สติจะมีลักษณะที่ระลึกเป็นไปในกุศลทุกประเภท ขณะที่สติเกิดจะต้องเป็นไปในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐

สติต้องเป็นกุศลธรรมหรือโสภณะ หมายความถึง ธรรมที่ดีงามฝ่ายเดียว    สติเป็นอกุศลไม่ได้   ต้องเป็นกุศล หรือว่า เป็นสภาพธรรมที่ดีงาม   

ถ้ามีใครกำลังเดินข้ามถนนด้วยความระมัดระวัง  รถไม่ทับ หลบหลีกงูตามถนน หรืออะไรก็แล้วแต่ ขณะนั้น ไม่ใช่สติเลย  เป็นสมาธิ เป็นความตั้งใจ แน่วแน่ที่จะหลบเลี่ยง เพราะว่า สมาธินี้เป็นมิจฉาสมาธิก็ได้   เป็นสัมมาสมาธิก็ได้ คือ เป็นได้ทั้งฝ่ายกุศลและอกุศล   แต่ถ้าเป็นสติต้องเป็นฝ่ายดีอย่างเดียว เป็นอกุศลไม่ได้



คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
https://www.dhammahome.com/cd/topic/14/19

ตอนที่ ๑๙
สนทนาธรรมที่โรงพยาบาลปากเกร็ดเวชการ พ.ศ. ๒๕๓๖
 
ส.  แต่สติจะมีลักษณะที่ระลึกเป็นไปในกุศลทุกประเภท เช่น ในทาน คิดที่จะสละวัตถุให้กับคนอื่น นั่นคือ สติที่ระลึก ไม่ใช่เรา ขณะที่เห็นมด แต่ไม่ฆ่า ถ้ามดตกน้ำ เราก็ค่อยๆ ช้อนขึ้นมา ใช้กระดาษทิชชู่จุ่มลงไปให้เขาไต่ขึ้นมา นั่นคือ สติที่ระลึกเป็นไปที่จะช่วยชีวิต ที่เป็นประโยชน์ การกระทำที่เป็นประโยชน์กับบุคคลอื่น ขณะนั้นเป็นสติไม่ใช่เรา ที่ระลึกได้ที่จะทำประโยชน์ ขณะที่จิตใจเร่าร้อน โกรธคนนั้น โกรธคนนี้ คิดว่า ความโกรธไม่มีประโยชน์เลย เพราะว่าคนที่เราโกรธ เขากำลังสบาย กำลังสนุกสนาน และเรามานั่งเดือดร้อน กลุ้มใจสารพัดอย่าง เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น ขณะที่ระลึกได้ที่จะเห็นโทษของโทสะ ขณะนั้นเป็นสติที่กำลังทำหน้าที่ระลึกได้ ขณะที่กำลังฟังธรรมขณะนี้ เป็นสติที่ระลึกว่า ชีวิตของเราน้อย ทุกอย่าง เกิดมาแล้วเอาไปไม่ได้เลย นอกจากทำให้ติดในสิ่งนั้นเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น แทนที่จะไปเพลิดเพลิน ไปดูโทรทัศน์ ไปอ่านหนังสืออะไรต่างๆ มาฟังเรื่องความจริงว่า ในโลกนี้ ในชีวิตนี้ จะสามารถรู้อะไรที่เป็นของจริงของแท้ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน และเป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงเพราะว่า ทรงตรัสรู้ความจริงว่า เป็นอย่างนี้ ขณะนี้เป็นสติที่ทำให้มานั่งฟังธรรม ไม่มีตัวตนเลย บางครั้งเป็นกุศล บางครั้งเป็นอกุศล เป็นจิตประเภทต่างๆ ขณะที่สติเกิดจะต้องเป็นไปในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ คือ หนทางของบุญมี ๑๐ อย่าง ย่อลงไปเป็น ๓ คือ ทาน ศีล และการอบรมที่ใช้คำว่า ภาวนา ที่ใช้คำว่า ภาวนา นี้ไม่ใช่ไปนั่งท่อง ภาวนา คือ การทำให้เกิดสิ่งซึ่งยังไม่เกิด และสิ่งที่เกิดแล้วทำให้มีเพิ่มขึ้น หมายความว่า ทั้งสติปัญญา ทั้งความรู้ต่างๆ ซึ่งไม่เคยมี เพราะฉะนั้น อบรม คือ ภาวนา ให้ค่อยๆ มีขึ้น ให้ค่อยๆ เพิ่มขึ้น เจริญขึ้น นี้คือ ความหมายของภาวนา เพราะฉะนั้น การฟังธรรมในขณะนี้ คือ เบื้องต้นของภาวนา ถ้าไม่มีการฟังให้เข้าใจแล้ว การอบรมจิตใจมีไม่ได้ ก็จะไปหลงนั่งทำอะไรไม่ทราบ ซึ่งไม่ใช่เป็นการรู้ลักษณะของสภาพธรรม ปัญญาก็ไม่เกิด เพราะฉะนั้น จิตเป็นสภาพรู้ ไม่ต้องใช้คำว่า ตาม และสติต้องเป็นกุศลธรรมหรือโสภณะ หมายความถึง ธรรมที่ดีงามฝ่ายเดียว สติเป็นอกุศลไม่ได้ ต้องเป็นกุศล หรือว่า เป็นสภาพธรรมที่ดีงาม ถ้ามีใครกำลังเดินข้ามถนน รถไม่ทับ หลบหลีกงูตามถนน หรืออะไรก็แล้วแต่ ขณะนั้น ไม่ใช่สติเลย เป็นสมาธิ เป็นความตั้งใจ แน่วแน่ที่จะหลบเลี่ยง เพราะว่า สมาธินี้เป็นมิจฉาสมาธิก็ได้ เป็นสัมมาสมาธิก็ได้ คือ เป็นได้ทั้งฝ่ายกุศลและอกุศล แต่ถ้าเป็นสติต้องเป็นฝ่ายดีอย่างเดียว เป็นอกุศลไม่ได้ กำลังเอื้อมมือไปหยิบขนม เป็นสติหรือเปล่า

