ตอน 22
วันพระใหญ่
“ความน่าสะพึง
กับคืนค่ำแห่งมนตร์ดำ”
เมฆสีเทาลอยต่ำปิดบังท้องฟ้าจนมืดมิด ไม่เห็นแสงสว่างบนท้องฟ้า ครู่ต่อมาสายลมที่แผ่วเบาค่อยๆ พัดพาหมู่เมฆเคลื่อนไป จนเห็นแสงสว่างของดวงจันทร์กลมโตลอยเด่นอยู่กลางท้องนภา
วันนี้เป็นวันพระใหญ่
เป็นค่ำคืนที่บรรยากาศชวนให้ขนลุก ตามที่อาเตือนไว้ไม่มีผิด แม้ว่าขณะนี้ทุกอย่างยังเป็นปกติ ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ เกิดขึ้น แต่ผมก็อดนึกถึงเหตุการณ์ที่ผมเจอไม่ได้ เธอมีอาการคลุ้มคลั่งทันทีที่ได้ทานข้าวและน้ำดื่มที่อาปลุกเสก ไม่ต่างกับคนเสียสติ
ตอนนี้คงได้แต่ภาวนาขออย่าให้เกิดความรุนแรงใดๆ ขึ้นเลย ผมทำได้เพียงเท่านั้นจริงๆ
หลังอาบน้ำเสร็จ ผมเดินออกจากห้องน้ำ แล้วบางสิ่งก็ทำให้ผมต้องหันหลังกลับไปมอง เป็นห้องว่างเปล่าที่อยู่หลังห้อง เศษผ้าสีดำขยับพลิ้วไหวไปตามแรงลมกับเสียงไม้แขวนเสื้อที่ดังกระทบกับเหล็กดัดเป็นจังหวะ เหมือนกำลังเรียกหาใครสักคน
ผมตั้งใจเอาไว้หลายครั้งแล้วว่าจะหันไปมองที่ห้องนั้นอีก แต่ก็ต้องหันไปมองแทบทุกครั้ง วันนี้น่ากลัวมากกว่าทุกวัน ผมคงไม่ได้รู้สึกไปเองแน่นอน ผมรีบกลับเข้าไปภายในห้องด้วยความกลัว
มองนาฬิกาเป็นเวลาดึกมากแล้ว แม่ของเธอยังไม่โทร.มา คงเป็นเพราะทุกอย่างเรียบร้อยดี วันพระใหญ่คงไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอย่างที่อาบอกไว้ก็เป็นได้
ครู่ต่อมาเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมรับสายทันที
“เกิดเรื่องแล้ว”
เสียงผู้หญิงที่ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือตื่นตระหนก จนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ เหมือนเพิ่งผ่านเหตุการณ์ที่น่ากลัว
“กรี๊ดๆๆ กรี๊ดๆๆ”
ผมสะดุ้งตกใจกับเสียงผู้หญิงกรีดร้องดังโหยหวนชวนให้ขนหัวลุก
“ได้ยินเสียงไหม”
แม่ของเธอถามด้วยน้ำเสียงกระหืดกระหอบตื่นกลัว
แม่ของเธอเริ่มตั้งสติแล้วเล่าเหตุการณ์ที่น่ากลัวเมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา ในขณะที่เสียงกรีดร้องของหญิงสาวยังคงมีอย่างต่อเนื่อง
หลังจากล้างหน้าล้างตาแล้ว เธอดูสดชื่นขึ้นมาก เข้ามาร่วมวงทานข้าวกับครอบครัวที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว กับข้าววันนี้มีแต่ของที่เธอชอบทั้งนั้น อาหารมื้อนี้ถูกใจเป็นอย่างมาก เธอทานได้เยอะเป็นพิเศษ ทุกคนในครอบครัวพูดคุยกัน ยิ้มหัวเราะอย่างมีความสุข ในขณะที่แม่ของเธอนิ่งเงียบด้วยความกังวล ไม่พูดอะไรออกมา
ไม่มีใครรู้เลยว่า ไม่ว่าจะเป็นข้าวที่เธอกำลังทานอยู่ น้ำดื่มที่วางอยู่ด้านข้าง ล้วนแล้วแต่เป็นของผมได้มาจากที่บ้านของอาทั้งสิ้น
เธอดูเป็นปกติมากเมื่อเทียบกับช่วงหลังที่ได้กลับมาที่บ้าน วันนี้ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า แม้แต่แฟนของเธอที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ยังพลอยมีความสุขไปด้วย เธอทานข้าวเป็นจานที่สอง พลางยกน้ำเย็นในขันที่แม่เตรียมเอาไว้ให้ดื่ม จนเวลาผ่านไปอีกสักพัก เธอเริ่มเงียบลง ไม่ยิ้มสนุกสนานอีกต่อไป การพูดจาเริ่มผิดปกติ แสดงอารมณ์หงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ พูดจาไปเรื่อยไม่ยอมหยุด บางคำฟังไม่รู้เรื่อง ถึงตอนนี้ทุกคนเริ่มงงว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องราวในอดีตที่เคยขัดแย้งกันในครอบครัวถูกหยิบยกขึ้นมาพูด ต่อว่าด่าทอคนในครอบครัวอย่างรุนแรง
ทุกอย่างรอบข้างตกอยู่ในความนิ่งเงียบ มีเพียงเสียงจากคำพูดของเธอที่ก้าวร้าว หยาบคาย ต่อว่าคนในครอบครัวที่นั่งอยู่ ทุกคนตกตะลึงกับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปในทันทีทันใดของเธอจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองหน้ากันไปมา แม่ของเธอนิ่งเงียบตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ดวงตาของเธอเกรี้ยวกราด เป็นไปอย่างที่ผมบอกเอาไว้ทุกอย่าง
ดวงตาสีดำ กลมโต ไร้ซึ่งแววตา มองหน้าด่าทอทุกคน เธอลุกขึ้นยืนจนแทบจะเหยียบกับข้าว พลางชี้นิ้วไปที่พ่อของเธอ พูดถึงเรื่องราวที่ขัดแย้งในอดีต เรื่องนี้ทุกคนในครอบครัวรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น เธอเคยทะเลาะกับพ่ออย่างรุนแรง จนหนีออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น และไม่พูดคุยกันเป็นเวลานานหลายเดือน ตอนนี้เรื่องเก่าได้ถูกขุดขึ้นมาพูดอีกครั้ง เธอระบายความรู้สึกในใจออกมาจนหมดสิ้น ด้วยความโกรธแค้นขุ่นเคืองราวกับว่าเรื่องนี้เพิ่งจะเกิดขึ้น ทั้งที่เหตุการณ์ได้ล่วงเลยมาหลายปี จนทุกคนแทบจะลืมเลือนไปหมดแล้ว
ตอนนี้ทุกคนยืนขึ้น น้องชายของเธอพยายามเข้าไปห้ามปราม ดึงมือของเธอที่ยืนชี้หน้าด่าพ่อของตัวเอง เธอสะบัดเหวี่ยงน้องชายจนเซไปด้านข้าง ตอนนี้เธอเริ่มหันมาด่าทอแฟนของเธอแล้ว จนในที่สุดก็เกิดการทะเลาะกันอย่างรุนแรง
เพียะ!
