโอกาสแพร่เชื้อมากกว่า 

ในทางกลับกัน ถ้าเราทำความเข้าใจโรค เช่นเอดส์ พอเราก็ไม่แสดงท่ารังเกียจ คนที่เป็นเอดส์ก็กล้าบอกเราว่าเป็น เราก็แค่ระวังเลือดเค้าก็พอ

โรคนี้ก็เหมือนกัน ถ้าคนที่เป็นยังไม่แสดงอาการ เช่นตัวร้อน ไอ จาม ผมว่า เราไม่ควรแสดงท่ารังเกียจมากเกินไป แทนที่คนที่ไปมาจะกล้าบอกเราว่าไปมา  เราจะได้บอกให้เค้าใส่หน้ากากไว้ และเฝ้าระวังตัวเอง กลับกลายเป็นกลัวโดนรังเกียจแล้วไม่กล้าบอกใคร เหมือนปู่ย่าที่เป็นข่าว แต่ใช้ชีวิตปกติ ผมว่าแบบนี้กลับดูอันตรายกว่า
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่