ประเภทของจิตวิญญาณ ๓ ระดับ
คัมภีร์ลังกาวตารสูตร กล่าวว่า “จิตเริงระบำเหมือนนักฟ้อน มนัสเหมือนผู้กำกับการแสดง วิญญาณ ๖ เหมือนผู้ชมการแสดงบนเวที”
หมายความว่า
จิตเริงระบำ หมายความว่า จิตมันเลือนลอยเหมือนนักฟ้อน เหมือนกับน้ำ ใส่อะไรก็เป็นอันนั้น ก็คือ ฟ้อนไปได้เรื่อยๆ มนัสก็คือกำกับว่าจะฟ้อนเช่นใด ไปบังคับควบคุม มนัสนี้จะเป็นตัวกำหนด จะแปลว่าใจ หรือเจตนาก็ได้ เช่น กำกับเราจะแสดงอะไร เวลานี้เราจะโมโห ก็เอาจิตตัวโมโหมาใส่ มนัสเป็นตัวปรุง เป็นกุ๊กทำอาหาร แล้วมนัสจะเอาอะไรมาปรุง ก็คือเอาเครื่องมือสัมปชัญญะ
วิญญาณ หมายความว่า ผู้ชมบนเวที หมายความว่า เป็นทวารที่จะรับไป เช่น เราโกรธเราก็จะรับไปเช่น ตาต้องทะมึน มือกำมัด เป็นต้น ผู้ชมก็คือผู้รับรู้ ข้างในก็ต้องเห็นเขา ถึงจะแสดงออก เวลาดูแล้วเศร้าก็ต้องแสดงอาการเศร้า รับรู้แสดงออกเป็นรูปธรรมออกมา
มนัส หมายความว่า เอาปัญญา ตัวสติสัมปชัญญะ มากำกับ
วิบาก คือ ทั้ง ๒ สิ่งมาทำกันแล้ว ผสมกันแล้วเป็นเหตุ มาทำให้เกิดผล ผลนั้นส่งเป็นอานิสงส์อะไร เช่น ไฟจุดกับบุหรี่ อานิสงส์ทำให้ติดไฟ ผลก็คือ มีไฟกับบุหรี่ก็จะติดไฟแล้ว อานิสงส์ทำให้เราดูดบุหรี่ได้ ถ้าไม่มีวิบากก็ส่งผลไม่ได้ ต้องมีวิบากถึงจะส่งผลได้ คนตีกันมีเหตุแล้ว จึงจะมาเป็นวิบาก คือ ต่างคนต่างโกรธมาเจอกัน เหตุคือโกรธมาเจอกัน ถ้าไม่อย่างนั้นก็กลายเป็นวิบากส่วนตัว พอมาเจอกันก็ต้องมาตีกัน จึงเกิดผล และส่งผลเป็นอานิสงส์ แต่จะเป็นอานิสงส์บวกหรือลบ บวกอาจจะตีกันแล้วเข้าใจกันมาเป็นเพื่อนกัน หรือตีกันแล้วหัวแตก ไปโรงพยาบาลไปโรงพัก
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต
ประเภทของจิตวิญญาณ ๓ ระดับ
คัมภีร์ลังกาวตารสูตร กล่าวว่า “จิตเริงระบำเหมือนนักฟ้อน มนัสเหมือนผู้กำกับการแสดง วิญญาณ ๖ เหมือนผู้ชมการแสดงบนเวที”
หมายความว่า
จิตเริงระบำ หมายความว่า จิตมันเลือนลอยเหมือนนักฟ้อน เหมือนกับน้ำ ใส่อะไรก็เป็นอันนั้น ก็คือ ฟ้อนไปได้เรื่อยๆ มนัสก็คือกำกับว่าจะฟ้อนเช่นใด ไปบังคับควบคุม มนัสนี้จะเป็นตัวกำหนด จะแปลว่าใจ หรือเจตนาก็ได้ เช่น กำกับเราจะแสดงอะไร เวลานี้เราจะโมโห ก็เอาจิตตัวโมโหมาใส่ มนัสเป็นตัวปรุง เป็นกุ๊กทำอาหาร แล้วมนัสจะเอาอะไรมาปรุง ก็คือเอาเครื่องมือสัมปชัญญะ
วิญญาณ หมายความว่า ผู้ชมบนเวที หมายความว่า เป็นทวารที่จะรับไป เช่น เราโกรธเราก็จะรับไปเช่น ตาต้องทะมึน มือกำมัด เป็นต้น ผู้ชมก็คือผู้รับรู้ ข้างในก็ต้องเห็นเขา ถึงจะแสดงออก เวลาดูแล้วเศร้าก็ต้องแสดงอาการเศร้า รับรู้แสดงออกเป็นรูปธรรมออกมา
มนัส หมายความว่า เอาปัญญา ตัวสติสัมปชัญญะ มากำกับ
วิบาก คือ ทั้ง ๒ สิ่งมาทำกันแล้ว ผสมกันแล้วเป็นเหตุ มาทำให้เกิดผล ผลนั้นส่งเป็นอานิสงส์อะไร เช่น ไฟจุดกับบุหรี่ อานิสงส์ทำให้ติดไฟ ผลก็คือ มีไฟกับบุหรี่ก็จะติดไฟแล้ว อานิสงส์ทำให้เราดูดบุหรี่ได้ ถ้าไม่มีวิบากก็ส่งผลไม่ได้ ต้องมีวิบากถึงจะส่งผลได้ คนตีกันมีเหตุแล้ว จึงจะมาเป็นวิบาก คือ ต่างคนต่างโกรธมาเจอกัน เหตุคือโกรธมาเจอกัน ถ้าไม่อย่างนั้นก็กลายเป็นวิบากส่วนตัว พอมาเจอกันก็ต้องมาตีกัน จึงเกิดผล และส่งผลเป็นอานิสงส์ แต่จะเป็นอานิสงส์บวกหรือลบ บวกอาจจะตีกันแล้วเข้าใจกันมาเป็นเพื่อนกัน หรือตีกันแล้วหัวแตก ไปโรงพยาบาลไปโรงพัก
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต