ลดน้ำหนักแบบบ้านๆ 40kg. ภายใน1ปี โดยไม่ใช้ยาลดน้ำหนักใดๆทั้งสิ้น

การลดน้ำหนัก 1ปี กับน้ำหนักที่หายไป 40kg
Start : 28.09.18 - 107kg.
Now : 28.09.19 - 67kg.
ลดน้ำหนักโดยไม่กินยาลดใดๆทั้งสิ้นแค่ออกกำลังกายและเลือกกินอาหารที่ดีต่อร่างกายแค่นั้นจริงๆ
ใครไม่สนเรื่องลดน้ำหนักอยากให้เลื่อนผ่านกระทู้นี้ไปเลยค่ะ เพราะมันจะยาวมากๆ


เริ่มแรกส่วนตัวเป็นคนอ้วนแบบอ้วนมากๆ อ้วนมาตั้งแต่เด็กเกิดมาอ้วนเลยก็ว่าได้ ก่อนลดน้ำหนักจุดสูงสุดในชีวิตคือช่วงรับปริญญาน้ำหนัก 107kg. 
ใช่อ่านไม่ผิด107kg. มันคือที่สุดในชีวิตแล้วอ่ะ ตลอดเวลาที่ผ่านมาช่วงนั้นคือเรียนมหาลัยเริ่มขับรถเป็นก็จะขับรถไปหาร้านบุพเฟ่ต์ 
หมูกระทะ ชาบู ปิ้งย่างกินกับเอ็มตลอดต่อให้ไกลแค่ไหนก็ไม่เคยหวั่น เพื่อของอร่อยเราไม่พลาด! ข้าวเย็นไม่เคยขาด 
ของหวานของมันของทอดขอให้บอกไอเลิฟสุดๆ เลิกเรียนทำงานที่มหาลัยกลับดึกแค่ไหน เราคนไทยต้องบริโภคข้าว 
ข้าวเท่านั้นคือที่สุดของชีวิตแล้ว แต่พอมันถึงจุดที่แบบไม่กล้าชั่งน้ำหนักกลัวรับไม่ได้ และวันนึงลองชั่งดูแม่งกลายเป็น107kg. 
คิดในใจ “ซวยแหละ นี่หนัก107kg.แล้วนะเว้ย ไม่คิดจะลดหน่อยหรอ” เลยตกลงกับตัวเองว่าเอาว่ะลองลดหน่อย เรียนจบรับปริญญาแหละลดน้ำหนักขำๆระหว่างรองานหละกัน มันคือวันที่28กันยายน61 เลยเริ่มลดน้ำหนักอย่างจริงจัง จะบอกว่าก่อนที่จะลดครั้งนี้เคยลดตอนมหาลัยตอนปี2 ลดไปได้10kg.
แต่ก็กลับไปกินอีกก็อ้วนอีกและอ้วนกว่าเดิม การลดครั้งนี้เลยไม่อยากเครียด ไม่ซีเรียส ลดแบบขำๆ ไม่จริงจัง กลัวผิดหวังอีกไม่อยากเสียใจ
เพราะถ้ายิ่งเครียดยิ่งกดดันตัวเองน้ำหนักมันจะไม่ลง ลดแบบชิลๆสบาย เอาที่ตัวเองมีความสุขดีกว่า ตอนแรกไม่กล้าบอกใครเลยนะว่าจะลดน้ำหนักกลัวลดไม่ได้แล้วอายเค้า มีแต่แม่กับเอ็มเท่านั้นที่รู้เรื่องเท่านั้น เราไม่รู้ว่าต้องทำยังไงในการลดน้ำหนักแค่ลดในแบบของตัวเองที่เข้าใจและ
เราทำมาตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ขอแบ่งเป็นข้อๆเพื่อให้เข้าใจง่ายๆหละกัน เพื่อใครสนใจอยากลองทำตามเราดู

รูปทั้งหมดคือตอนรับปริญญา ส.ค. 61 ก่อนลดน้ำหนัก
1.การกินอาหาร การกินมีผลถึง80%ต่อการลดน้ำหนัก ส่วนอีก20%คือการออกกำลังกาย สำเราการกินของเรานั้นเราปรับเปลี่ยนการกินหมดทุกอย่าง 
ทุกอย่างคือทุกอย่างจริงๆ เริ่มจากปกติเป็นคนกินรสจัด เค็มจัด เผ็ดจัด ต้องเปลี่ยนมากินอาหารที่ปรุงน้อยที่สุด ส่วนมากตอนนั้นเวลาส่วนใหญ่จะอยู่บ้านเลยเลือกที่จะทำอาหารกินเองเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เราใช้เครื่องปรุงเราเปลี่ยนใหม่หมด น้ำปลา น้ำมันหอย ซีอิ๊ว ใช้เป็นโลวโซเดี่ยมทั้งหมด 
น้ำตาลจะใช้หญ้าหวานแทน หรือถ้าใครไม่ชอบหญ้าหวานก็เปลี่ยนเป็นน้ำตาลไม่ขัดสีก็ได้ น้ำมันเราใช้น้ำมันคาโนลากับน้ำมันมะกอก 
แต่ใช้น้อยมากใช้แค่เคลือบกระทะบางๆพอ เนื้อสัตว์เราเลือกกินอกไก่กับสันในไก่ที่ไม่มีหนัง แต่ถ้าใครยังกินอกไก่ไม่ไหวก็กินสะโพกลอกหนังแทนไปก่อน แล้วค่อยๆเลื่อนขั้นเป็นอกแทน แต่ถ้าเบื่อไก่ก็จะเปลี่ยนเป็นปลา กุ้ง หรือไม่ก็หมูไม่ติดมัน การปรุงอาหารเราจะหลีกเลี่ยงการทอดที่สุด 
ส่วนมากจะย่าง ปิ้ง ทอด(ไร้น้ำมัน) ต้ม อบ ยำ ลวก นึ่ง และที่สำคัญเราหันมากกินผักแบบผักโคตรผักเยอะมาก กินอาหารทุกมื้อต้องมีผักเป็นส่วนประกอบ แบบครึ่งต่อครึ่ง ผลไม้ก็พยายามกินผลไม้อิ่มนานๆ ฝรั่งคือตัวช่วยที่ดีมาก และที่สำคัญข้าวเราก็ยังกินนะแต่เราเปลี่ยนมากินข้าวไรซ์เบอร์รี่ 
คีนัว แทนข้าวขาวหอมมะลิ ที่เลิกกินเพราะข้าวหอมมะลิมันอร่อยเกินไปมันจะทำให้เราเพลินเวลากินข้าว

ตัวอย่างอาหารที่เราทำทาน ใครสนใจเมนูที่เราทำสามารถไปชมได้ที่ IG : wnc.goodhealth
ส่วนใครไม่ทำอาหารกินเอง เวลาเราไปกินอาหารตามสั่ง เมนูยอดฮิตคือ สุกี้น้ำหมู/ไก่ หรือไม่ก็เส้นหมี่น้ำใสไม่กระเทียมเจียว 
แต่ชีวิตจะขาดบุฟเฟ่ต์ไม่ได้เด็ดขาด ช่วง1-2เดือนแรก เรากินคลีนทุกวัน แต่พอมาหลังๆชีวิตมันดูขาดรสชาติ เลยตกลงกับเอ็มว่า 
“เราจะกินบุฟเฟ่ต์เดือนละ1ครั้ง” เรายังกินบุฟเฟต์ได้แต่แค่เราต้องเลือกกิน ปกติหมูสามชั้น เบค่อน มาเถอะสู้ สั่ง10หมด10 
แต่ตอนนี้คือก็จะพยายามเลือกร้านที่มี ไก่ ปลา ผัก และมีต้มด้วยจะดีที่สุด น้ำเราเลิกกินน้ำหวาน น้ำอัดลม มา1ปีเต็มๆ กินมากสุดคือโค้กซีโร่ โค้กไลท์ 
แต่ถ้าไม่อยากน้ำอัดลมจริงๆก็จะไม่กินจะเน้นไปกินน้ำเปล่ามากกว่า เวลาในการกินและปริมาณก็มีผลต่อการลดน้ำหนักสำหรับเรา เรากินมื้อเช้าประมาณ7โมงเราจะเน้นกินเนื้อสัตว์ ผักและข้าวในปริมาณที่เยอะที่สุดของวันเราจะมาลงที่มื้อเช้าเป็นหลัก เพราะมื้อเช้าสำคัญที่สุด 
กลางวันเรากินเที่ยงถึงบ่ายช่วงนี้เราจะกินเบาลงมาหน่อยตามลำดับ และเย็นจะกินไม่เกิน6โมงเย็นจะเน้นผักและผลไม้เป็นหลัก 
ถ้าส่วนมื้อไหนหิวๆจะกินน้ำเปล่า เราจะวางน้ำเปล่าไว้บนโต๊ะทำงานเวลาไหนหิวหรืออยากกิน ก็น้ำเปล่านี่แหละกินเข้าไปเยอะๆ
ฉี่บ่อยหน่อยแต่ไม่อ้วนแน่นอนส่วนขนมหวาน ขนมปัง เราจะเลือกไปซื้อที่ร้านที่ขายขนมคลีนและจะอ่านแคลอรี่ดูเดี๋ยวนี้ขนมคลีนเยอะมาก 
ทั้งตามห้างและในเน็ตใครสายของหวานไม่ต้องกลัว ขนมไม่อ้วนก็มีให้กินเช่นกัน แต่ก็ต้องกินในปริมาณที่ไม่เยอะนะ

