JJNY : พท.ดันรบ.สร้างงานให้ปชช./ปิยบุตรชี้ลอว์แฟร์กำจัดศัตรูการเมือง/ประวิตรตอบซื้อเรือดำน้ำ/วิษณุไม่วิจารณ์หนังสือกมธ.

เพื่อไทย กดดันรัฐบาลสร้างงานให้ปชช. หยุดวิธีเดิม ก่อนคนจะอดตาย
https://www.matichon.co.th/politics/news_1757721
 
เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์การจ้างงาน ปัญหากำลังซื้อของประชาชน และแนวทางการลงทุนภาครัฐช่วงเศรษฐกิจขาลงว่า 

ปัญหาปัจจุบันเหมือนห่วงโซ่ ประชาชนขาดกำลังซื้อ ภาคเอกชนจึงไม่ลงทุน เพราะลงทุนไปก็ไม่มีคนซื้อ เมื่อเอกชนไม่ลงทุน ก็ไม่เกิดการจ้างงาน ประชาชนก็ยิ่งไม่มีงานทำ ยิ่งไม่มีกำลังซื้อหนักเข้าไปอีก เป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อยๆ
 
นายเผ่าภูมิ กล่าวต่อว่า ถามว่าแก้วงจรนี้อย่างไร จะหวังให้เอกชนลงทุนในภาวะแบบนี้ก็คงยาก การลงทุนภาครัฐจึงต้องเป็นคำตอบในการสร้างงานให้ประชาชนในระยะเริ่มแรก แต่การลงทุนภาครัฐอย่างที่ทำๆ กันมา มันยังไม่เหมาะสมกับสภาวการณ์ ต้องมาคิดกันใหม่
 
ปัจจุบันการลงทุนภาครัฐ ส่วนมากเป็นเมกะโปรเจกต์ ทุนใหญ่ไม่กี่บริษัทที่ได้รับประโยชน์ ห่วงโซ่การผลิตจึงแคบมาก การจ้างงานจึงเกิดในวงแคบ ประชาชนเลยรู้สึกว่าไม่มีงานทำ ผลต่อระบบเศรษฐกิจเกิดขึ้นช้า กว่าเม็ดเงินจะเข้าสู่ระบบใช้เวลา 1-2 ปี เป็นอย่างน้อย
 
ในสภาวะเช่นนี้ เราต้องการ “ความรวดเร็ว” ของเม็ดเงินพุ่งสู่มือประชาชนผ่านการจ้างงาน เราต้องการเห็นผู้ได้รับประโยชน์จากการลงทุนภาครัฐให้มากรายที่สุด รัฐบาลควรขับเคลื่อนด้วย “การลงทุนภาครัฐขนาดเล็ก แต่มากโครงการ” แทนโครงการขนาดใหญ่ไม่กี่โครงการ ซอยผู้ได้ประโยชน์ให้แก่บริษัทให้มากรายที่สุด สร้างห่วงโซ่การผลิตที่กว้างขึ้น.. SMEs อุตสาหกรรมกลางน้ำจะเกิดขึ้นเป็นทวีคูณ และจะเกิด “การจ้างงานในวงกว้างและทั่วถึงให้กับประชาชน” เกิดกำลังซื้อขึ้นรวดเร็ว และเงินเข้าสู่ระบบเร็วกว่า
 
นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า การลงทุนภาครัฐเป็นเครื่องสำคัญ แต่ต้องใช้ให้เหมาะกับสภาวการณ์ ซึ่งถ้ารัฐบาลยังคงทำแบบเดิมอยู่ สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปคือ กำลังซื้อจะไม่ฟื้น ประชาชนอดตายก่อน ภาคเอกชนรายเล็กอดตายตาม และในที่สุดภาคเอกชนขนาดใหญ่ก็จะไม่รอด ถ้าถึงขั้นนั้นแล้ว ก็พยุงเศรษฐกิจจะยิ่งยากเป็นทวีคูณ
 


“ปิยบุตร” ชี้ลอว์แฟร์ กระบวนการยุติธรรม ใช้กำจัดศัตรูการเมือง
https://news.thaipbs.or.th/content/286188

เลขาฯ พรรคอนาคตใหม่ บรรยายกลไกทำงานเกี่ยวกับลอว์แฟร์ หรือการใช้กระบวนการทางยุติธรรมเป็นเครื่องมือกำจัดศัตรูทางการเมือง โดยเชื่อว่าลอว์แฟร์ไม่สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองได้ แต่จะทำลายระบบกฎหมายและความน่าเชื่อของประชาชน