ถ. เป็นจิต

ส. จิตแน่นอน

ถ. ……

ส. เพราะฉะนั้น เป็นโลภมูลจิต เป็นจิตซึ่งมีโลภะความต้องการหรือความติดข้องเกิดร่วมด้วย

ถ. ………… เวลาที่ผมด่าคน คือจิตหรือเปล่า

ส. จิต  รูปด่าไม่ได้ รูปไม่รู้อะไรเลย ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า จะสูง ต่ำ ดำ ขาว อย่างไรก็ตาม รูปไม่รู้ จะมีแขน ไม่มีแขน จะขาหายไป หรืออะไรก็ตาม ผมจะยาว จะสั้น

ถ. ………ไม่สบายใจ

ส. จิตหมดเลย จิตทั้งหมด รูปไม่รู้อะไรเลย รูปไม่เห็นอะไรเลย รูปนี้กับรูปนี้เหมือนกัน อ่อนแข็งเหมือนกัน ไม่รู้อะไร ไม่เห็นอะไร แต่ว่า ที่เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เพราะมีจิตกับรูปเกิดร่วมกัน นกมีจิตกับรูปเกิดร่วมกัน เทวดามีจิตกับรูปเกิดร่วมกัน มนุษย์มีจิตกับรูปร่วมกัน แต่พวกโต๊ะ เก้าอี้ มีแต่รูปไม่มีจิต เพราะว่า ไม่เห็น ไม่ได้ยินใช่ไหม ลักษณะที่เห็น ที่ได้ยิน จิตเป็นสภาพรู้ เป็นอาการรู้ ซึ้งรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ

ถ. ถามอาจารย์ คือ บางครั้ง ที่เราดุคนสักคน หรือว่าใครสักคนในสายงานก็ดี หรืออะไรก็ดี แต่เราไม่โกรธ แต่เราต้องเตือน ต้องว่าหรืออะไร นี้เป็นไปได้ไหมที่จิตเรา จิต คือ ตัวของเราเฉยๆ

ส. เราอาจจะว่าเราเฉยๆ แต่ความจริง เราต้องมีความขุ่นเคือง ขุ่นใจนิดหนึ่ง

ถ. ไม่ใช่ว่า ขุ่นเคือง แต่หมายความว่า เขาอาจจะทำผิดแล้วบอกเขาว่า นี้ผิด

ส. เข้าใจ

ถ. แต่จิตมันเฉยๆ หมายความว่า ความจริงเสียงอาจจะดัง กริยาดูเหมือนจะอย่างนั้น แต่จริงๆ แล้วจิตเราเฉยๆ

ส. ความจริงจิตเกิดดับเร็วมาก และสลับกันด้วย เพราะฉะนั้น ต้องอาศัยสติสัมปชัญญะ ความรู้สึกตัวจริงๆ ที่จะรู้ลักษณะของจิตซึ่งเกิดดับเร็ว วิธีที่จะรู้ว่า เป็นโทสะหรือไม่ใช่โทสะ เพราะว่าภาษาไทย เราใช้คำภาษาบาลีตามใจชอบ หรือตามที่เราเคยได้ยิน ได้ฟัง มาตั้งแต่เด็ก พอใช้คำว่า โทสะ เรารู้สึกว่า ต้องแรงมาก ต้องมีอาการดุร้ายขึ้นมา พวกนั้นเป็นเจ้าโทสะ แต่คำว่า โทสะ เป็นสภาพของธรรมชนิดหนึ่งซึ่งเกิดกับจิต สภาพธรรมอื่นที่ไม่ใช่จิตแต่เกิดกับจิต สภาพธรรมนั้นเราเรียกว่า เจตสิก

