กฏไตรลักษณ์ กฏภพ3 กฏของจอมเทพ ผู้เป็นใหญ่ในภพ3(สวรรค์ชั้น6)
อวตารในรูปมาร ทดสอบจิตพระพุทธเจ้าก่อนบรรลุธรรม(ก่อนหลุดพ้นจากภพ3 สังสารวัฏ)
1.ไม่เที่ยง
สภาวะธรรม3 จิต89 เจตสิก52 อาศัยไม่อาศัยผัสสะ สฬายตนะ
(เจตสิก52 นึกคิดปรุงแต่ง ไม่ปรุงแต่งจิต89 +ปรุงแต่งใจ28 ร่างกาย วัตถุธาตุ กาม ตัวตน พูดทำ)
1.1.อกุศล14 สังโยชน์5 วิญญาณในภพ3 เวทนา สัญญา สังขาร สัญชาตญาณ +พูดทำ
ชอบพอใจติดใจบุญ ไม่ชอบไม่พอใจขัดใจบาป(ไม่แน่ใจลังเล หดหู่ซึมเศร้า ทุกข์) เฉยๆ เกิดดับสลับเกิดอีก สังสารวัฏ
1.2.กุศล13(อกุศล13 สังโยชน์6-10) ฌานรูปพรหม ญาณอรูปพรหม +ไม่ได้พูดทำ อยู่ในสมาธิฌาน
1.3.กุศล25 ละสังโยชน์10 วิชชา ดวงตา ปัญญาญาณของพระพุทธเจ้า +พูดทำชอบ ละสังสารวัฏ
*ทาน เลือกรับให้ ละ วาง ไม่พัวพันในสภาวะธรรม2 ศีล เลือรักษเก็บ ตั้งจิตมั่น ในสภาวะธรรม1 ตามความเชื่อ ความสะดวงเฉพาะตน*
2.เป็นทุกข์
สุขบุญ โกรธบาป(ลัเลหดหู่ซึมเศร้า ทุกข์) เฉนๆ เกิดเสื่อมดับสลับเกิดอีก +พูดทำ
ชอบ โลภบุญ ไม่ชอบ โกรธบาป หลงลังเลสับสน หดหู่ซึมเศร้า(ทุกข์) เฉยๆ สืบต่อเกิดเจริญเสื่อมดับในภพ3 สังสารวัฏ
3.ไม่มีตัวตนแท้จริง เริ่มจาก
0.สงบ เหมือนไม่มีอยู่ กุศลจิต(พรหมโลก นิพพาน) สืบต่อ ภพ3
1.เกิดเจริญในรูปกายต่างๆ 2.เพื่อถูกทำให้เสื่อมแก่เจ็บดับ สืบต่อ 1.เพื่อเกิดเจริญขั้นใหม่ในรูปกายต่างๆ
ชรา-มรรณะ เกิดพร้อมสืบต่อ การถูกทำให้เสื่อมแก่เจ็บตาย รวมถึงการถูกเบียเบียนทำร้ายทำลาย
จากธรรมชาติ โรคภัย จิตตัวเอง จิตคนอื่น เป็นปกติธรรมดา เพื่อสืบต่อ สภาวะธรรม3 ภพ3 (พรหมโลก นิพพาน)
พิจารณาตรึกตรองอริยสัจ4 เปรียบเทียบตามเห็นนานจิต89 เจตสิก52 ในนอก +ใจ ร่างกาย28 วัตถุ กาม พูดทำของตน คนอื่น
ระลึกตั้งจิตวางเฉยสงบ ปลงจิตทำใจที่เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ คือ เกิดชรา-มรณะสืบต่อ +สงบใจ พูดทำเลี้ยงชีพชอบ
เพียรให้ทาน ให้อภัยทาน อโหสิกรรม ให้ตน คนอื่น(เมตตา) ยินดีปิติบุญ(อนุโมทนา มุทิตา) สงบกุศล (ตั้งจิตในอุเบกขาญาณ)
รักษาศีลจิตให้สงบง่ายเร็ว ให้ถึงจิตสุดท้าย(วิชชา ดวงตา ปัญญา เมตตา มุทิตา อุเบกขาญาณบารมี ตามพระพุทธธรรม)
*จิตปรุงแต่งพุทธธรรม ตามความเข้าใจเฉพาะตน ขออภัยทาน อโหสิกรรม ในความไม่ถูกต้อง ตามพุทธธรรม ที่สืบต่อกันมาภายใต้กฎไตรลักษณ์*
