สวัสดีครับผมมมม วันนี้เราจะมาประเดิมกระทู้แรกด้วยการรีวิวประสบการณ์ Fine Dining ที่ร้านอาหาร Bawarchi Restaurant นะครับผม ต้องบอกก่อนเลยว่าร้านอาหารร้านนี้เป็นร้านอาหารอินเดียนะครับ โดยส่วนตัวเราก็ค่อนข้างชอบอาหารอินเดียอยู่แล้วด้วย เลยจะมารีวิวให้เผื่อเป็นลายแทงสำหรับใครที่อยากกินอาหารอินเดียนะครับผม
ส่วนตัวเราคิดว่าอาหารคือส่วนสำคัญของวัฒนธรรมของแต่ละประเทศนั้นๆ ที่มาของอาหารแต่ละเมนูมันก็จะแตกต่างกันออกไป บางจานนี่ถูกคิดค้นมาด้วยความผิดพลาดในสูตรของอาหารอีกจานหนึ่งก็มี เราก็เลยจะมาให้เกร็ดความรู้ความเป็นมาคร่าวๆของอาหารแต่ละจานที่เราไปลองด้วย
เริ่มเลยคือตัวบรรยากาศของร้านอาหารเนี่ยอินเดียมากๆ ทั้งเพลงที่เปิด ทั้งลูกค้าที่ไปกินก็มีแต่คนอินเดียซะเป็นส่วนใหญ่เลย เราไปแอบฟังที่เค้าพูดมา เค้าพูดฮินดี้กันเกือบทุกโต๊ะเลยนะ55555 แล้วสตาฟเกือบทุกคนในร้านก็พูดไทยไม่ได้นะเออ เราถามเค้าว่ามีใครพูดไทยได้ไหม เค้าก็ตอบว่ามีนะคนนึง แต่คงไม่ได้เจออะเพราะว่าคนมันเยอะ5555 ฉะนั้นภาษาทางการที่ใช้ในร้านคือภาษาอังกฤษนะครับผมมม
มาถึงการสั่งอาหาร เราสั่ง Tester Menu ไปนะครับ คือเราจะได้อย่างละชิ้น แต่บอกเลยว่าอิ่มมากกกก นี่คือเมนูที่เราสั่ง ราคา1,800 บาทนะ
แนะนำเลยให้มากินกัน3คนขึ้นไปถ้าจะกินเมนูนี้ แรกๆจะมาชิ้นสองชิ้น แต่ไปเรื่อยๆมันจะเริ่มเยอะแล้ว55555 แล้วก็สำหรับใครที่อยากกินแบบ A la carte ที่นี่ก็มีให้สั่งแบบปกตินะครับ ราคาก็จะอยู่ที่จานละ100บาท++
เค้าจะมีอาหารแจกฟรีให้1ชุดนะครับ แล้วอันนี้เราจะเติมเท่าไหร่ก็ได้นะ
อันนี้ให้ 3/5
อันนี้คือจะเป็นแป้งทอดกรอบที่เค็มมากๆ ให้กินกับซอส4อย่างนะครับ
อันสีเขียวคือซอสเปปเปอร์มิ้นท์:รู้สึกเหมือนถูกตบหน้าด้วยความสดชื่นอะ มันตื่นเลย มีความเผ็ดกับออกเปรี้ยวนิดๆ
อันสีขาวคือซอสกระเทียมกับครีม : อันนี้รสจะนุ่มๆเหมือนเรากินนมแต่มีกลิ่นกระเทียมอะ
อันสีเหลืองคือซอสฟักทอง : มันรสแบบฟักทองหวานๆละเผ็ดด้วย แปลกใหม่ดี555
อันสีน้ำตาลคือ Chutney : อันนี้เราว่าเข้ากับตัวแป้งทอดสุดละ เพราะมันคือฟีลแบบแยมแอปเปิ้ลอะ ตัดเค็มได้ ดีงามครับอันนี้
---ที่มาของพวกซอสเหล่านี้ก็คือจะเป็นซอสพื้นเมืองของอินเดียที่คนนิยมกินกับแป้งทอดกรอบอันนี้
