อานนท์ ! ส่วนข้อนี้ เป็นฐานะที่จะมีได้คือ ข้อที่
พวกปริพาชกทั้งหลาย ผู้ถือลัทธิอื่นจะพึงกล่าว
อย่างนี้ว่า “พระสมณะโคดม ได้กล่าวถึงสัญญา
เวทยิตนิโรธ(การดับสัญญาและเวทนา), แล้วจึง
บัญญัติซึ่งสัญญาเวทยิตนิโรธนั้น ในฐานะเป็น
ความสุข. มันจะเป็นความสุขชนิดไหนหนอ ?
มันจะเป็นความสุขไปได้อย่างไรหนอ ?”
อานนท์ ! พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่น ซึ่งมีปกติ
กล่าวอย่างนี้, เธอทั้งหลายจะพึงกล่าวแก้อย่าง
นี้ว่า “ผู้มีอายุ ! พระผู้มีพระภาค ไม่ได้หมายถึง
สุขเวทนา แล้วบัญญัติในฐานะเป็นตัวความสุข.
ผู้มีอายุ ! แต่ว่า ความสุข อันบุคคลจะพึง
แสวงหาได้ในธรรมใด ; พระตถาคตย่อม
บัญญัติซึ่งธรรมนั้น ในฐานะเป็นความสุข” ดังนี้แล.
- สฬา. สํ. ๑๘/๒๗๘-๒๘๒/๔๑๓-๔๒๔.
จงมีธรรมเป็นเกาะ. มีธรรมเป็นที่พึ่ง
เช่นรู้ธรรมใด ก็ได้สิ่งนั้น ในฐานะเป็นความสุขเช่นนั้น เป็นต้น
เว้นจากธรรมอันเป็นที่ดับซึ่งไม่มีเหตุให้อาศัยปัจจัยเกิดชึ้น
ตนที่หมดอุปกิเลส ตัณหาและ อาสวกิเลส ไม่มีเหลือ
อีกนั้นแหละ จิตจึงหลุดพ้น
สภาพของนิพพาน
ยิ่งไปกว่าความสุข
โลกิยะ(ความสุขชั่วคราว) < ,!= โลกุตระ(ยิ่งไปกว่าความสุข ความสงบอันประณีต.
||,ไม่มีความสุขอื่นยิ่งกว่า
==ไม่มีความทุกข์ให้เห็น อีกต่อไป).นั้นแหละ
เหมือนดั่งว่า จิตหนึ่งยืมเขามาใช้ตามอัตภาพสภาพความเป็นอยู่เช่นนั้น...
วิญญาณคือเหตุให้ทุกคนเป็นขึ้นและมีชีวิต
ตั้งอยู่เพื่อการบัญญัติ ซึ่งความเป็นอย่างนั้น
(ของนามรูปกับวิญญาณ นั่นเอง).
`พระองค์ผู้ทรงมีพระวิญญาณทั้งเจ็ด
และทรงมีดาราเจ็ดดวงนั้น ได้ตรัสดังนี้ว่า
เรารู้จักแนวการกระทำของเจ้า เจ้าได้ชื่อว่ามีชีวิตอยู่ แต่ว่าเจ้าได้ตายเสียแล้ว
(-Bible วิวรณ์ 3:1-6)
<อัตราการตายกับอัตราการเกิดเท่ากันหรือเปล่า>
ว่าด้วยความสุขอันเกิดแต่สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
พวกปริพาชกทั้งหลาย ผู้ถือลัทธิอื่นจะพึงกล่าว
อย่างนี้ว่า “พระสมณะโคดม ได้กล่าวถึงสัญญา
เวทยิตนิโรธ(การดับสัญญาและเวทนา), แล้วจึง
บัญญัติซึ่งสัญญาเวทยิตนิโรธนั้น ในฐานะเป็น
ความสุข. มันจะเป็นความสุขชนิดไหนหนอ ?
มันจะเป็นความสุขไปได้อย่างไรหนอ ?”
อานนท์ ! พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่น ซึ่งมีปกติ
กล่าวอย่างนี้, เธอทั้งหลายจะพึงกล่าวแก้อย่าง
นี้ว่า “ผู้มีอายุ ! พระผู้มีพระภาค ไม่ได้หมายถึง
สุขเวทนา แล้วบัญญัติในฐานะเป็นตัวความสุข.
ผู้มีอายุ ! แต่ว่า ความสุข อันบุคคลจะพึง
แสวงหาได้ในธรรมใด ; พระตถาคตย่อม
บัญญัติซึ่งธรรมนั้น ในฐานะเป็นความสุข” ดังนี้แล.
- สฬา. สํ. ๑๘/๒๗๘-๒๘๒/๔๑๓-๔๒๔.
จงมีธรรมเป็นเกาะ. มีธรรมเป็นที่พึ่ง
เช่นรู้ธรรมใด ก็ได้สิ่งนั้น ในฐานะเป็นความสุขเช่นนั้น เป็นต้น
เว้นจากธรรมอันเป็นที่ดับซึ่งไม่มีเหตุให้อาศัยปัจจัยเกิดชึ้น
ตนที่หมดอุปกิเลส ตัณหาและ อาสวกิเลส ไม่มีเหลือ
อีกนั้นแหละ จิตจึงหลุดพ้น
สภาพของนิพพาน
ยิ่งไปกว่าความสุข
โลกิยะ(ความสุขชั่วคราว) < ,!= โลกุตระ(ยิ่งไปกว่าความสุข ความสงบอันประณีต.
||,ไม่มีความสุขอื่นยิ่งกว่า
==ไม่มีความทุกข์ให้เห็น อีกต่อไป).นั้นแหละ
เหมือนดั่งว่า จิตหนึ่งยืมเขามาใช้ตามอัตภาพสภาพความเป็นอยู่เช่นนั้น...
วิญญาณคือเหตุให้ทุกคนเป็นขึ้นและมีชีวิต
ตั้งอยู่เพื่อการบัญญัติ ซึ่งความเป็นอย่างนั้น
(ของนามรูปกับวิญญาณ นั่นเอง).
`พระองค์ผู้ทรงมีพระวิญญาณทั้งเจ็ด
และทรงมีดาราเจ็ดดวงนั้น ได้ตรัสดังนี้ว่า
เรารู้จักแนวการกระทำของเจ้า เจ้าได้ชื่อว่ามีชีวิตอยู่ แต่ว่าเจ้าได้ตายเสียแล้ว
(-Bible วิวรณ์ 3:1-6)
<อัตราการตายกับอัตราการเกิดเท่ากันหรือเปล่า>