สภาวะธรรม3 เกิดเสื่อมดับ เกิดอีก ตามกฎไตรลักษณ์
อวตารในรูปมาร ทดสอบจิตพระพุทธเจ้าก่อนบรรลุธรรม(ก่อนหลุดพ้นจากภพ3 สังสารวัฏ)
1.ไม่เที่ยง
สภาวะธรรม3 จิต89 เจตสิก52 อาศัยไม่อาศัยผัสสะ สฬายตนะ
(เจตสิก52 นึกคิดปรุงแต่ง ไม่ปรุงแต่งจิต89 +ปรุงแต่งใจ28 ร่างกาย วัตถุธาตุ กาม ตัวตน พูดทำ)
1.1.อกุศล14 สังโยชน์5 วิญญาณในภพ3 เวทนา สัญญา สังขาร สัญชาตญาณ +พูดทำ
ชอบพอใจติดใจบุญ ไม่ชอบไม่พอใจขัดใจบาป(ไม่แน่ใจลังเล หดหู่ซึมเศร้า ทุกข์) เฉยๆ เกิดดับสลับเกิดอีก สังสารวัฏ
1.2.กุศล13(อกุศล13 สังโยชน์6-10) ฌานรูปพรหม ญาณอรูปพรหม +ไม่ได้พูดทำ อยู่ในสมาธิฌาน
1.3.กุศล25 ละสังโยชน์10 วิชชา ดวงตา ปัญญาญาณของพระพุทธเจ้า +พูดทำชอบ ละสังสารวัฏ
*ทาน เลือกรับให้ ละ วาง ไม่พัวพันในสภาวะธรรม2 ศีล เลือรักษเก็บ ตั้งจิตมั่น ในสภาวะธรรม1 ตามความเชื่อ ความสะดวงเฉพาะตน*
2.เป็นทุกข์
สุขบุญ โกรธบาป(ลัเลหดหู่ซึมเศร้า ทุกข์) เฉนๆ เกิดเสื่อมดับสลับเกิดอีก +พูดทำ
ชอบ โลภบุญ ไม่ชอบ โกรธบาป หลงลังเลสับสน หดหู่ซึมเศร้า(ทุกข์) เฉยๆ สืบต่อเกิดเจริญเสื่อมดับในภพ3 สังสารวัฏ
3.ไม่มีตัวตนแท้จริง เริ่มจาก
0.สงบ เหมือนไม่มีอยู่ กุศลจิต(พรหมโลก นิพพาน) สืบต่อ ภพ3
1.เกิดเจริญในรูปกายต่างๆ 2.เพื่อถูกทำให้เสื่อมแก่เจ็บดับ สืบต่อ 1.เพื่อเกิดเจริญขั้นใหม่ในรูปกายต่างๆ
ชรา-มรรณะ เกิดพร้อมสืบต่อ การถูกทำให้เสื่อมแก่เจ็บตาย รวมถึงการถูกเบียเบียนทำร้ายทำลาย
จากธรรมชาติ โรคภัย จิตตัวเอง จิตคนอื่น เป็นปกติธรรมดา เพื่อสืบต่อ สภาวะธรรม3 ภพ3 (พรหมโลก นิพพาน)
พิจารณาตรึกตรองอริยสัจ4 เปรียบเทียบตามเห็นนานจิต89 เจตสิก52 ในนอก +ใจ ร่างกาย28 วัตถุ กาม พูดทำของตน คนอื่น
ระลึกตั้งจิตวางเฉยสงบ ปลงจิตทำใจที่เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ คือ เกิดชรา-มรณะสืบต่อ +สงบใจ พูดทำเลี้ยงชีพชอบ
เพียรให้ทาน ให้อภัยทาน อโหสิกรรม ให้ตน คนอื่น(เมตตา) ยินดีปิติบุญ(อนุโมทนา มุทิตา) สงบกุศล (ตั้งจิตในอุเบกขาญาณ)
รักษาศีลจิตให้สงบง่ายเร็ว ให้ถึงจิตสุดท้าย(วิชชา ดวงตา ปัญญา เมตตา มุทิตา อุเบกขาญาณบารมี ตามพระพุทธธรรม)
*จิตปรุงแต่งพุทธธรรม ตามความเข้าใจเฉพาะตน ขออภัยทาน อโหสิกรรม ในความไม่ถูกต้อง ตามพุทธธรรม ที่สืบต่อกันมาภายใต้กฎไตรลักษณ์*