มาถึงAppetizerจานแรก มีชื่อว่า Mushroom Tandoori เสิร์ฟพร้อมบีทรูทจ้า เอาไป 4/5
อันนี้เป็นเห็ดที่ทาทับด้วยซอสTandooriอะ ตัวซอสมันคือโยเกิร์ตผสมกับเครื่องเทศ รสชาติคืออร่อยมาก ประทับใจอันนี้ รสจะมีความเปรี้ยวของโยเกิร์ต(นึกถึงแบบGreek Yogurtงี้) ผสมกับความหอมของเครื่องเทศและมีการใส่ชีสเยิ้มๆลงไปด้วย แต่ถ้ากินคนเดียวก็มีแอบเลี่ยนเหมือนกันนะ
---ที่มาของตัวซอสTandoori เนี่ยจะมีมาตั้งแต่สมัยอารยธรรมฮารัปปาเมื่อ3,000ปีก่อนคริสต์ศักราชแล้ว เกิดขึ้นแถวภูมิภาคปัญจาบ มันจะอยู่แถวๆตะวันออกของปากีสถานกับภาคเหนือของอินเดีย ก็คือแถบแคชเมียร์ในจังหวัดชัมมูที่ตอนนี้สองประเทศกำลังทะเลาะแย่งกันอยู่นั่นเอง
จานที่สองคือ Ajwani Mahi Tikka หรือปลาแซลมอนทันดูรี เอาไป3/5
มันคือแซลมอนอบกับซอสเดียวกับที่ทาเห็ดอะ แซลมอนพออบแล้วมันจะแห้งๆหน่อย รสจะมีความเปรี้ยวของตัวซอส แล้วก็ความเค็มของตัวแซลมอน เรามีทริคแนะนำนะ คือลองเอาไปจิ้มกับซอสChutneyที่เค้าให้มาตอนแรกอะ โอโหแบบอย่างฟิน คือความหวานรวมกับเปรี้ยวนิดๆมันดีงามมั่ก(ถ้าจิ้มงี้3.5ไปเลยย)
---อันนี้ที่มาของซอสก็คือเหมือนอันข้างบนเนอะ แต่เพิ่งเอาแซลมอนมาเป็นวัตถุดิบหลักเมื่อไม่นานมานี้ในช่วงที่แซลมอนมันบูมขึ้นมา
จานที่สามคือ Tandoori Jhinga หรือกุ้งย่างเคลือบมัสตาร์ดกับเครื่องเทศ เอาไป3/5
รสมันเหมือนกุ้งผัดผงกะหรี่เลย แต่กลิ่นเครื่องเทศจะแรงกว่าหน่อย ตอนแรกเราก็ตกใจที่เห็นกุ่งตัวเดียวนะ แต่มันคือเทสเตอร์เมนูอะเราก็เลยถึงบางอ้อว่ามันจะให้มาเทสต์เฉยๆ5555 แต่กุ้งตัวใหญ่ดีนะ เราประทับใจเนื้อกุ้ง
---ที่มาของอันนี้ก็คือเหมือนกับสองอันข้างบน แต่การเอากุ้งมาใช้เป็นวัตถุดิบหลักก็จะเกิดมานานกว่าการใช้แซลมอนนะ ส่วนใหญ่จะถูกดัดแปลงโดยชาวบ้านที่อยู่ติดชายฝั่งทะเล
จานที่4คือ Achari Murgh Tikka หรือไก่ไม่มีกระดูก เอาไป4/5
หน้าตาดูดีทีเดียวเลย เนื้อไก่ก็ชุ่มฉ่ำดี5555 ไก่มันคือแบบวัตถุดิบที่โคตรเข้ากับซอสนี้เลย มันคือซอสเดียวกับเจ้าเห็ดจานแรกนั่นแหละ แต่จะครีมไม่เยอะเท่าเพราะหมักแค่เฉพาะเครื่องเทศ กินอันนี้แล้วเราค่อนข้างประทับใจ
---อันนี้เป็นอาหารพื้นเมืองของอินเดียเลย แต่คำว่า Tikka มาจากภาษาตุรกีซึ่งแปลว่าเป็นชิ้นๆ เพราะอันนี้คือเป็นไก่ชิ้นๆที่ไม่มีกระดูก ซึ่งพนักงานเค้าก็บอกว่าอันนี้เป็นไก่ฉบับแคชเมียร์ ซึ่งแบบแคชเมียร์มันจะใช้การย่างแทนการอบ แล้วก็มีเครื่องเทศที่ต่างกับแบบอื่น
จานที่5คือ Elaichidaar Mushroom Shorba หรือซุปครีมเห็ด เอาไป 4.5/5เลยเราชอบ
มันคือซุปครีมเห็ดใช่ปะ เราเลยกะจะเอาซุปเห็ดจากซิสเลอร์เป็นบรรทัดฐานการให้คะแนน กินไปคำแรกปุ๊ปหวานมาก! จริงๆคือมันต้องคนก่อนให้เข้ากัน55555 แต่พอคนกันแล้วมันไม่หวานเวอร์แล้ว มันจะมีความมันๆแล้วรสนมๆครีมๆ กลายเป็นว่ากลิ่นนมของครีมซุปเนี่ยมันเตะจมูกนำขึ้นมาเลย ด้วยความที่เราเป็นคนชอบกินนมอยู่แล้ว อันนี้เลยได้ใจเราไป สรุปคือรสชาติต่างกับซิสเลอร์โดยสิ้นเชิง ต้องลองไปชิมอันนี้!
---ที่มาของมันคือมันเป็นเมนูของคนอิตาลีกับฝรั่งเศสมาหลายร้อยปีแล้ว จนมันมาบูมมากๆเพราะ Campbell เอามาทำเป็นซุปกระป๋องนั่นเองงง
ถึงจุดๆนี้ขอบอกเลยว่าเริ่มรู้สึกอิ่มขึ้นมานิดหน่อยแล้ว...แต่เค้าเดินมาบอกว่าเพิ่งกำลังจะเริ่มเมนคอร์ส แต่ไม่เป็นไร ตอนนี้ยังกำลังใจดีอยู่
ก่อนเสิร์ฟพนักงานเค้าก็บอกว่าให้ใช้มือกินเลย มันคือวิธีกินแบบนี้ เราเลยหันไปดูคนอื่น...เออจริง ใช้มือกินกันหมดเลย มีเขินเล็กน้อยแต่เดี๋ยวก็ชิน5555
งั้นมาต่อกันเลยกับเมนคอร์สจานแรก คือ Butter Chicken เอาไป3.5/5
(เรากำลังตื่นเต้นตอนเค้ามาเสิร์ฟเลยลืมถ่ายรูป ขอโทษษษษ)
เจ้าตัวแกงเนี่ยมันจะออกหวานๆนมๆนิดนึง แล้วมีกลิ่นเครื่องเทศที่เราว่ามันไปด้วยกันได้ อันนี้มันกำเนิดมาจากช่วง 1950 ในเมืองเดลีนะ คนคิดเมนูแกเป็นผู้ต้องหาทางการเมือง เลยหนีมาเปิดร้านอาหารที่เมืองนี้
อันนี้เป็นแป้งโรตีกับแป้งนาน เอาไว้กินกับเหล่าแกงทั้งหลาย แป้งนานมันจะนุ่มๆเหนียวๆนะ ส่วนโรตีก็กรอบๆ จิ้มกันแล้วแต่คนชอบเลย
---แป้งนานเนี่ยมันนานจริงๆนะ55555 คือมันมีมาตั้งแต่คศ.1,300แล้ว ส่วนเจ้าโรตีนี่เกิดขึ้นก่อนนานเป็นพันปีเลย ตั้งแต่สมัย3,000ปีก่อนคริสต์ศักราชและเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุเลยทีเดียว
เมนคอร์สจานที่2คือ Rogan Josh เอาไป5/5เลย
อันนี้คือเราว่าเป็นไฮไลต์ของงานเลยอะ เนื้อแกะมันนุ่มแบบ นุ่มมากกกกกก ละลายในปากกันเลยทีเดียว ส่วนตัวน้ำแกงเนี่ยมันก็จะไม่หวาน จะมีความแกงฮังเลที่เหมือนพ่อครัวทำเครื่องเทศหกใส่อะ มันเลยหอมมาก นิ่งตอนนั้นคืออิ่มมากแล้วตาลายอยู่ มากินอันนี้ก็คือตื่นเลย สดชื่น55555
---ส่วนที่มาของจานนี้คือ จริงๆแล้วเนื้อแกะคือวัตถุดิบที่เอามาแทนเนื้อวัวของคนอินเดียที่อเมริกา เพราะวัวเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าเป็นที่อินเดียแท้ๆแล้วเค้าจะกินเนื้อแพะกันนะ สรุปว่าจานนี้ก็คือเพิ่งเกิดช่วงที่คนอินเดียย้ายไปอยู่อเมริกาเยอะๆ
เมนคอร์สจานที่3คือ Indian Risotto เอาไป4/5
มันคือข้าวคล้ายๆข้าวหมก กลิ่นคล้ายกันเลย แต่แกงคือButter Chickenอันเดียวกับเมนคอร์สจานแรกนะ เราว่ากินกับข้าวหมกอันนี้อร่อยกว่ากินกับพวกแป้งนานกับโรตี เพราะว่าข้าวมันหอมกว่า
---ที่มาของจานนี้คือมันก็ดัดแปลงมาจากRisotto ของอิตาลีเป็นอาหารฟิวชั่นยุคโมเดิร์น
พอเรากินเมนคอร์สเสร็จแล้ว ตอนนั้นคือสติไม่อยู่กับตัวแล้ว อิ่มมาก กินไม่หมดด้วย(ถ้ายายเราเห็นคงตีเราตายแล้ว55555) พอเราบอกเค้าว่าเรียบร้อยแล้วเค้าจะเอาน้ำอุ่นใส่มะนาวมาให้เราล้างมือ เหมือนตอนที่เราไปกินอาหารทะเลอะไรแบบนั้น
ต่อด้วยขนมอีก!!
มีขนมชื่อว่า Gulab Jamun หรือมันคือกุหลาบรัมที่ปั่นเป็นก้อนๆ เสิร์ฟอุ่นๆ
อันนี้คือขนมพื้นเมืองของอินเดียเลย มันเป็นนมที่เอาไปผ่านกระบวนการจนมันกลายเป็นแป้งโด แล้วผสมกับน้ำเชื่อม คือหวานเจี๊ยบตัดเลี่ยนกับเมนคอร์สเมื่อกี้ได้ดีมากมาย เอาไป3.5/5
---ที่มาของมันคือเกิดในช่วงยุคกลางโดยถูกเอามาดัดแปลงจากขนมของตุรกีที่ตอนนั้นบุกมายึดอินเดีย
อีกอย่างคือ Ras Malai
มันเป็นก้อนนมที่เสิร์ฟเย็นๆ แล้วมันอร่อยมากกกกก คือจะเป็นรสคล้ายๆนมหวานถุงเขียวๆที่เคยกินตอนเด็กๆ แต่อันนี้มันเคี้ยวได้! ไม่หวานมากกำลังดีเลย ถ้าใครชอบกินนม ขนมอินเดียอันนี้คือยืนหนึ่ง เอาไป5/5
---ประวัติมันก็คือเกิดแถบอ่าวเบงกอลประมาณปี1,800 มันคือการแปลงรูปนมให้เป็นขนมหวานที่มีความสดชื่น
โอเคคค จบกันไปแล้วสำหรับกระทู้รีวิวแรกของเรา ถ้าใครอ่านมาจนถึงตอนนี้เราก็ขอขอบคุณมากนะครับ สำหรับใครที่อ่านแล้วสนใจร้านนี้ พิกัดจะอยู่ที่ชั้น G โรงแรม Intercontinental ชิดลมนะครับผมมม คือเดินออกจากบีทีเอสมาทางสถายวอล์คแล้วก็เลี้ยวขวาเข้าไปเลย
[CR] ประสบการณ์ Fine Dining ณ ร้านอาหารอินเดีย!