วันนี้ (18 พ.ย. 2562) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ยูทูปของพรรคอนาคตใหม่เผยแพร่วิดีโอที่ รศ.ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ อธิบายถึงกระบวนการ “Lawfare” (ลอว์แฟร์) นิติสงคราม หรือ สงครามทางกฎหมาย ได้สรุปว่าหมายถึง การใช้กฎหมายหรือกระบวนการทางยุติธรรม หรือ ศาล เป็นเครื่องมือในการกำจัดศัตรูทางการเมือง ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์แหรือแนวโน้มของประเทศทั่วโลกกำลังใช้ในการเมือง

พร้อมระบุด้วยว่า ลอว์แฟร์มีกลไก 2 กลไกคือ กระบวนการทำให้ประเด็นทางการเมืองเป็นคดีไปอยู่ในมือของศาลโดยผ่านการร้องของผู้ร้อง และจากนั้นสื่อนำประเด็นคดีการเมืองที่อยู่ศาลนั้นมาเผยแพร่แบบซ้ำ ๆ ที่มีการชี้นำ พร้อมยกเคสคดีการเมืองตั้งข้อหา ทรยศชาติ แบ่งแยกดินแดน เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศ เป็นกบฎชุมนุมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย คอร์รัปชัน รับเงินผิดประเภท ดูหมิ่นศาล ดูหมิ่นศาสนา ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ และผลลัพธ์ออกมาคือการกำจัดศัตรูทางการเมืองได้โดยไม่ต้องใช้อาวุธยุทธปกรณ์ โดยทหารไม่ต้องออกมาหรือไม่ต้องชนะเลือกตั้ง

รศ.ปิยบุตร ยังระบุด้วยว่า หากกระบวนการลอว์แฟร์เดินหน้าสำเร็จ ต่อไปนี้ข้อหากล่าวหาคอร์รัปชัน จะเป็นเครื่องมือกำจัดศัตรูทางการเมือง และสุดท้ายคนที่ดำเนินการลอว์แฟร์ไม่มีใครสนใจผลลัพธ์ที่ว่า จะมีคอร์รัปชัน หรือประเทศจะเสียดินแดนจริงหรือไม่ แต่ผลที่สนใจคือการตัดสิทธินักการเมือง ให้คนออกไปจากสนามการเมือง ยึดทรัพย์นักการเมืองไม่ได้ผุดได้เกิด ให้ลงสมัครรับเลือกตั้งอีกไม่ได้ คือ ผลข้างเคียงที่ต้องการมากกว่าการกำจัดการคอร์รัปชัน

พร้อมอ้างอิงว่า พระสันตปาปาองค์ปัจจุบันเคยกล่าวไว้ว่า ควรหยุดลอว์แฟร์ได้แล้ว เพราะลอว์แฟร์ทำลายระบบกฎหมาย ทำลายความเชื่อถือที่ประชาชนมีต่อศาล ทำลายประชาธิปไตย และไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองได้ และตรงกันข้ามเมื่อใช้ลอว์แฟร์มากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองร้าวลึกถูกตอกลิ่มเยอะขึ้น

และระบุว่า ศาลทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ หรือ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้ง ที่ได้สถาปนาความศักดิ์สิทธิ์แก่ศาลฯ ด้วยเห็นว่าเป็นความเชื่อที่ฝังในความคิดกันมาว่า ศาลเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางและอิสระ ไม่ฝักใฝ่ทางการเมือง แต่ว่าแม้ศาลฯไม่ได้สังกัดพรรคการเมือง นักการเมือง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้พิพากษาแต่ละคนที่อยู่ในบังลังก์ตัดสินคดีล้วนมีจิตสำนึกที่เป็นตัวของตัวเองที่ต้องมีความคิดความเชื่อส่วนบุคคล และมีอุดมการณ์ตามที่สังกัดอยู่
ซึ่งเห็นว่าทุกประเด็นทางการเมืองไม่จำเป็นต้องจบหรือสิ้นสุดที่องค์กรศาลเสมอไป ด้วยเชื่อว่ากระบวนทางประชาธิปไตยสามารถขจัดปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองได้ด้วยตัวของมันเอง 

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่