ถ. ………

ส. เจตสิก เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่า สภาพธรรมอื่นที่ไม่ใช่จิตและเกิดกับจิต เป็นเจตสิกทั้งหมด เหมือนกับโทสะที่แรง เราเห็น จิตบางครั้งไม่เกิดโทสะ บางครั้งเกิดโทสะ เพราะฉะนั้น แล้วแต่ว่า เจตสิกประเภทใดจะเกิดกับจิตในขณะนั้น ถ้าขณะนั้น โทสะเจตสิกเกิดกับจิต อาการของจิตนั้นจะเป็นโทสะเจตสิก เติมคำว่า มูล แปลว่า เหตุ เพราะฉะนั้น จิตนั้นมีโทสะเป็นมูลหรือเป็นเหตุเกิดร่วมกัน จึงทำให้สภาพของจิต หยาบกระด้างเพราะมีเจตสิกชนิดนั้นเกิดร่วมด้วย ธรรมดาจิตเป็นแต่เพียงสภาพรู้ อาการเห็น อาการได้ยิน แต่เวลาที่มีเจตสิกที่ไม่ดีเกิดร่วมด้วย จิตขณะนั้นเป็นอกุศลจิตทันที ตามเจตสิกที่ไม่ดีที่เกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้น เวลาที่ขุ่นใจ เวลาที่เห็นฝุ่นในบ้านนิดเดียวที่โทรศัพท์ เป็นอย่างไร สบายไหม ถ้าเห็นเป็นฝุ่น รู้สึกขุ่นนิดๆ ตามจำนวนของฝุ่นใช่ไหม ถ้าฝุ่นนิดเดียวโทสะก็น้อยเพราะฝุ่นน้อย แต่ถ้าฝุ่นมากก็คิดดูว่า โทสะบังคับไม่ได้ เป็นอนัตตา ทันทีที่เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ โทสะเกิด ทันทีที่ได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ โทสะเกิด ทันทีที่ได้กลิ่นที่ไม่น่าพอใจ โทสะเกิด เพราะว่า เป็นธรรมชาติหรือธรรมดาว่า เมื่ออารมณ์หรือสิ่งที่กำลังปรากฏนั้นไม่น่าพอใจ จะมาดัดจิตใจให้เกิดชอบ เกิดติดข้อง เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่า ความรู้สึกไม่สบายใจนิดเดียว น้อยที่สุดขณะนั้นเป็นโทสะแล้ว ที่ถามว่า ดุคนหรือติเตียนคนในสายงานแล้วใจเฉยๆ ต้องเป็นคนที่ละเอียดเพิ่มขึ้นที่จะรู้ว่า เฉยแบบไหน แบบไม่แสดงออกไป แต่ใจก็ยังไม่พอใจในผลงานนั้น ถ้ามีความไม่พอใจในผลงาน ขณะนั้นความไม่พอใจ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่ใคร แต่เป็นธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้นและทำหน้าที่นั้น เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ต้องมีความขุ่นใจ ไม่พอใจ จะน้อย จะมากก็ตามแต่ เพราะว่า คนที่จะไม่มีโทสะ หรือความขุ่นเคืองใจเลย ต้องเป็นพระอริยบุคคล ขั้นพระอนาคามีบุคคลซึ่งอีกขั้นเดียวจะเป็นพระอรหันต์

ถ. ถ้าเกิดดีใจ ดีใจเป็นโทสะไหม

ส. ไม่ เป็นโสมนัสสะ เป็นความรู้สึกที่บอกว่า โสมนัส โสมนัสนี้ คือ ดีใจ ภาษาบาลีกับภาษาไทยเท่านั้นเอง

ถ. ถ้าเสียใจ

ส. ถ้าเสียใจก็โทมนัส โทมนัสมาจากคำว่า ทุ กับคำว่า มนัส เพราะคำว่า จิต ในภาษาไทย รวยภาษาบาลีเหมือนกัน คือ ภาษาบาลีมีกี่คำ เอามาใช้หมดเลยใช่ไหม คำว่า หทัย แปลว่า ใจ คำว่า มโน แปลว่า ใจ คำว่า มนัส แปลว่า ใจ ในภาษาบาลีมีกี่คำ ภาษาไทยใช้หมด เพราะฉะนั้น มนัส แปลว่า ใจ ถ้า สุ แปลว่า ดี มนัส แปลว่า ใจ เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นที่ใจดี สบายเป็นโสมนัส สุ กับ มนัส ภาษาบาลีรวมกันแล้วแปลงเป็นสระโอ เป็นโสมนัส มาจากสุกับมนัส โสมนัสเป็นความรู้สึก ความรู้สึกนี้ไม่ใช่จิต ความรู้สึกเป็นเจตสิก เพราะฉะนั้น วันนี้จะแยกจิตกับเจตสิกออกจากกันให้รู้ว่า ขณะใดที่จิตเกิด ขณะนั้นต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย และจะได้ดูว่า อะไรบ้างเป็นเจตสิก จิตเป็นสภาพที่รู้อย่างเดียว คือ เห็น หรือได้ยิน หรือคิด นอกจากนั้นเป็นเจตสิกทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ความดีใจ สบายใจเป็นเจตสิก ความเสียใจ ความไม่ชอบใจเป็นเจตสิก ความขุ่นเคืองใจก็เป็นเจตสิก ความติดข้อง ความรัก จะรักลูก รักเพื่อน รักอะไร รักประเทศชาติก็เป็นเจตสิกเหมือนกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่