ส่วนตัวเราคิดว่าอาหารคือส่วนสำคัญของวัฒนธรรมของแต่ละประเทศนั้นๆ ที่มาของอาหารแต่ละเมนูมันก็จะแตกต่างกันออกไป บางจานนี่ถูกคิดค้นมาด้วยความผิดพลาดในสูตรของอาหารอีกจานหนึ่งก็มี เราก็เลยจะมาให้เกร็ดความรู้ความเป็นมาคร่าวๆของอาหารแต่ละจานที่เราไปลองด้วย
เริ่มเลยคือตัวบรรยากาศของร้านอาหารเนี่ยอินเดียมากๆ ทั้งเพลงที่เปิด ทั้งลูกค้าที่ไปกินก็มีแต่คนอินเดียซะเป็นส่วนใหญ่เลย เราไปแอบฟังที่เค้าพูดมา เค้าพูดฮินดี้กันเกือบทุกโต๊ะเลยนะ55555 แล้วสตาฟเกือบทุกคนในร้านก็พูดไทยไม่ได้นะเออ เราถามเค้าว่ามีใครพูดไทยได้ไหม เค้าก็ตอบว่ามีนะคนนึง แต่คงไม่ได้เจออะเพราะว่าคนมันเยอะ5555 ฉะนั้นภาษาทางการที่ใช้ในร้านคือภาษาอังกฤษนะครับผมมม
มาถึงการสั่งอาหาร เราสั่ง Tester Menu ไปนะครับ คือเราจะได้อย่างละชิ้น แต่บอกเลยว่าอิ่มมากกกก นี่คือเมนูที่เราสั่ง ราคา1,800 บาทนะ
แนะนำเลยให้มากินกัน3คนขึ้นไปถ้าจะกินเมนูนี้ แรกๆจะมาชิ้นสองชิ้น แต่ไปเรื่อยๆมันจะเริ่มเยอะแล้ว55555 แล้วก็สำหรับใครที่อยากกินแบบ A la carte ที่นี่ก็มีให้สั่งแบบปกตินะครับ ราคาก็จะอยู่ที่จานละ100บาท++
เค้าจะมีอาหารแจกฟรีให้1ชุดนะครับ แล้วอันนี้เราจะเติมเท่าไหร่ก็ได้นะ
อันนี้ให้ 3/5
อันนี้คือจะเป็นแป้งทอดกรอบที่เค็มมากๆ ให้กินกับซอส4อย่างนะครับ
อันสีเขียวคือซอสเปปเปอร์มิ้นท์:รู้สึกเหมือนถูกตบหน้าด้วยความสดชื่นอะ มันตื่นเลย มีความเผ็ดกับออกเปรี้ยวนิดๆ
อันสีขาวคือซอสกระเทียมกับครีม : อันนี้รสจะนุ่มๆเหมือนเรากินนมแต่มีกลิ่นกระเทียมอะ
อันสีเหลืองคือซอสฟักทอง : มันรสแบบฟักทองหวานๆละเผ็ดด้วย แปลกใหม่ดี555
อันสีน้ำตาลคือ Chutney : อันนี้เราว่าเข้ากับตัวแป้งทอดสุดละ เพราะมันคือฟีลแบบแยมแอปเปิ้ลอะ ตัดเค็มได้ ดีงามครับอันนี้
---ที่มาของพวกซอสเหล่านี้ก็คือจะเป็นซอสพื้นเมืองของอินเดียที่คนนิยมกินกับแป้งทอดกรอบอันนี้
มาถึงAppetizerจานแรก มีชื่อว่า Mushroom Tandoori เสิร์ฟพร้อมบีทรูทจ้า เอาไป 4/5
อันนี้เป็นเห็ดที่ทาทับด้วยซอสTandooriอะ ตัวซอสมันคือโยเกิร์ตผสมกับเครื่องเทศ รสชาติคืออร่อยมาก ประทับใจอันนี้ รสจะมีความเปรี้ยวของโยเกิร์ต(นึกถึงแบบGreek Yogurtงี้) ผสมกับความหอมของเครื่องเทศและมีการใส่ชีสเยิ้มๆลงไปด้วย แต่ถ้ากินคนเดียวก็มีแอบเลี่ยนเหมือนกันนะ
---ที่มาของตัวซอสTandoori เนี่ยจะมีมาตั้งแต่สมัยอารยธรรมฮารัปปาเมื่อ3,000ปีก่อนคริสต์ศักราชแล้ว เกิดขึ้นแถวภูมิภาคปัญจาบ มันจะอยู่แถวๆตะวันออกของปากีสถานกับภาคเหนือของอินเดีย ก็คือแถบแคชเมียร์ในจังหวัดชัมมูที่ตอนนี้สองประเทศกำลังทะเลาะแย่งกันอยู่นั่นเอง
จานที่สองคือ Ajwani Mahi Tikka หรือปลาแซลมอนทันดูรี เอาไป3/5
มันคือแซลมอนอบกับซอสเดียวกับที่ทาเห็ดอะ แซลมอนพออบแล้วมันจะแห้งๆหน่อย รสจะมีความเปรี้ยวของตัวซอส แล้วก็ความเค็มของตัวแซลมอน เรามีทริคแนะนำนะ คือลองเอาไปจิ้มกับซอสChutneyที่เค้าให้มาตอนแรกอะ โอโหแบบอย่างฟิน คือความหวานรวมกับเปรี้ยวนิดๆมันดีงามมั่ก(ถ้าจิ้มงี้3.5ไปเลยย)
---อันนี้ที่มาของซอสก็คือเหมือนอันข้างบนเนอะ แต่เพิ่งเอาแซลมอนมาเป็นวัตถุดิบหลักเมื่อไม่นานมานี้ในช่วงที่แซลมอนมันบูมขึ้นมา
จานที่สามคือ Tandoori Jhinga หรือกุ้งย่างเคลือบมัสตาร์ดกับเครื่องเทศ เอาไป3/5
รสมันเหมือนกุ้งผัดผงกะหรี่เลย แต่กลิ่นเครื่องเทศจะแรงกว่าหน่อย ตอนแรกเราก็ตกใจที่เห็นกุ่งตัวเดียวนะ แต่มันคือเทสเตอร์เมนูอะเราก็เลยถึงบางอ้อว่ามันจะให้มาเทสต์เฉยๆ5555 แต่กุ้งตัวใหญ่ดีนะ เราประทับใจเนื้อกุ้ง
---ที่มาของอันนี้ก็คือเหมือนกับสองอันข้างบน แต่การเอากุ้งมาใช้เป็นวัตถุดิบหลักก็จะเกิดมานานกว่าการใช้แซลมอนนะ ส่วนใหญ่จะถูกดัดแปลงโดยชาวบ้านที่อยู่ติดชายฝั่งทะเล
จานที่4คือ Achari Murgh Tikka หรือไก่ไม่มีกระดูก เอาไป4/5
หน้าตาดูดีทีเดียวเลย เนื้อไก่ก็ชุ่มฉ่ำดี5555 ไก่มันคือแบบวัตถุดิบที่โคตรเข้ากับซอสนี้เลย มันคือซอสเดียวกับเจ้าเห็ดจานแรกนั่นแหละ แต่จะครีมไม่เยอะเท่าเพราะหมักแค่เฉพาะเครื่องเทศ กินอันนี้แล้วเราค่อนข้างประทับใจ
---อันนี้เป็นอาหารพื้นเมืองของอินเดียเลย แต่คำว่า Tikka มาจากภาษาตุรกีซึ่งแปลว่าเป็นชิ้นๆ เพราะอันนี้คือเป็นไก่ชิ้นๆที่ไม่มีกระดูก ซึ่งพนักงานเค้าก็บอกว่าอันนี้เป็นไก่ฉบับแคชเมียร์ ซึ่งแบบแคชเมียร์มันจะใช้การย่างแทนการอบ แล้วก็มีเครื่องเทศที่ต่างกับแบบอื่น
จานที่5คือ Elaichidaar Mushroom Shorba หรือซุปครีมเห็ด เอาไป 4.5/5เลยเราชอบ
มันคือซุปครีมเห็ดใช่ปะ เราเลยกะจะเอาซุปเห็ดจากซิสเลอร์เป็นบรรทัดฐานการให้คะแนน กินไปคำแรกปุ๊ปหวานมาก! จริงๆคือมันต้องคนก่อนให้เข้ากัน55555 แต่พอคนกันแล้วมันไม่หวานเวอร์แล้ว มันจะมีความมันๆแล้วรสนมๆครีมๆ กลายเป็นว่ากลิ่นนมของครีมซุปเนี่ยมันเตะจมูกนำขึ้นมาเลย ด้วยความที่เราเป็นคนชอบกินนมอยู่แล้ว อันนี้เลยได้ใจเราไป สรุปคือรสชาติต่างกับซิสเลอร์โดยสิ้นเชิง ต้องลองไปชิมอันนี้!
---ที่มาของมันคือมันเป็นเมนูของคนอิตาลีกับฝรั่งเศสมาหลายร้อยปีแล้ว จนมันมาบูมมากๆเพราะ Campbell เอามาทำเป็นซุปกระป๋องนั่นเองงง
ถึงจุดๆนี้ขอบอกเลยว่าเริ่มรู้สึกอิ่มขึ้นมานิดหน่อยแล้ว...แต่เค้าเดินมาบอกว่าเพิ่งกำลังจะเริ่มเมนคอร์ส แต่ไม่เป็นไร ตอนนี้ยังกำลังใจดีอยู่
ก่อนเสิร์ฟพนักงานเค้าก็บอกว่าให้ใช้มือกินเลย มันคือวิธีกินแบบนี้ เราเลยหันไปดูคนอื่น...เออจริง ใช้มือกินกันหมดเลย มีเขินเล็กน้อยแต่เดี๋ยวก็ชิน5555
งั้นมาต่อกันเลยกับเมนคอร์สจานแรก คือ Butter Chicken เอาไป3.5/5
(เรากำลังตื่นเต้นตอนเค้ามาเสิร์ฟเลยลืมถ่ายรูป ขอโทษษษษ)
เจ้าตัวแกงเนี่ยมันจะออกหวานๆนมๆนิดนึง แล้วมีกลิ่นเครื่องเทศที่เราว่ามันไปด้วยกันได้ อันนี้มันกำเนิดมาจากช่วง 1950 ในเมืองเดลีนะ คนคิดเมนูแกเป็นผู้ต้องหาทางการเมือง เลยหนีมาเปิดร้านอาหารที่เมืองนี้
อันนี้เป็นแป้งโรตีกับแป้งนาน เอาไว้กินกับเหล่าแกงทั้งหลาย แป้งนานมันจะนุ่มๆเหนียวๆนะ ส่วนโรตีก็กรอบๆ จิ้มกันแล้วแต่คนชอบเลย
---แป้งนานเนี่ยมันนานจริงๆนะ55555 คือมันมีมาตั้งแต่คศ.1,300แล้ว ส่วนเจ้าโรตีนี่เกิดขึ้นก่อนนานเป็นพันปีเลย ตั้งแต่สมัย3,000ปีก่อนคริสต์ศักราชและเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุเลยทีเดียว
เมนคอร์สจานที่2คือ Rogan Josh เอาไป5/5เลย
อันนี้คือเราว่าเป็นไฮไลต์ของงานเลยอะ เนื้อแกะมันนุ่มแบบ นุ่มมากกกกกก ละลายในปากกันเลยทีเดียว ส่วนตัวน้ำแกงเนี่ยมันก็จะไม่หวาน จะมีความแกงฮังเลที่เหมือนพ่อครัวทำเครื่องเทศหกใส่อะ มันเลยหอมมาก นิ่งตอนนั้นคืออิ่มมากแล้วตาลายอยู่ มากินอันนี้ก็คือตื่นเลย สดชื่น55555
---ส่วนที่มาของจานนี้คือ จริงๆแล้วเนื้อแกะคือวัตถุดิบที่เอามาแทนเนื้อวัวของคนอินเดียที่อเมริกา เพราะวัวเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าเป็นที่อินเดียแท้ๆแล้วเค้าจะกินเนื้อแพะกันนะ สรุปว่าจานนี้ก็คือเพิ่งเกิดช่วงที่คนอินเดียย้ายไปอยู่อเมริกาเยอะๆ
เมนคอร์สจานที่3คือ Indian Risotto เอาไป4/5
มันคือข้าวคล้ายๆข้าวหมก กลิ่นคล้ายกันเลย แต่แกงคือButter Chickenอันเดียวกับเมนคอร์สจานแรกนะ เราว่ากินกับข้าวหมกอันนี้อร่อยกว่ากินกับพวกแป้งนานกับโรตี เพราะว่าข้าวมันหอมกว่า
---ที่มาของจานนี้คือมันก็ดัดแปลงมาจากRisotto ของอิตาลีเป็นอาหารฟิวชั่นยุคโมเดิร์น
พอเรากินเมนคอร์สเสร็จแล้ว ตอนนั้นคือสติไม่อยู่กับตัวแล้ว อิ่มมาก กินไม่หมดด้วย(ถ้ายายเราเห็นคงตีเราตายแล้ว55555) พอเราบอกเค้าว่าเรียบร้อยแล้วเค้าจะเอาน้ำอุ่นใส่มะนาวมาให้เราล้างมือ เหมือนตอนที่เราไปกินอาหารทะเลอะไรแบบนั้น
ต่อด้วยขนมอีก!!
มีขนมชื่อว่า Gulab Jamun หรือมันคือกุหลาบรัมที่ปั่นเป็นก้อนๆ เสิร์ฟอุ่นๆ
อันนี้คือขนมพื้นเมืองของอินเดียเลย มันเป็นนมที่เอาไปผ่านกระบวนการจนมันกลายเป็นแป้งโด แล้วผสมกับน้ำเชื่อม คือหวานเจี๊ยบตัดเลี่ยนกับเมนคอร์สเมื่อกี้ได้ดีมากมาย เอาไป3.5/5
---ที่มาของมันคือเกิดในช่วงยุคกลางโดยถูกเอามาดัดแปลงจากขนมของตุรกีที่ตอนนั้นบุกมายึดอินเดีย
อีกอย่างคือ Ras Malai
มันเป็นก้อนนมที่เสิร์ฟเย็นๆ แล้วมันอร่อยมากกกกก คือจะเป็นรสคล้ายๆนมหวานถุงเขียวๆที่เคยกินตอนเด็กๆ แต่อันนี้มันเคี้ยวได้! ไม่หวานมากกำลังดีเลย ถ้าใครชอบกินนม ขนมอินเดียอันนี้คือยืนหนึ่ง เอาไป5/5
---ประวัติมันก็คือเกิดแถบอ่าวเบงกอลประมาณปี1,800 มันคือการแปลงรูปนมให้เป็นขนมหวานที่มีความสดชื่น
โอเคคค จบกันไปแล้วสำหรับกระทู้รีวิวแรกของเรา ถ้าใครอ่านมาจนถึงตอนนี้เราก็ขอขอบคุณมากนะครับ สำหรับใครที่อ่านแล้วสนใจร้านนี้ พิกัดจะอยู่ที่ชั้น G โรงแรม Intercontinental ชิดลมนะครับผมมม คือเดินออกจากบีทีเอสมาทางสถายวอล์คแล้วก็เลี้ยวขวาเข้าไปเลย
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น