อัตตากับอนัตตาเป็นของคู่กันไม่ควรแยกออกจากกัน
"...ข้อแตกต่างทางมติเกี่ยวกับปัญหาเรื่องนิพพานและจิต ภายในวงการพระพุทธศาสนาของสยามซึ่งเป็นฝ่ายเถรวาทล้วนๆ แต่ก็ยังมีความเห็นไม่สอดคล้องต้องกันได้ นักธรรมะบางพวกเห็นว่านิพพานเป็นอนัตตา ซึ่งทั้งนี้อาศัยพระพุทธภาษิตข้อว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตนเป็นข้ออ้าง บางพวกเห็นว่าที่พระพุทธเจ้าสอนอนัตตา ก็เพื่อจะให้เรารู้จักอัตตานั่นเอง แต่อัตตานี้ไม่ใช่อัตตาขันธ์ห้า ขันธ์ห้าเป็นอนัตตาส่วนธรรมของจริง คือพระนิพพานนั้นเป็นอัตตาตัวจริงของเรา มีพระพุทธภาษิตเป็นหลักฐานว่า อัตตา หิ อัตตาโน นาโถ ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าไม่มีตนเสียแล้ว เหตุไรพระองค์จึงสอนให้เอาตนเป็นที่พึ่งเล่า?..." เสถียร โพธินันทะ. ๒๕๒๒. ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา. กรุงเทพฯ : บรรณาคาร, ๖-๗.
ตอบ อธิบายว่า ขันธ์ ๕ นี้เป็นอัตตา ๑๐๐% เพราะว่า ต้องมีสิ่งที่มีถึงจะมี ไม่มีถึงจะไม่มี คือ มันเป็นของคู่กัน อัตตาก็ต้องคู่กับอนัตตา คนทั้งหลายไปแยกกันเลยไม่เข้าใจ มันแยกไม่ได้ "อัตตากับอนัตตา" เป็นของคู่กัน ห้ามแยกออกจากกัน ถ้าแยกก็จะงง ปวดหัว เถียงกันไม่จบ เพราะไม่เข้าใจธรรมชาติโดยแท้จริง รูปกับนามจะต้องไปด้วยกันตลอด ของธรรมชาติ ของธรรมเป็นเช่นนี้ เพียงแต่ว่าภาวะไหนเป็นประธานเท่านั้นเอง
เวลานี้เราบอกว่าไม่มีฝน แต่ฝนตั้งเค้าอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่ากาลเวลาสัปปายะเหมาะสมก็จะตกลงมา ถ้าไม่เหมาะสมก็อยู่บนท้องฟ้า เพราะไม่ใช่เค้าเป็นประธาน
ยกตัวอย่าง ในลูกมะพร้าว ก็มีต้นมะพร้าว ถ้าไม่มีต้น ลูกมะพร้าวนั้นจะปลูกขึ้นมาได้อย่างไร ในขณะมีต้นก็ต้องมีลูก แน่นอนของมันคู่กัน พลังข้างในมันมี มันเป็นของคู่กันอยู่แล้ว พลังก่อเกิดจะต้องมีอย่างนี้ ถ้าไม่มีไม่ได้
ผู้หญิงมีลูก ผู้ชายก็มีลูกอยู่ในท้องเช่นเดียวกัน ถ้าไม่อย่างนั้น เราจะเอาน้ำอสุจิไปเข้าอยู่ในช่องคลอดของผู้หญิงได้อย่างไร ผู้หญิงจะมีลูกอยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยผู้ชายผู้หญิงจึงจะมีท้องได้ ก็ต้องอาศัยผู้ชายส่วนหนึ่ง ผู้หญิงส่วนหนึ่งมาประกบกัน ๒ คนมาเป็นหนึ่งเดียวกัน ผู้ชายท้องอยู่ตลอดเวลา มีลูกอยู่ตลอดเวลา และผู้หญิงก็มีลูกอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เหลือแต่ว่ารอสัปปายะเท่านั้น รอการก่อเกิด พลังการก่อเกิดจะต้องมีอยู่ ไม่มีไม่ได้ถึงเวลาไหนเป็นประธานเท่านั้นเอง
ความบ้าของเราก็ต้องมี ความโหดของคนเราก็มี แต่ความดีก็มีอยู่ในคนเรา คนๆ เดียวกันนี่แหละ มันอยู่ด้วยกันตลอด ยกตัวอย่าง อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี พยายามจะไปเอาตัวที่ไม่ดีในตัวเราเอาออกมาให้คนดู ฉะนั้น เราจะต้องเข้าใจธรรมจริงๆ ไม่ใช่เข้าใจแค่หางอึ่งแล้วมาเถียง แล้วก็ทู่ซี้จะให้เป็นอย่างนั้น ธรรมนี้มีมารยาหลอกเราตลอดเวลา สิ่งที่เราเห็นยังมีลึกซึ้งกว่านั้นอีกที่เรามองไม่เห็น แล้วเราจะมายืนยันอย่างนี้เล๊าะ!! ไม่ได้ ถ้าเราบอกว่าผู้ชายมีลูก คนทั่วไปจะบอกว่าเราบ้า แต่พอเรายอมฟังการอธิบายข้างต้นนี้ ถูกต้องเป็นอย่างมาก ถ้าผู้ชายไม่มีลูกแล้วจะทำให้ผู้หญิงมีลูกได้ยังไง ชายหญิงจะต้องผสมกัน ดังเช่น ศิวะศิวา (ปางอรรธนารีศวร) ของมันจะต้องคู่กัน ศิวะศิวาทางฮินดู นี่แหละ คือ “เต๋า (道)” ได้แก่ หยินหยาง (阴(陰) 阳(陽))
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต
อัตตากับอนัตตาเป็นของคู่กันไม่ควรแยกออกจากกัน
"...ข้อแตกต่างทางมติเกี่ยวกับปัญหาเรื่องนิพพานและจิต ภายในวงการพระพุทธศาสนาของสยามซึ่งเป็นฝ่ายเถรวาทล้วนๆ แต่ก็ยังมีความเห็นไม่สอดคล้องต้องกันได้ นักธรรมะบางพวกเห็นว่านิพพานเป็นอนัตตา ซึ่งทั้งนี้อาศัยพระพุทธภาษิตข้อว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตนเป็นข้ออ้าง บางพวกเห็นว่าที่พระพุทธเจ้าสอนอนัตตา ก็เพื่อจะให้เรารู้จักอัตตานั่นเอง แต่อัตตานี้ไม่ใช่อัตตาขันธ์ห้า ขันธ์ห้าเป็นอนัตตาส่วนธรรมของจริง คือพระนิพพานนั้นเป็นอัตตาตัวจริงของเรา มีพระพุทธภาษิตเป็นหลักฐานว่า อัตตา หิ อัตตาโน นาโถ ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าไม่มีตนเสียแล้ว เหตุไรพระองค์จึงสอนให้เอาตนเป็นที่พึ่งเล่า?..." เสถียร โพธินันทะ. ๒๕๒๒. ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา. กรุงเทพฯ : บรรณาคาร, ๖-๗.