เสียงดังที่เกิดขึ้น ทำให้ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
แฟนของเธอใช้มือตบไปที่ใบหน้าของเธออย่างรุนแรง เธอจ้องมองมาที่แฟนอย่างโกรธแค้น จากนั้นก็วิ่งกลับเข้าไปในห้องนอน ปิดประตูเสียงดัง ทุกคนกลับมามีสติอีกครั้ง ต่างไม่พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น พ่อของเธอไม่พูดอะไรทั้งสิ้น หันหลังเดินกลับเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง โดยไม่มีใครรู้ได้เลยว่า พ่อของเธอกำลังคิดอะไรอยู่
ทุกอย่างกลับเข้าสู่ความเงียบสงบได้ไม่นาน ทุกคนก็ต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวน ดังมาจากห้องของเธอ
“กรี๊ดๆๆ กรี๊ดๆๆ”
ดังขึ้นเป็นพักๆ เงียบเสียงได้ไม่นาน ก็กรีดร้องดังขึ้นมาอีก
ผมไม่แน่ใจว่า อาการคลุ้มคลั่งของเธอเกิดจากการทานของที่ปลุกเสกเข้าไป หรือเป็นเพราะอิทธิพลของวันพระใหญ่อย่างที่อาบอกกันแน่ แต่อาการของเธอในครั้งนี้รุนแรงกว่าที่ผมเจอเมื่อคราวก่อนมากนัก
“เราจะทำยังไงดี”
เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ เพราะตัวผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องทำยังไง ภาวนาขออย่าให้มีอะไรรุนแรงเกิดขึ้นมากไปกว่านี้เลย ผมบอกแม่ของเธอไปว่า เราคงได้แต่ภาวนาเท่านั้น
เสียงกรีดร้องดังตลอดทั้งคืน และเงียบไปตอนไหนไม่มีใครรู้
ไม่เพียงคนในครอบครัวของเธอเท่านั้นที่หวาดผวา บ้านเรือนที่อยู่โดยรอบซึ่งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็พลอยต้องหวาดผวากับเสียงกรีดร้องของหญิงสาวไปด้วย
หลังจากเหตุการณ์คืนนั้น แม่ของเธอเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่า เธอโดนมนตร์ดำอย่างแน่นอน แววตาของเธอน่ากลัวมาก เป็นไปอย่างที่ผมบอกเอาไว้ทุกอย่าง แม่ของเธอยังบอกอีกว่า เลี้ยงเธอมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้บางครั้งจะดื้อมากขนาดไหน แต่ก็ไม่เคยแสดงอาการก้าวร้าวกับพ่อแม่แบบนี้เลย อาการของเธอเหมือนถูกผีเข้าสิงยังไงยังงั้น และยังเชื่ออีกว่า ทุกอย่างน่าจะมาจากอิทธิพลของวันพระใหญ่ แม่ของเธอเริ่มวิตกกังวลเป็นห่วงเธอมากขึ้น ขอร้องผมว่าทำอย่างไรก็ได้ให้เธอหายเป็นปกติโดยเร็วที่สุด
แม่เป็นห่วงกลัวว่าเธอจะเป็นบ้า
ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย เพราะมีหลายคนที่โดนมนตร์ดำ จนสุดท้ายต้องจบลงด้วยอาการทางจิตประสาท
ผมนึกถึงเสี่ยเจ้าของบริษัทค้าส่งเบียร์ ที่ไม่เคยมีใครได้เจออีกเลย หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายอันเกิดจากสาวทอม ที่ต่างก็พูดกันว่าต้องเข้ารับการรักษาอาการทางจิตประสาท
อาการทางจิตประสาท... ใช่!
เธอกำลังจะเป็นบ้า!
by พรนับพัน
ขอขอบคุณทุกท่านสำหรับการติดตามครับ
หนังสือ บันทึกลับ เมื่อแฟนผม... ต้องมนตร์ดำ
