ตอนที่ 7 จุดเปลี่ยนของชีวิต
จบการประชุมแบบสายฟ้าแลบ หนุ่มสาวทั้งสามกำลังเดินลงบันไดเพื่อไปยังแผนกของตนเอง ความเงียบทำให้แพทย์หญิงดาวิกานึกอะไรออกมา
“ดูจากรายชื่อแล้วก็มีแต่พวกเรานะคะ” ส่งสายตามองยังสองหนุ่มที่หล่อคนแบบแต่ที่ครองใจเธอมีอยู่หนุ่มเดียวและฟังจากคำพูดนั้นแล้วมันน่าโมโหนัก
“ใช่ แต่พี่ไม่เข้าใจว่าทำไมหมอดาถึงอยากไป” นายแพทย์คิมหันต์ถามน้ำเสียงสงสัย ไม่เข้าใจว่าแพทย์หญิงผู้มีทุกอย่างพร้อมจะทนไปลำบากที่นั่นทำไม
“ก็...ไปหาประสบการณ์ไงคะ รุ่นพี่จะสงสัยทำไม แล้วหมอรัฐล่ะคะ ทำไมถึงอยากไป” ตอบเสร็จก็เบี่ยงเบนมาหารุ่นพี่อีกคน แต่คนตอบกลับไม่ใช่นายแพทย์สหรัฐยังคงเป็นคนกวนโมโหเจ้าเดิม
“ไม่ใช่เรื่องของเราที่ต้องรู้”
“แล้วรุ่นพี่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนทำไมคะ เอ๊ะ...หรือว่าที่หมอรัฐไปเป็นเพราะรุ่นพี่คะ ไม่จริงใช่ไหม หมอรัฐกับรุ่นพี่...โอ๊ย อยากจะบ้าตาย”
นายแพทย์ทั้งสองมองสบตากันอย่างมึนงง ท่าทีโวยวายเกินกว่าจะเข้าใจ ยิ่งคนพูดเดินจากไปโดยไม่เคลียร์แบบนี้ก็ยิ่งสับสน
“ท่าจะอาการหนัก” หมอรัฐว่า แพทย์คิมหันต์พยักหน้าเห็นด้วยเปรยออกมา
“ช่างนางเถอะ” ก่อนจะวกมาเรื่องของเพื่อนหนุ่ม
“ว่าแต่ไม่เสียใจใช่ไหมที่ตัดสินใจทำแบบนั้น”
นายแพทย์สหรัฐชะงักเท้า มือจับราวบันไดไว้นิ่ง ใบหน้าคมนิ่งงันนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ความผิดพลาดในอดีตย้ำเตือนให้เขาต้องหาทางแก้ไข เมื่อโอกาสมาถึงแล้วก็ไม่ควรปล่อยจึงรีบส่ายหน้าไปมา
“คิดว่าไม่ ครั้งหนึ่งเคยทำพลาดครั้งนี้จึงคิดว่าตัดสินใจถูกต้องแล้ว”
เป็นคำตอบที่เข้าใจง่าย นายแพทย์คิมหันต์พยักหน้ายิ้ม มือหนึ่งยกขึ้นพาดไหล่กว้างของเพื่อน เอ่ยปลอบใจทางอ้อม
“ถ้าคิดว่ามันดีก็เดินหน้าต่อไป เอาใจช่วยนะ แม้จะช่วยอะไรได้ไม่มากแต่ก็เชียร์เต็มที่”
“ขอบใจ” สองหนุ่มส่งยิ้มให้กัน
ขณะที่แพทย์หญิงดาวิกากำลังหมดอาลัยตายอยาก พร่ำเพ้อถึงความสัมพันธ์อันแน่นเฟ้นของหมอหนุ่มทั้งสองด้วยหัวใจที่แตกสลายเพราะคิดว่านายแพทย์สหรัฐกับนายแพทย์คิมหันต์กำลังชอบพอกันและหากสิ่งที่คิดเป็นเรื่องจริงก็นับว่านายแพทย์สหรัฐเป็นคู่แข็งที่น่ากลัวคนหนึ่ง แต่ให้ตายเถอะ แข่งกับใครไม่แข่งดันเป็นผู้ชายทั้งแท่งและหล่อมากด้วย
“อยากจะบ้าตายจริงๆ เลย” เธอเปล่งเสียงออกมาอย่างสุดกลั้นแทบสะดุ้งที่มีคนทักมา
“เป็นอะไรไปหรือคะ คุณหมอดา”
ไม่นานสองสาวก็พากันมาหาที่นั่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวอร์ด ICU Sung เป็นที่นั่งไว้สำหรับญาติที่มาเยี่ยมคนป่วยแต่เพราะช่วงนี้เป็นเวลางดเยี่ยม พื้นที่ตรงนี้เลยว่างและเหมาะแก่การนั่งคุยกัน
“ดีใจจริงๆ ที่เราได้เป็นทีมเดียวกัน” แพทย์หญิงดาวิกาเป็นคนเอ่ย สีหน้าดีกว่าเมื่อครู่เมื่อได้ดื่มน้ำเย็นๆ ที่พยาบาลสาวเอามาให้
“เมื่อกี้ไปโกรธใครมาหรือคะ ท่าทางเหมือนไม่พอใจเอามากๆ”
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ บ่นไปเรื่อยน่ะ ว่าแต่ทำไมถึงตัดสินใจไปที่นั่นละคะ” เอ่ยจบก็เปรยกับตัวเอง
“นี่ฉันจะถามทุกคนเลยเหรอเนี่ย” ลอบมองอีกฝ่ายแล้วยิ้มอ่อนๆ
“แต่ก็...อยากรู้นะคะว่าทำไมคุณพยาบาลชลลิสาถึงลงชื่อไปที่นั่นด้วย”
“ฉันคง...อยากที่จะไปหาประสบการณ์เหมือนคุณหมอดาบ้างมั้งค่ะ” ชลลิสาตอบเสียงอ่อน ความจริงแล้วเธอเป็นคนที่เก็บความรู้สึกได้ดีทีเดียวแต่ก็ไม่อาจแน่ใจได้เลยว่าต่อจากนี้ไป ความเชื่อมั่นที่เคยมีมาจะยังคงมีอยู่อีกหรือไม่
“ความจริงแล้วฉันไม่ได้ไปเพราะเหตุผลนั้นหรอกค่ะ แต่ที่ไปเพราะใครคนหนึ่งไปต่างหาก” แพทย์หญิงดาวิกาหลุดปากออกมาถึงกับหน้าเหวอเมื่อถูกอีกฝ่ายถาม
“หมอเคนหรือคะ”
“อุ้ยไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่หมอเคน” คำปฏิเสธเสียงแข็งทำให้พยาบาลสาวเข้าใจอีกทางว่าที่แพทย์หญิงตัดสินใจไปที่นั่นเป็นเพราะนายแพทย์สหรัฐยิ่งทำให้รู้สึกแย่เข้าไปอีก
จากจุดเริ่มต้นถึงปลายทางก็ใช้เวลาไม่นาน แต่ที่ต้องรอเกือบๆ ชั่วโมงเป็นเพราะไม่รู้ว่าจะไปต่อยังไง ถ้าตอนนั้นลดทิฐิและไม่โกรธกับการตัดสินใจของผอ.ก็คงจะพอให้จัดการเรื่องการเดินทางไปยังที่พักได้แต่นี่ ยังคิดไม่ตกเลยว่าจะเริ่มต้นแผนการเดินทางต่อไปยังไงดี
มือเล็กลากกระเป๋าเดินทางกำลังจะลงไปเรียกรถโดยสารอยู่แล้วแต่สายตาดันไปเห็นข้อความหนึ่ง อ่านจากชื่อและที่มาก็ทำให้คิดเข้าข้างตัวเองว่าคนที่กำลังชูป้ายยืนอยู่ตรงนั้นน่าจะมารับเธอ
“เออ...ขอโทษนะคะ คือว่าชื่อหมอที่อยู่ในป้ายนั้นนะคะ” เธอชี้ไปที่ป้ายพร้อมบอกว่าคือเธอ อีกฝ่ายส่งยิ้มกลับมา นั่นเป็นรอยยิ้มแรกจากคนสามจังหวัดที่เจอ
“สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับคุณหมอครับ”
ท่าทีเป็นมิตรทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย ยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตรเช่นกัน ลอบมองไปรอบๆ ไม่พบใครอื่นที่คิดว่าจะร่วมเดินทางไปกับเธอในครั้งนี้ด้วย
“เออ แล้วหมอคนอื่นๆ ล่ะคะ คือฉันหมายถึงว่าไม่มีหมอจากโรงพยาบาลอื่นมาด้วยเหรอคะ เท่าที่อ่านในเอกสารบอกว่ารัฐบาลขอหมอจากโรงพยาบาลเอกชนมาด้วย”
“ครับ แต่ทีมแพทย์อีกชุดจะมาถึงในวันพรุ่งนี้”
“อ๋อ ค่ะ” พยักหน้าอย่างรับทราบแล้วถามต่อ
“แล้วจากที่นี่จะเดินทางถึงพื้นที่พิเศษกี่ชั่วโมงคะ” เธอถามคนที่กำลังจะลากกระเป๋าเดินทางแต่ชะงักไว้เพราะคำถามของเธอ
“ก็...ราวๆ สองชั่วโมงครับ บวกลบเข้าปั้ม ทำธุระส่วนตัวแล้วก็...แวะกินข้าว”
“แบบนี้ก็ถึงเย็นนะสิ”
“ใช่ครับแต่ถ้าคุณหมอไม่รีบขึ้นรถตอนนี้ เราจะเสียเวลาไปอีกหลายนาทีแล้วอาจจะถึงมืดกว่านั้น อ้อ คงต้องเผื่อเวลาตอนที่รถถูกตะปูเรือใบหรือว่าสถานการณ์บางอย่าง”
“มีด้วยหรือคะ” ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนกกลับได้ยินเสียงหัวเราะตามมา
“คุณหมอนี่น่ารักจังเลยครับ ผมล้อเล่นน่า วันนี้เช็คกับแหล่งข่าวแล้วว่าสถานการณ์ปลอดภัยดีครับ” คนตอบยังคงอารมณ์ดี
“มีเช็คข่าวได้ด้วยเหรอคะ”
“คุณหมอนี่นอกจากจะน่ารักแล้วยังหลอกง่ายอีกด้วย” เขาว่าเสียงอ่อนแล้วเอ่ยต่อ
“ไปกันเถอะครับ ผมไม่อยากเสียเวลา อยากบอกว่าสิ่งที่คุณหมอคิดมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่คิด ส่วนเรื่องเมื่อกี้ที่ผมพูด ผมแค่อำคุณหมอเล่นครับ ไม่ต้องกลัวหรอก ที่นี่ยังมีพื้นที่ที่ปลอดภัยอีกเยอะ” เอ่ยจบก็เดินนำทางไปที่รถ
แพทย์หญิงสิริลักษณ์มองตาค้างไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องมาหลอกกันด้วย แถมคำพูดคำจาก็เชื่อถือไม่ได้เลย ผู้ชายแต่งตัวดี แถมหน้าตาดี กะหล่อนแบบนี้ทุกคนหรือเปล่า ยิ่งคิดก็ยิ่งคิดถึงผู้ชายที่ชื่อครรชิต มันน่าจะดีถ้าหากเขามาส่งเธอด้วยตัวเอง
“เชิญครับ”
เสียงนั้นทำลายความคิดของเธอเสียหมด แพทย์สาวมองคนที่มารับเธอกำลังเปิดประตูรถรอไว้แล้ว แปลกใจตรงที่รถมารับไม่ใช่รถที่มี Logo ของโรงพยาบาล
“ทำไมรถนี่ไม่ Logo ของโรงพยาบาลคะ...เอ๊ะ หรือว่า”
“คุณหมอนี่ขี้สงสัยจังเลยครับ รถนี่เป็นรถส่วนตัวของผมเองซึ่งรับรองได้ว่าผมไม่พาคุณหมอไปขายต่อแน่” คนพูดยังคงตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มผิดกับคนฟังที่เริ่มใจคอไม่ดีแต่ก็ไม่มีทางให้เลือกคิดว่าหน้าตาท่าทางแบบนี้คงไม่ใช่คนร้าย สุดท้ายจึงยอมไปกับเขาโดยดี
“นี่ฉันสามารถไว้ใจคุณได้ใช่ไหม”
“ก็ขึ้นมาแล้วนี่ครับ” เขาเอ่ยยิ้มๆ พร้อมกับสตาร์ทออกแล้วขับออกไปขณะที่แพทย์สาวยังไม่ค่อยสบายใจนัก ระหว่างนั้นก็กดเบอร์โทรหามารดา
‘ฮัลโหล แม่ ตอนนี้หนูกำลังจะไปที่พักแล้วนะคะ คงอีกประมาณสองชั่วโมงกว่าหนูจะโทรหาแม่อีก แม่โอเคใช่ไหม หนูรักแม่นะ’ เธอยิ้มน้อยๆ ก่อนจะวางสายแล้วต่อด้วยการโทรหาเพื่อนสาวต่อ
‘ฮัลโหล ขวัญ นี่ฉันกำลังจะไปที่พักแล้ว ที่นี่น่ากลัวชะมัด แม้แต่คนมารับก็ยังไม่น่าไว้ใจ พูดอะไรก็ไม่รู้ อัปมงคลทั้งนั้น ถ้าฉันเป็นอะไรไป ต้องดูแลแม่ฉันให้ดีๆ อย่าทิ้งขวางเพราะฉันทำประกันไว้เยอะมาก ถ้าเธอดูแลแม่ฉันดีก็เอาเงินประกันไปใช้ได้เลยแต่ถ้าเธอทิ้งขว้างแม่ ฉันจะเป็นผีมาหลอกหักคอเธอ ฮัลโหล ฮัลโหล ยัยขวัญ นี่กล้าตัดสายฉันเลยหรอ ยัยเพื่อนบ้า’ เธอโวยวายใหญ่โตโดยลืมไปว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่คนเดียวแล้วเสียงหัวเราะนั่นก็ทำให้รู้ว่าพลาดแล้ว
50 %
นิยาย...emergency love วิกฤตรักฉบับฉุกเฉิน ตอนที่ 7
จบการประชุมแบบสายฟ้าแลบ หนุ่มสาวทั้งสามกำลังเดินลงบันไดเพื่อไปยังแผนกของตนเอง ความเงียบทำให้แพทย์หญิงดาวิกานึกอะไรออกมา
“ดูจากรายชื่อแล้วก็มีแต่พวกเรานะคะ” ส่งสายตามองยังสองหนุ่มที่หล่อคนแบบแต่ที่ครองใจเธอมีอยู่หนุ่มเดียวและฟังจากคำพูดนั้นแล้วมันน่าโมโหนัก
“ใช่ แต่พี่ไม่เข้าใจว่าทำไมหมอดาถึงอยากไป” นายแพทย์คิมหันต์ถามน้ำเสียงสงสัย ไม่เข้าใจว่าแพทย์หญิงผู้มีทุกอย่างพร้อมจะทนไปลำบากที่นั่นทำไม
“ก็...ไปหาประสบการณ์ไงคะ รุ่นพี่จะสงสัยทำไม แล้วหมอรัฐล่ะคะ ทำไมถึงอยากไป” ตอบเสร็จก็เบี่ยงเบนมาหารุ่นพี่อีกคน แต่คนตอบกลับไม่ใช่นายแพทย์สหรัฐยังคงเป็นคนกวนโมโหเจ้าเดิม
“ไม่ใช่เรื่องของเราที่ต้องรู้”
“แล้วรุ่นพี่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนทำไมคะ เอ๊ะ...หรือว่าที่หมอรัฐไปเป็นเพราะรุ่นพี่คะ ไม่จริงใช่ไหม หมอรัฐกับรุ่นพี่...โอ๊ย อยากจะบ้าตาย”
นายแพทย์ทั้งสองมองสบตากันอย่างมึนงง ท่าทีโวยวายเกินกว่าจะเข้าใจ ยิ่งคนพูดเดินจากไปโดยไม่เคลียร์แบบนี้ก็ยิ่งสับสน
“ท่าจะอาการหนัก” หมอรัฐว่า แพทย์คิมหันต์พยักหน้าเห็นด้วยเปรยออกมา
“ช่างนางเถอะ” ก่อนจะวกมาเรื่องของเพื่อนหนุ่ม
“ว่าแต่ไม่เสียใจใช่ไหมที่ตัดสินใจทำแบบนั้น”
นายแพทย์สหรัฐชะงักเท้า มือจับราวบันไดไว้นิ่ง ใบหน้าคมนิ่งงันนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ความผิดพลาดในอดีตย้ำเตือนให้เขาต้องหาทางแก้ไข เมื่อโอกาสมาถึงแล้วก็ไม่ควรปล่อยจึงรีบส่ายหน้าไปมา
“คิดว่าไม่ ครั้งหนึ่งเคยทำพลาดครั้งนี้จึงคิดว่าตัดสินใจถูกต้องแล้ว”
เป็นคำตอบที่เข้าใจง่าย นายแพทย์คิมหันต์พยักหน้ายิ้ม มือหนึ่งยกขึ้นพาดไหล่กว้างของเพื่อน เอ่ยปลอบใจทางอ้อม
“ถ้าคิดว่ามันดีก็เดินหน้าต่อไป เอาใจช่วยนะ แม้จะช่วยอะไรได้ไม่มากแต่ก็เชียร์เต็มที่”
“ขอบใจ” สองหนุ่มส่งยิ้มให้กัน
ขณะที่แพทย์หญิงดาวิกากำลังหมดอาลัยตายอยาก พร่ำเพ้อถึงความสัมพันธ์อันแน่นเฟ้นของหมอหนุ่มทั้งสองด้วยหัวใจที่แตกสลายเพราะคิดว่านายแพทย์สหรัฐกับนายแพทย์คิมหันต์กำลังชอบพอกันและหากสิ่งที่คิดเป็นเรื่องจริงก็นับว่านายแพทย์สหรัฐเป็นคู่แข็งที่น่ากลัวคนหนึ่ง แต่ให้ตายเถอะ แข่งกับใครไม่แข่งดันเป็นผู้ชายทั้งแท่งและหล่อมากด้วย
“อยากจะบ้าตายจริงๆ เลย” เธอเปล่งเสียงออกมาอย่างสุดกลั้นแทบสะดุ้งที่มีคนทักมา
“เป็นอะไรไปหรือคะ คุณหมอดา”
ไม่นานสองสาวก็พากันมาหาที่นั่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวอร์ด ICU Sung เป็นที่นั่งไว้สำหรับญาติที่มาเยี่ยมคนป่วยแต่เพราะช่วงนี้เป็นเวลางดเยี่ยม พื้นที่ตรงนี้เลยว่างและเหมาะแก่การนั่งคุยกัน
“ดีใจจริงๆ ที่เราได้เป็นทีมเดียวกัน” แพทย์หญิงดาวิกาเป็นคนเอ่ย สีหน้าดีกว่าเมื่อครู่เมื่อได้ดื่มน้ำเย็นๆ ที่พยาบาลสาวเอามาให้
“เมื่อกี้ไปโกรธใครมาหรือคะ ท่าทางเหมือนไม่พอใจเอามากๆ”
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ บ่นไปเรื่อยน่ะ ว่าแต่ทำไมถึงตัดสินใจไปที่นั่นละคะ” เอ่ยจบก็เปรยกับตัวเอง
“นี่ฉันจะถามทุกคนเลยเหรอเนี่ย” ลอบมองอีกฝ่ายแล้วยิ้มอ่อนๆ
“แต่ก็...อยากรู้นะคะว่าทำไมคุณพยาบาลชลลิสาถึงลงชื่อไปที่นั่นด้วย”
“ฉันคง...อยากที่จะไปหาประสบการณ์เหมือนคุณหมอดาบ้างมั้งค่ะ” ชลลิสาตอบเสียงอ่อน ความจริงแล้วเธอเป็นคนที่เก็บความรู้สึกได้ดีทีเดียวแต่ก็ไม่อาจแน่ใจได้เลยว่าต่อจากนี้ไป ความเชื่อมั่นที่เคยมีมาจะยังคงมีอยู่อีกหรือไม่
“ความจริงแล้วฉันไม่ได้ไปเพราะเหตุผลนั้นหรอกค่ะ แต่ที่ไปเพราะใครคนหนึ่งไปต่างหาก” แพทย์หญิงดาวิกาหลุดปากออกมาถึงกับหน้าเหวอเมื่อถูกอีกฝ่ายถาม
“หมอเคนหรือคะ”
“อุ้ยไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่หมอเคน” คำปฏิเสธเสียงแข็งทำให้พยาบาลสาวเข้าใจอีกทางว่าที่แพทย์หญิงตัดสินใจไปที่นั่นเป็นเพราะนายแพทย์สหรัฐยิ่งทำให้รู้สึกแย่เข้าไปอีก
จากจุดเริ่มต้นถึงปลายทางก็ใช้เวลาไม่นาน แต่ที่ต้องรอเกือบๆ ชั่วโมงเป็นเพราะไม่รู้ว่าจะไปต่อยังไง ถ้าตอนนั้นลดทิฐิและไม่โกรธกับการตัดสินใจของผอ.ก็คงจะพอให้จัดการเรื่องการเดินทางไปยังที่พักได้แต่นี่ ยังคิดไม่ตกเลยว่าจะเริ่มต้นแผนการเดินทางต่อไปยังไงดี
มือเล็กลากกระเป๋าเดินทางกำลังจะลงไปเรียกรถโดยสารอยู่แล้วแต่สายตาดันไปเห็นข้อความหนึ่ง อ่านจากชื่อและที่มาก็ทำให้คิดเข้าข้างตัวเองว่าคนที่กำลังชูป้ายยืนอยู่ตรงนั้นน่าจะมารับเธอ
“เออ...ขอโทษนะคะ คือว่าชื่อหมอที่อยู่ในป้ายนั้นนะคะ” เธอชี้ไปที่ป้ายพร้อมบอกว่าคือเธอ อีกฝ่ายส่งยิ้มกลับมา นั่นเป็นรอยยิ้มแรกจากคนสามจังหวัดที่เจอ
“สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับคุณหมอครับ”
ท่าทีเป็นมิตรทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย ยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตรเช่นกัน ลอบมองไปรอบๆ ไม่พบใครอื่นที่คิดว่าจะร่วมเดินทางไปกับเธอในครั้งนี้ด้วย
“เออ แล้วหมอคนอื่นๆ ล่ะคะ คือฉันหมายถึงว่าไม่มีหมอจากโรงพยาบาลอื่นมาด้วยเหรอคะ เท่าที่อ่านในเอกสารบอกว่ารัฐบาลขอหมอจากโรงพยาบาลเอกชนมาด้วย”
“ครับ แต่ทีมแพทย์อีกชุดจะมาถึงในวันพรุ่งนี้”
“อ๋อ ค่ะ” พยักหน้าอย่างรับทราบแล้วถามต่อ
“แล้วจากที่นี่จะเดินทางถึงพื้นที่พิเศษกี่ชั่วโมงคะ” เธอถามคนที่กำลังจะลากกระเป๋าเดินทางแต่ชะงักไว้เพราะคำถามของเธอ
“ก็...ราวๆ สองชั่วโมงครับ บวกลบเข้าปั้ม ทำธุระส่วนตัวแล้วก็...แวะกินข้าว”
“แบบนี้ก็ถึงเย็นนะสิ”
“ใช่ครับแต่ถ้าคุณหมอไม่รีบขึ้นรถตอนนี้ เราจะเสียเวลาไปอีกหลายนาทีแล้วอาจจะถึงมืดกว่านั้น อ้อ คงต้องเผื่อเวลาตอนที่รถถูกตะปูเรือใบหรือว่าสถานการณ์บางอย่าง”
“มีด้วยหรือคะ” ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนกกลับได้ยินเสียงหัวเราะตามมา
“คุณหมอนี่น่ารักจังเลยครับ ผมล้อเล่นน่า วันนี้เช็คกับแหล่งข่าวแล้วว่าสถานการณ์ปลอดภัยดีครับ” คนตอบยังคงอารมณ์ดี
“มีเช็คข่าวได้ด้วยเหรอคะ”
“คุณหมอนี่นอกจากจะน่ารักแล้วยังหลอกง่ายอีกด้วย” เขาว่าเสียงอ่อนแล้วเอ่ยต่อ
“ไปกันเถอะครับ ผมไม่อยากเสียเวลา อยากบอกว่าสิ่งที่คุณหมอคิดมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่คิด ส่วนเรื่องเมื่อกี้ที่ผมพูด ผมแค่อำคุณหมอเล่นครับ ไม่ต้องกลัวหรอก ที่นี่ยังมีพื้นที่ที่ปลอดภัยอีกเยอะ” เอ่ยจบก็เดินนำทางไปที่รถ
แพทย์หญิงสิริลักษณ์มองตาค้างไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องมาหลอกกันด้วย แถมคำพูดคำจาก็เชื่อถือไม่ได้เลย ผู้ชายแต่งตัวดี แถมหน้าตาดี กะหล่อนแบบนี้ทุกคนหรือเปล่า ยิ่งคิดก็ยิ่งคิดถึงผู้ชายที่ชื่อครรชิต มันน่าจะดีถ้าหากเขามาส่งเธอด้วยตัวเอง
“เชิญครับ”
เสียงนั้นทำลายความคิดของเธอเสียหมด แพทย์สาวมองคนที่มารับเธอกำลังเปิดประตูรถรอไว้แล้ว แปลกใจตรงที่รถมารับไม่ใช่รถที่มี Logo ของโรงพยาบาล
“ทำไมรถนี่ไม่ Logo ของโรงพยาบาลคะ...เอ๊ะ หรือว่า”
“คุณหมอนี่ขี้สงสัยจังเลยครับ รถนี่เป็นรถส่วนตัวของผมเองซึ่งรับรองได้ว่าผมไม่พาคุณหมอไปขายต่อแน่” คนพูดยังคงตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มผิดกับคนฟังที่เริ่มใจคอไม่ดีแต่ก็ไม่มีทางให้เลือกคิดว่าหน้าตาท่าทางแบบนี้คงไม่ใช่คนร้าย สุดท้ายจึงยอมไปกับเขาโดยดี
“นี่ฉันสามารถไว้ใจคุณได้ใช่ไหม”
“ก็ขึ้นมาแล้วนี่ครับ” เขาเอ่ยยิ้มๆ พร้อมกับสตาร์ทออกแล้วขับออกไปขณะที่แพทย์สาวยังไม่ค่อยสบายใจนัก ระหว่างนั้นก็กดเบอร์โทรหามารดา
‘ฮัลโหล แม่ ตอนนี้หนูกำลังจะไปที่พักแล้วนะคะ คงอีกประมาณสองชั่วโมงกว่าหนูจะโทรหาแม่อีก แม่โอเคใช่ไหม หนูรักแม่นะ’ เธอยิ้มน้อยๆ ก่อนจะวางสายแล้วต่อด้วยการโทรหาเพื่อนสาวต่อ
‘ฮัลโหล ขวัญ นี่ฉันกำลังจะไปที่พักแล้ว ที่นี่น่ากลัวชะมัด แม้แต่คนมารับก็ยังไม่น่าไว้ใจ พูดอะไรก็ไม่รู้ อัปมงคลทั้งนั้น ถ้าฉันเป็นอะไรไป ต้องดูแลแม่ฉันให้ดีๆ อย่าทิ้งขวางเพราะฉันทำประกันไว้เยอะมาก ถ้าเธอดูแลแม่ฉันดีก็เอาเงินประกันไปใช้ได้เลยแต่ถ้าเธอทิ้งขว้างแม่ ฉันจะเป็นผีมาหลอกหักคอเธอ ฮัลโหล ฮัลโหล ยัยขวัญ นี่กล้าตัดสายฉันเลยหรอ ยัยเพื่อนบ้า’ เธอโวยวายใหญ่โตโดยลืมไปว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่คนเดียวแล้วเสียงหัวเราะนั่นก็ทำให้รู้ว่าพลาดแล้ว
50 %