ตอบ อธิบายว่า ขันธ์ ๕ นี้เป็นอัตตา ๑๐๐% เพราะว่า ต้องมีสิ่งที่มีถึงจะมี ไม่มีถึงจะไม่มี คือ มันเป็นของคู่กัน อัตตาก็ต้องคู่กับอนัตตา คนทั้งหลายไปแยกกันเลยไม่เข้าใจ มันแยกไม่ได้ "อัตตากับอนัตตา" เป็นของคู่กัน ห้ามแยกออกจากกัน ถ้าแยกก็จะงง ปวดหัว เถียงกันไม่จบ เพราะไม่เข้าใจธรรมชาติโดยแท้จริง รูปกับนามจะต้องไปด้วยกันตลอด ของธรรมชาติ ของธรรมเป็นเช่นนี้ เพียงแต่ว่าภาวะไหนเป็นประธานเท่านั้นเอง
เวลานี้เราบอกว่าไม่มีฝน แต่ฝนตั้งเค้าอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่ากาลเวลาสัปปายะเหมาะสมก็จะตกลงมา ถ้าไม่เหมาะสมก็อยู่บนท้องฟ้า เพราะไม่ใช่เค้าเป็นประธาน
ยกตัวอย่าง ในลูกมะพร้าว ก็มีต้นมะพร้าว ถ้าไม่มีต้น ลูกมะพร้าวนั้นจะปลูกขึ้นมาได้อย่างไร ในขณะมีต้นก็ต้องมีลูก แน่นอนของมันคู่กัน พลังข้างในมันมี มันเป็นของคู่กันอยู่แล้ว พลังก่อเกิดจะต้องมีอย่างนี้ ถ้าไม่มีไม่ได้
ผู้หญิงมีลูก ผู้ชายก็มีลูกอยู่ในท้องเช่นเดียวกัน ถ้าไม่อย่างนั้น เราจะเอาน้ำอสุจิไปเข้าอยู่ในช่องคลอดของผู้หญิงได้อย่างไร ผู้หญิงจะมีลูกอยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยผู้ชายผู้หญิงจึงจะมีท้องได้ ก็ต้องอาศัยผู้ชายส่วนหนึ่ง ผู้หญิงส่วนหนึ่งมาประกบกัน ๒ คนมาเป็นหนึ่งเดียวกัน ผู้ชายท้องอยู่ตลอดเวลา มีลูกอยู่ตลอดเวลา และผู้หญิงก็มีลูกอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เหลือแต่ว่ารอสัปปายะเท่านั้น รอการก่อเกิด พลังการก่อเกิดจะต้องมีอยู่ ไม่มีไม่ได้ถึงเวลาไหนเป็นประธานเท่านั้นเอง
ความบ้าของเราก็ต้องมี ความโหดของคนเราก็มี แต่ความดีก็มีอยู่ในคนเรา คนๆ เดียวกันนี่แหละ มันอยู่ด้วยกันตลอด ยกตัวอย่าง อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี พยายามจะไปเอาตัวที่ไม่ดีในตัวเราเอาออกมาให้คนดู ฉะนั้น เราจะต้องเข้าใจธรรมจริงๆ ไม่ใช่เข้าใจแค่หางอึ่งแล้วมาเถียง แล้วก็ทู่ซี้จะให้เป็นอย่างนั้น ธรรมนี้มีมารยาหลอกเราตลอดเวลา สิ่งที่เราเห็นยังมีลึกซึ้งกว่านั้นอีกที่เรามองไม่เห็น แล้วเราจะมายืนยันอย่างนี้เล๊าะ!! ไม่ได้ ถ้าเราบอกว่าผู้ชายมีลูก คนทั่วไปจะบอกว่าเราบ้า แต่พอเรายอมฟังการอธิบายข้างต้นนี้ ถูกต้องเป็นอย่างมาก ถ้าผู้ชายไม่มีลูกแล้วจะทำให้ผู้หญิงมีลูกได้ยังไง ชายหญิงจะต้องผสมกัน ดังเช่น ศิวะศิวา (ปางอรรธนารีศวร) ของมันจะต้องคู่กัน ศิวะศิวาทางฮินดู นี่แหละ คือ “เต๋า (道)” ได้แก่ หยินหยาง (阴(陰) 阳(陽))
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต