ความเชื่อในโลก(สืบต่อ สภาวธรรม3 สุดโต่ง2 ภพ3 พรหมโลก นิพพาน)
1.รูปละเอียด นาม เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณโลภ โกรธ หลง ในภพ3(นึกคิด)
ของตน คนอื่น อาศัย รูปหยาบ ร่างกายวัตถุธาตุ วัตถุกาม ตัวตน(พูดทำเขี้ยงชีพ)
นามความเห็นคิดเพียรสติสมาธิ-รูปพูดทำเลี้ยงชีพ
(1)โลภรัก ชอบพอใจติดใจ ยินดี(ปีติ) สุขสบายนามจิต-รูปใจ บุญ
(2)โกรธเกลียด ไม่ยินดี(ริษยา ตระหนี่ คิดร้าย) หลงห่วงกังวลกลัวเหงาหดหู่ซึมเศร้าใจ
ไม่ชอบขัดใจ ติดใจ ทุกข์โกรธ หลงลำบากนามจิต-รูปใจ บาป
เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ ชรา-มรณะ พร้อมสืบต่อ
(เจตสิกอกุศล14 อนุโลม12 อุปาทานขันธ์ สังโยชน์5 สังสารวัฏ หมุนตามวัฏสงสาร)
คือ ความรู้ ความรู้สึกอารมณ์ ความเชื่อความเห็น นิสัยสันดาน
เกิดตามปัญญา วิชชา สัญญา สัญชาตญาณของตน คนอื่น(อวิชชา)
2.รูปละเอียด รูปอรูปฌาน (ญาณหยั่งรุ้พรหมโลก)
ละ สงบ ดับวิญญาณโลภ โกรธ หลง ในภพ3 ในช่วงเวลาหนึ่งๆ
เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ ชรา-มรณะ(ออกจากฌาน หมดญาณ พร้อมสืบต่อ
(เจตสิก13 ปะปนกับอกุศล14 และ กุศล25 สังโยชน์10
อุปาทานขันธ์ สังสารวัฏ หมุนตามวัฏสงสาร) หรือ
3.รูปหยาบ ดวงตานอก รูปละเอียด ดวงตาใน อรูปญาณ ปัญญา(วิชชาของพระพุทธเจ้า)
ทานละ ศีลสงบ ดับนามเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณโลภ โกรธ
หลงในภพ3 ของตน คนอื่น(เห็นคิดเพียรสติสมาธิชอบ)
อาศัย รูปหยาบ ร่างกายวัตถุธาตุ ละรูปวัตถุกามตัวตน
(พูดทำเลี้ยงชีพชอบตามทุกขอริยสัจ4 พุทธธรรม ปฏิโลม12)
เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ ชรา-มรณะ พร้อมสืบต่อ
(ขันติ กรุณา มุทิตา อุเบกขาญาณบารมี-ปัญญาญาณ)
สำนึกพร้อมตั้งจิต ให้อภัยทาน ให้อโหสิกรรมตน คนอื่น อนุโมทนา สาธุ
ในธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดง ยินดี(ปีติ) สุขบุญ จากการสงบนามจิต-รูปใจ กุศล
ได้ง่ายเร็วนานสืบไปถึงจิตสุดท้าย กุศลบารมี จนเกิดปัญญาญาณของพระพุทธเจ้า
(เจตสิกกุศล25 ปฏิโลม12 ทุกขอริยสัจ4 ทานละ ศีลสงบ ดับสังสารวัฏ
หมุนตามธรรมจักร ละวัฏสงสาร ให้ได้ง่ายเร็วนานสืบไปถึงจิตสุดท้าย)
ขออนุญาต แสดงรูปวัตถุกามตัวตน(ตามนามความรู้ ความเชื่อของตน) ที่คิดว่าดีชอบตามพุทธธรรม
หากไม่ดีไม่ชอบ กราบขอโทษ ขอขมา ขออภัยทาน ขออโหสิกรรม เพื่อไม่สืบต่อมโน-กายกรรม
ที่ดีสุขบุญ-ไม่ดีทุกข์โกรธหลงบาปต่อกัน เพื่อมโน-กายกิริยา ทานละ ศีลสงบ กุศล25 ดับวัฏสงสาร
ความเชื่อในโลก(สืบต่อ ภพ3 พรหมโลก นิพพาน)
1.รูปละเอียด นาม เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณโลภ โกรธ หลง ในภพ3(นึกคิด)
ของตน คนอื่น อาศัย รูปหยาบ ร่างกายวัตถุธาตุ วัตถุกาม ตัวตน(พูดทำเขี้ยงชีพ)
นามความเห็นคิดเพียรสติสมาธิ-รูปพูดทำเลี้ยงชีพ
(1)โลภรัก ชอบพอใจติดใจ ยินดี(ปีติ) สุขสบายนามจิต-รูปใจ บุญ
(2)โกรธเกลียด ไม่ยินดี(ริษยา ตระหนี่ คิดร้าย) หลงห่วงกังวลกลัวเหงาหดหู่ซึมเศร้าใจ
ไม่ชอบขัดใจ ติดใจ ทุกข์โกรธ หลงลำบากนามจิต-รูปใจ บาป
เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ ชรา-มรณะ พร้อมสืบต่อ
(เจตสิกอกุศล14 อนุโลม12 อุปาทานขันธ์ สังโยชน์5 สังสารวัฏ หมุนตามวัฏสงสาร)
คือ ความรู้ ความรู้สึกอารมณ์ ความเชื่อความเห็น นิสัยสันดาน
เกิดตามปัญญา วิชชา สัญญา สัญชาตญาณของตน คนอื่น(อวิชชา)
2.รูปละเอียด รูปอรูปฌาน (ญาณหยั่งรุ้พรหมโลก)
ละ สงบ ดับวิญญาณโลภ โกรธ หลง ในภพ3 ในช่วงเวลาหนึ่งๆ
เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ ชรา-มรณะ(ออกจากฌาน หมดญาณ พร้อมสืบต่อ
(เจตสิก13 ปะปนกับอกุศล14 และ กุศล25 สังโยชน์10
อุปาทานขันธ์ สังสารวัฏ หมุนตามวัฏสงสาร) หรือ
3.รูปหยาบ ดวงตานอก รูปละเอียด ดวงตาใน อรูปญาณ ปัญญา(วิชชาของพระพุทธเจ้า)
ทานละ ศีลสงบ ดับนามเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณโลภ โกรธ
หลงในภพ3 ของตน คนอื่น(เห็นคิดเพียรสติสมาธิชอบ)
อาศัย รูปหยาบ ร่างกายวัตถุธาตุ ละรูปวัตถุกามตัวตน
(พูดทำเลี้ยงชีพชอบตามทุกขอริยสัจ4 พุทธธรรม ปฏิโลม12)
เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ ชรา-มรณะ พร้อมสืบต่อ
(ขันติ กรุณา มุทิตา อุเบกขาญาณบารมี-ปัญญาญาณ)
สำนึกพร้อมตั้งจิต ให้อภัยทาน ให้อโหสิกรรมตน คนอื่น อนุโมทนา สาธุ
ในธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดง ยินดี(ปีติ) สุขบุญ จากการสงบนามจิต-รูปใจ กุศล
ได้ง่ายเร็วนานสืบไปถึงจิตสุดท้าย กุศลบารมี จนเกิดปัญญาญาณของพระพุทธเจ้า
(เจตสิกกุศล25 ปฏิโลม12 ทุกขอริยสัจ4 ทานละ ศีลสงบ ดับสังสารวัฏ
หมุนตามธรรมจักร ละวัฏสงสาร ให้ได้ง่ายเร็วนานสืบไปถึงจิตสุดท้าย)
ขออนุญาต แสดงรูปวัตถุกามตัวตน(ตามนามความรู้ ความเชื่อของตน) ที่คิดว่าดีชอบตามพุทธธรรม
หากไม่ดีไม่ชอบ กราบขอโทษ ขอขมา ขออภัยทาน ขออโหสิกรรม เพื่อไม่สืบต่อมโน-กายกรรม
ที่ดีสุขบุญ-ไม่ดีทุกข์โกรธหลงบาปต่อกัน เพื่อมโน-กายกิริยา ทานละ ศีลสงบ กุศล25 ดับวัฏสงสาร