อาหารที่ทานนอกบ้าน
2.การออกกำลังกาย การออกกำลังกายมันแล้วแต่คนนะ บางคนชอบวิ่ง ชอบว่ายน้ำ ชอบฟิตเนส แต่เราไม่ชอบพวกนี้เลยมันเหนื่อยหอบแบบหายใจไม่ทัน เพราะตอนนั้นแบบอ้วนมากอ่ะ แค่เดินขึ้นบันไดก็หอบแล้วอ่ะ เราเลยเลือกเป็นเล่นโยคะ เราไปลงเรียนโยคะกับเพื่อนแม่ที่ทำงาน เล่น3วัน/สัปดาห์ วันละ1ชม. มีแต่คนถามว่าโยคะลดน้ำหนักเค้าเล่นยังไง นี่ก็ไม่รู้จะอธิบายท่ายังไง มีทั้งท่านอน นั่ง ยืน มีหมดและที่สำคัญมันไม่ใช่โยคะเพื่อคนลดน้ำหนักนะ คนส่วนมากที่ไปเรียนในคอร์สเดียวกันมีทั้งวัยรุ่น คนทำงาน คนแก่ คือเรียนพร้อมกันหมด ท่าที่ครูเลือกมาคือจะ มีทั้งเหนื่อยแต่แบบทนไหว กับแค่กำหนดลมหายใจ อย่ายึดติดว่าเล่นโยคะน้ำหนักเลยลด ไม่ใช่นะมันคือการเข้าใจผิด เราคิดว่าการออกกำลังกายคือดีหมดทุกอย่าง เอาที่ตัวเองเล่นแล้วถูกใจ เล่นแล้วไม่เบื่อ เล่นแล้วอยากไปเล่นอีก ทำให้มันเหมือนเป็นกิจวัตอย่างนึงในชีวิตมันน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดมากกว่า ลองค้นหาตัวเองดูว่าชอบกีฬาอะไรแล้วลองเล่นมันดู ถ้าไม่เพื่อลดน้ำหนักก็เพื่อสุขภาพตัวเองที่แข็งแรงขึ้น

ไปเล่นโยคะ ช่วงเดือน ต.ค.61 ตอนนั้นหนักประมาณ 101kg.

3.ตั้งเป้าหมายให้ชีวิต ในเดือนแรกที่เราลด น้ำหนักเราลดลง5kg. ตอนนั้นคือเดือน ต.ค. เราเลยตั้งเป้าหมายให้ตัวเอง ภายในสิ้นปี61 
จะลดให้ได้เหลือ100kg. สรุปคือมันทำได้ เลยเริ่มตั้งเป้าหมายไปเรื่อยๆ เอากางเกงที่เคยใส่ไม่ได้มาลอง ลองจนกว่าจะลดไปใส่ได้ 
ล่าสุดเราซื้อกางเกงให้ตัวเองเล็กกว่าไซต์จริงประมาณ1-2ไซต์และพยายามลดให้ใส่ให้ได้ ถ้ามันใส่ได้วันไหนนั้นแหละ คือมันเราทำสำเร็จไปอีกขั้น 
ตอนต้นปีเราตั้งเป้าหมายกับตัวเองให้ลดให้ได้ 20kg. จาก90kg.ให้เหลือ70kg.ให้ได้ ตอนนี้เราทำได้แล้วเลยตั้งเป้าหมายใหม่คือก่อนแต่งงานจะลดให้เหลือ 55kg. ไม่รู้จะทำได้มั้ยมาลุ้นดู แค่หาเป้าหมายเล็กๆไม่ต้องใหญ่มากก็ได้ เอาแค่เป็นแรงกระตุ้นในการลด แต่ที่สำคัญอย่าซีเรียสจนเกินไป ความเครียดมันจะให้เรากดดันตัวเองและลดมันไม่ได้

ประมาณเดือน พ.ย. 61

4.กำลังใจจากคนรอบข้างคือสิ่งที่สำคัญที่สุด วันแรกที่จะลดน้ำหนัก แม่กับแฟนไม่เคยพูดเลยว่าทำไม่ได้ ทั้งสองบอกให้ลองดูเสมอ 
แม่จะคอยซับพอร์ททั้งเรื่องเงิน ค่าเรียน ค่าอาหาร ค่าน้ำมันไปเรียน และทุกๆอย่างที่เราร้องขอ ทุกครั้งที่กลับมาจากเรียนโยคะแม่จะทักตลอด 
ผอมลงแล้ว หน้าตอบลงแล้ว มีไหปลาร้าแล้ว แม่จะคอยพูดให้กำลังใจเสมอทั้งที่บางทีมันอาจจะไม่จริง55555 แต่มันทำให้เรามีแรงขับเคลื่อนในการลดครั้งนี้มาก ส่วนแฟนคือกำลังใจชิ้นโตเลย มากกว่าคำพูดให้กำลังใจในทุกวันแล้ว แฟนยังให้เงินสูบฉีดในการลด ถ้าลดลงทุก10kg. จะได้เงิน1,000บาท 
ใช้เงินมาเป็นข้อต่อรอง ช่วงไหนไม่มีเงินก็จะฟิตทำยอดหน่อย55555 อาหารการกินแฟนก็จะเป็นคนดูแลซะส่วนใหญ่ อย่าลืมว่าการลดน้ำหนักมันต้องใช้ใจสู้มาก ถ้าขาดกำลังใจจากคนรอบข้างไป เปอร์เซ็นที่ลดสำเร็จมันจะน้อยลง ใครที่คนรอบข้างจะลดน้ำหนักต้องมั่นให้กำลังใจเสมอๆนะ 
มันคือสิ่งที่ดีที่สุด
ตอนเรียนจบปี 4 ต้นปี61

ปัจจุบันเราน้ำหนัก 67kg. สูง165cm. น้ำหนักมันอาจจะยังไม่น้อย รูปร่างมันอาจจะยังไม่ผอมเท่าคนอื่น แต่สำหรับเรามันคือที่สุดในชีวิตแล้ว 
ใครจะไปคิดว่า จากคนที่หนักร้อยกว่าในปีที่แล้ว จะลดได้ขนาดนี้ เป้าหมายต่อไปคือก่อนแต่งงานอยากจะลดให้เหลือสัก 55-60kg. ไม่รู้จะทำได้มั้ย
ขอให้ทำได้หละกัน5555🙏🏻 เลิกถามได้แล้วนะว่ากินยาอะไร อาหารเสริมอะไร มันบั่นทอนความรู้สึกสุดๆ เราใช้ความพยายามไปเยอะมาก 
อย่าเอาคำถามพวกนี้มันบั่นทอนจิตใจเราเลย มันเหมือนดูถูกความสามารถเรา

ปัจจุบัน เดือน ก.ย - ต.ค. 62

สุดท้าย 
อยากจะให้กำลังใจคนที่กำลังลดน้ำหนัก เราเชื่อว่าถ้าตัวเราเองคิดจะทำอะไรสักอย่าง ถ้าเรามุ่งมั่นพอ ตั้งใจพอ 
สิ่งที่เราเลือกทำมันไม่ไกลเกินไป แค่ลดน้ำหนักมันไม่ใช่เลือกยาก ถ้าตั้งใจทำ อย่าผัดวันประกันพรุ่ง อยากลดลดเลยไม่ต้องรอพรุ่งนี้ 
ไม่งั้นไม่ได้ลดแน่ๆ วันไหนท้อดูเราไว้อ้วนมาตั้งแต่เด็ก จาก107kg. ยังลดได้เลย เราทำได้ทุกคนในโลกก็ทำได้

“เราผอมลงกว่าแต่ก่อน แต่ไม่ได้แปลว่าเราผอมแล้ว”

 
จบแล้วจ้า ขอบคุณที่อ่านมาจนจบนะคะปลื้มปริ่ม

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่