โดย พรนับพัน
สำนักพิมพ์คุณหนูชูใจ
เปิดให้พรีออเดอร์แล้วนะครับ หนังสือไม่มีวางจำหน่ายตามร้านหนังสือทั่วไป
บันทึกลับ เมื่อแฟนผม... ต้องมนตร์ดำ
เป็นบันทึกเรื่องราวน่าพิศวงที่เกิดขึ้นจริง ในช่วงระยะเวลาเริ่มต้นและจบลงภายในเวลาหนึ่งปี เรื่องราวไม่น่าเชื่อหลายๆ เรื่องเกิดขึ้นตลอดเวลา เชื่อมโยงอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้เข้ากับคำว่า “มนตร์ดำ” อย่างลงตัว เป็นช่วงเวลาหนึ่งปีที่ทั้งสุขและทุกข์ทนไปพร้อมกัน และเรื่องราวทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ในความทรงจำตลอดไป สำหรับบุคคลต่างๆ ผมต้องขอสงวนชื่อเอาไว้ทั้งหมด เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
บันทึกลับ เมื่อแฟนผม... ต้องมนตร์ดำ (ตอน 22)
ตอน 22
วันพระใหญ่
เมฆสีเทาลอยต่ำปิดบังท้องฟ้าจนมืดมิด ไม่เห็นแสงสว่างบนท้องฟ้า ครู่ต่อมาสายลมที่แผ่วเบาค่อยๆ พัดพาหมู่เมฆเคลื่อนไป จนเห็นแสงสว่างของดวงจันทร์กลมโตลอยเด่นอยู่กลางท้องนภา
วันนี้เป็นวันพระใหญ่
เป็นค่ำคืนที่บรรยากาศชวนให้ขนลุก ตามที่อาเตือนไว้ไม่มีผิด แม้ว่าขณะนี้ทุกอย่างยังเป็นปกติ ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ เกิดขึ้น แต่ผมก็อดนึกถึงเหตุการณ์ที่ผมเจอไม่ได้ เธอมีอาการคลุ้มคลั่งทันทีที่ได้ทานข้าวและน้ำดื่มที่อาปลุกเสก ไม่ต่างกับคนเสียสติ
ตอนนี้คงได้แต่ภาวนาขออย่าให้เกิดความรุนแรงใดๆ ขึ้นเลย ผมทำได้เพียงเท่านั้นจริงๆ
หลังอาบน้ำเสร็จ ผมเดินออกจากห้องน้ำ แล้วบางสิ่งก็ทำให้ผมต้องหันหลังกลับไปมอง เป็นห้องว่างเปล่าที่อยู่หลังห้อง เศษผ้าสีดำขยับพลิ้วไหวไปตามแรงลมกับเสียงไม้แขวนเสื้อที่ดังกระทบกับเหล็กดัดเป็นจังหวะ เหมือนกำลังเรียกหาใครสักคน
ผมตั้งใจเอาไว้หลายครั้งแล้วว่าจะหันไปมองที่ห้องนั้นอีก แต่ก็ต้องหันไปมองแทบทุกครั้ง วันนี้น่ากลัวมากกว่าทุกวัน ผมคงไม่ได้รู้สึกไปเองแน่นอน ผมรีบกลับเข้าไปภายในห้องด้วยความกลัว
มองนาฬิกาเป็นเวลาดึกมากแล้ว แม่ของเธอยังไม่โทร.มา คงเป็นเพราะทุกอย่างเรียบร้อยดี วันพระใหญ่คงไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอย่างที่อาบอกไว้ก็เป็นได้
ครู่ต่อมาเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมรับสายทันที
“เกิดเรื่องแล้ว”
เสียงผู้หญิงที่ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือตื่นตระหนก จนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ เหมือนเพิ่งผ่านเหตุการณ์ที่น่ากลัว
“กรี๊ดๆๆ กรี๊ดๆๆ”
ผมสะดุ้งตกใจกับเสียงผู้หญิงกรีดร้องดังโหยหวนชวนให้ขนหัวลุก
“ได้ยินเสียงไหม”
แม่ของเธอถามด้วยน้ำเสียงกระหืดกระหอบตื่นกลัว
แม่ของเธอเริ่มตั้งสติแล้วเล่าเหตุการณ์ที่น่ากลัวเมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา ในขณะที่เสียงกรีดร้องของหญิงสาวยังคงมีอย่างต่อเนื่อง
หลังจากล้างหน้าล้างตาแล้ว เธอดูสดชื่นขึ้นมาก เข้ามาร่วมวงทานข้าวกับครอบครัวที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว กับข้าววันนี้มีแต่ของที่เธอชอบทั้งนั้น อาหารมื้อนี้ถูกใจเป็นอย่างมาก เธอทานได้เยอะเป็นพิเศษ ทุกคนในครอบครัวพูดคุยกัน ยิ้มหัวเราะอย่างมีความสุข ในขณะที่แม่ของเธอนิ่งเงียบด้วยความกังวล ไม่พูดอะไรออกมา
ไม่มีใครรู้เลยว่า ไม่ว่าจะเป็นข้าวที่เธอกำลังทานอยู่ น้ำดื่มที่วางอยู่ด้านข้าง ล้วนแล้วแต่เป็นของผมได้มาจากที่บ้านของอาทั้งสิ้น
เธอดูเป็นปกติมากเมื่อเทียบกับช่วงหลังที่ได้กลับมาที่บ้าน วันนี้ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า แม้แต่แฟนของเธอที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ยังพลอยมีความสุขไปด้วย เธอทานข้าวเป็นจานที่สอง พลางยกน้ำเย็นในขันที่แม่เตรียมเอาไว้ให้ดื่ม จนเวลาผ่านไปอีกสักพัก เธอเริ่มเงียบลง ไม่ยิ้มสนุกสนานอีกต่อไป การพูดจาเริ่มผิดปกติ แสดงอารมณ์หงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ พูดจาไปเรื่อยไม่ยอมหยุด บางคำฟังไม่รู้เรื่อง ถึงตอนนี้ทุกคนเริ่มงงว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องราวในอดีตที่เคยขัดแย้งกันในครอบครัวถูกหยิบยกขึ้นมาพูด ต่อว่าด่าทอคนในครอบครัวอย่างรุนแรง
ทุกอย่างรอบข้างตกอยู่ในความนิ่งเงียบ มีเพียงเสียงจากคำพูดของเธอที่ก้าวร้าว หยาบคาย ต่อว่าคนในครอบครัวที่นั่งอยู่ ทุกคนตกตะลึงกับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปในทันทีทันใดของเธอจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองหน้ากันไปมา แม่ของเธอนิ่งเงียบตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ดวงตาของเธอเกรี้ยวกราด เป็นไปอย่างที่ผมบอกเอาไว้ทุกอย่าง
ดวงตาสีดำ กลมโต ไร้ซึ่งแววตา มองหน้าด่าทอทุกคน เธอลุกขึ้นยืนจนแทบจะเหยียบกับข้าว พลางชี้นิ้วไปที่พ่อของเธอ พูดถึงเรื่องราวที่ขัดแย้งในอดีต เรื่องนี้ทุกคนในครอบครัวรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น เธอเคยทะเลาะกับพ่ออย่างรุนแรง จนหนีออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น และไม่พูดคุยกันเป็นเวลานานหลายเดือน ตอนนี้เรื่องเก่าได้ถูกขุดขึ้นมาพูดอีกครั้ง เธอระบายความรู้สึกในใจออกมาจนหมดสิ้น ด้วยความโกรธแค้นขุ่นเคืองราวกับว่าเรื่องนี้เพิ่งจะเกิดขึ้น ทั้งที่เหตุการณ์ได้ล่วงเลยมาหลายปี จนทุกคนแทบจะลืมเลือนไปหมดแล้ว
ตอนนี้ทุกคนยืนขึ้น น้องชายของเธอพยายามเข้าไปห้ามปราม ดึงมือของเธอที่ยืนชี้หน้าด่าพ่อของตัวเอง เธอสะบัดเหวี่ยงน้องชายจนเซไปด้านข้าง ตอนนี้เธอเริ่มหันมาด่าทอแฟนของเธอแล้ว จนในที่สุดก็เกิดการทะเลาะกันอย่างรุนแรง
เพียะ!
เสียงดังที่เกิดขึ้น ทำให้ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
แฟนของเธอใช้มือตบไปที่ใบหน้าของเธออย่างรุนแรง เธอจ้องมองมาที่แฟนอย่างโกรธแค้น จากนั้นก็วิ่งกลับเข้าไปในห้องนอน ปิดประตูเสียงดัง ทุกคนกลับมามีสติอีกครั้ง ต่างไม่พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น พ่อของเธอไม่พูดอะไรทั้งสิ้น หันหลังเดินกลับเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง โดยไม่มีใครรู้ได้เลยว่า พ่อของเธอกำลังคิดอะไรอยู่
ทุกอย่างกลับเข้าสู่ความเงียบสงบได้ไม่นาน ทุกคนก็ต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวน ดังมาจากห้องของเธอ
“กรี๊ดๆๆ กรี๊ดๆๆ”
ดังขึ้นเป็นพักๆ เงียบเสียงได้ไม่นาน ก็กรีดร้องดังขึ้นมาอีก
ผมไม่แน่ใจว่า อาการคลุ้มคลั่งของเธอเกิดจากการทานของที่ปลุกเสกเข้าไป หรือเป็นเพราะอิทธิพลของวันพระใหญ่อย่างที่อาบอกกันแน่ แต่อาการของเธอในครั้งนี้รุนแรงกว่าที่ผมเจอเมื่อคราวก่อนมากนัก
“เราจะทำยังไงดี”
เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ เพราะตัวผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องทำยังไง ภาวนาขออย่าให้มีอะไรรุนแรงเกิดขึ้นมากไปกว่านี้เลย ผมบอกแม่ของเธอไปว่า เราคงได้แต่ภาวนาเท่านั้น
เสียงกรีดร้องดังตลอดทั้งคืน และเงียบไปตอนไหนไม่มีใครรู้
ไม่เพียงคนในครอบครัวของเธอเท่านั้นที่หวาดผวา บ้านเรือนที่อยู่โดยรอบซึ่งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็พลอยต้องหวาดผวากับเสียงกรีดร้องของหญิงสาวไปด้วย
หลังจากเหตุการณ์คืนนั้น แม่ของเธอเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่า เธอโดนมนตร์ดำอย่างแน่นอน แววตาของเธอน่ากลัวมาก เป็นไปอย่างที่ผมบอกเอาไว้ทุกอย่าง แม่ของเธอยังบอกอีกว่า เลี้ยงเธอมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้บางครั้งจะดื้อมากขนาดไหน แต่ก็ไม่เคยแสดงอาการก้าวร้าวกับพ่อแม่แบบนี้เลย อาการของเธอเหมือนถูกผีเข้าสิงยังไงยังงั้น และยังเชื่ออีกว่า ทุกอย่างน่าจะมาจากอิทธิพลของวันพระใหญ่ แม่ของเธอเริ่มวิตกกังวลเป็นห่วงเธอมากขึ้น ขอร้องผมว่าทำอย่างไรก็ได้ให้เธอหายเป็นปกติโดยเร็วที่สุด
แม่เป็นห่วงกลัวว่าเธอจะเป็นบ้า
ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย เพราะมีหลายคนที่โดนมนตร์ดำ จนสุดท้ายต้องจบลงด้วยอาการทางจิตประสาท
ผมนึกถึงเสี่ยเจ้าของบริษัทค้าส่งเบียร์ ที่ไม่เคยมีใครได้เจออีกเลย หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายอันเกิดจากสาวทอม ที่ต่างก็พูดกันว่าต้องเข้ารับการรักษาอาการทางจิตประสาท
อาการทางจิตประสาท... ใช่!
เธอกำลังจะเป็นบ้า!
by พรนับพัน
ขอขอบคุณทุกท่านสำหรับการติดตามครับ
หนังสือ บันทึกลับ เมื่อแฟนผม... ต้องมนตร์ดำ
โดย พรนับพัน
สำนักพิมพ์คุณหนูชูใจ
เปิดให้พรีออเดอร์แล้วนะครับ หนังสือไม่มีวางจำหน่ายตามร้านหนังสือทั่วไป
บันทึกลับ เมื่อแฟนผม... ต้องมนตร์ดำ
เป็นบันทึกเรื่องราวน่าพิศวงที่เกิดขึ้นจริง ในช่วงระยะเวลาเริ่มต้นและจบลงภายในเวลาหนึ่งปี เรื่องราวไม่น่าเชื่อหลายๆ เรื่องเกิดขึ้นตลอดเวลา เชื่อมโยงอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้เข้ากับคำว่า “มนตร์ดำ” อย่างลงตัว เป็นช่วงเวลาหนึ่งปีที่ทั้งสุขและทุกข์ทนไปพร้อมกัน และเรื่องราวทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ในความทรงจำตลอดไป สำหรับบุคคลต่างๆ ผมต้องขอสงวนชื่อเอาไว้ทั้งหมด เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด