วันนี้เราพาน้องไปพบหมอผู้เชี่ยวชาญด้านออทิสติกเพื่อหา Second Opinion มาค่ะ
เราตั้งกระทู้ใหม่นะคะ เพื่อนๆสมาชิกจะได้อ่านได้ง่ายขึ้นค่ะ
https://ppantip.com/topic/38962981
**************************************
ลูกชายเราวัย 2 ขวบ 8 เดือนถูกวินิจฉัยว่าเป็น ASD หรือที่ทุกคนคุ้นหูกันว่า
ออทิสติกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาค่ะ
ลูกชายเราเป็นเด็กซุกซน เติบโตมามีพัฒนาการตามวัย เริ่มคว่ำได้ตอน 4 เดือน คลาน 6 เดือน จับยืนได้ตอน7เดือน เริ่มเดินตอน 11เดือน
เริ่มพูดได้ ตอน 15เดือน ทุกอย่างเป็นปกติมาโดยตลอด น้องเป็นเด็กร่าเริง เลี้ยงง่าย ไม่งอแง พูดจารู้เรื่อง ตอบสนองดี
แต่มีสิ่งนึงที่แปลกคือน้องชอบเดินเขย่งเท้า ก็ไม่ได้เอะใจอะไรเพราะน้องใช้รถหัดเดินที่หมุนรอบโต๊ะ ยอดฮิตตอน 7เดือน
ตั้งแต่นั้นมาน้องเริ่มเดินเขย่ง แต่ไม่มาก พอทักให้เดินปกติก็เดินได้
น้องอยู่บ้านย่าอีกหลังกับพี่เลี้ยง(พี่เลี้ยงคนนี้ไม่สามารถมาอยู่บ้านเราได้เพราะมีเงื่อนไขบางอย่าง)
เราและสามีจะแวะไปไปหาน้องเกือบทุกวัน ไปอ่านหนังสือช่วงเย็นให้ฟัง
วันเสาร์อาทิตย์เราไปรับน้องกลับมาบ้าน ทุกเสาร์อาทิตย์เราจะมีกิจกรรม พาลูกออกไปเที่ยวนอกบ้านทุกวัน
งานเรากับสามีค่อนข้างยุ่ง เลิกงานค่อนข้างค่ำ ที่บ้านเรามีหมาพันธุ์เล็กหลายตัว เลี้ยงมาตั้งแต่น้องยังไม่เกิด
เราเคยพยายามหาพี่เลี้ยงมาอยู่ที่บ้านหลายครั้ง ทุกครั้งก็ล้มเหลว เพราะพี่เลี้ยงที่หามา บางคนรักเด็กไม่รักหมา
บางคนรักหมา ไม่รักเด็ก บางคนไม่รักทั้งเด็กและหมา การหาพี่เลี้ยงเลยต้องล้มเลิกไป
น้องจึงจำเป็นต้องอยู่บ้านย่าเพื่อความปลอดภัย ย่ากับพี่เลี้ยงรักน้องมาก น้องเติบโตมาท่ามกลางความรักที่เต็มเปี่ยม
การเลี้ยงดูทางบ้านย่าค่อนข้างตามใจ มีการเปิด TV ให้ดู ซึ่งเราห้ามหลายรอบ แต่เหมือนไม่เป็นผล น้องเริ่มดูตอนเกือบๆ2ขวบ
แต่กว่าเราจะโวยวายให้น้องเลิกดูได้ก็แค่ 2อาทิตย์ก่อนการตรวจ
พอ 2ขวบเต็มเราพาน้องไปเรียนฝึกเข้ากลุ่มพัฒนาการด้านภาษาและสังคม เริ่มมีบางอย่างที่เราเห็นว่าไม่ปกติ
เช่นซนมาก ฃอบปีนป่าย ไม่ค่อยฟัง ต้องเรียกหลายครั้ง เวลาทำกิจกรรมกับครู บางอย่างสนใจทำ บางอย่างไม่ทำ
น้องสามารถบอกชื่อตัวเองได้ แต่พอคุณครูให้พูด น้องจะทำท่าแกล้งไม่ยอมพูด
คนรอบข้างเรามองว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะคิดว่ายังไม่ถึงวัยเค้าหรือเปล่า
เราเริ่มเหนื่อยกับการพาลูกไปทำกิจกรรม ดูท่าทีลูกไม่ได้มีพัฒนาการทางภาษาที่ดีขึ้นเท่าไหร่
น้องๆที่อยู่ใน Class เดียวกันเริ่มพูดเป็นประโยคยาวๆ ในขณะเดียวกับที่ลูกเราพูดเป็นคำๆ กับประโยคสั้นๆ
จนในที่สุด8 เดือนผ่านไป เราตัดสินใจพาน้องไปตรวจพัฒนาการเด็ก เพราะคิดว่าน้องเป็นสมาธิสั้น
เราทำการบ้านไปส่วนนึง สรุปพัฒนาการแต่ละด้านเพื่อไม่ให้ข้อใดข้อนึงหลุดไป
ทันทีที่เริ่มคุยกับหมอ หมอพูดว่าดูเรากังวลมากเราเลยเล่าอาการของน้องให้หมอฟังว่าเราไม่แน่ใจว่าลูกเราเป็น ADHD หรือเปล่า
แต่ไม่น่าใช่ ASD (คิดเองล้วนๆ)
อาการของลูกเราคือ
-ชอบเขย่งเท้า
-ไม่ค่อยสบตาเรียกไม่หัน ต้องเรียกหลายๆครั้ง
-พูดเป็นคำ เป็นวลี เหมือนถูกป้อนโปรแกรม
-พูดตามได้ แต่เสียงก็จะเป็นแบบโมโนโทน
-ความจำดีท่อง ก-ฮ A-Z นับ1-20เป็นภาษาอังกฤษ รู้จักสี รู้จักข้าวของเครื่องใช้ สัตว์เป็น100ชนิด ซึ่งบางอย่างเราจำไม่ได้ แต่น้องจำได้
-ชอบร้องเพลง น้องร้องเพลงเด็กได้หลายเพลง บางส่วนจำเนื้อไม่ได้ก็จะดำน้ำไป
-ถามตอบดี รู้ชื่อนามสกุลตัวเอง สะกดชื่อตัวเองได้
-ชอบเล่นกับเพื่อน น้องมีเพื่อนอายุ 4 ขวบ 5 ขวบ ก็เล่นกันดี(เจอกันเสาร์อาทิตย์)
-ชอบเข้าสังคม ไม่กลัวคนแปลกหน้า
-รู้จักแบ่งปันไม่หวงของ
-เล่นของเล่นตามฟังก์ชั่นที่ถูกออกแบบมา
-ชอบอ่านหนังสือมากเวลาอ่านเค้าจะนิ่งเงียบไม่ซน
-ทำตามคำสั่งได้เก็บของ ทิ้งขยะ ซื้อของจ่ายเงินเองได้
-ถอดเสื้อผ้าใส่เองได้ประมาณนึง
-อารมณ์ร่าเริง ยิ้มง่าย ไม่ชอบให้ถูกตำหนิ พอถูกตำหนิเบาๆแบบเค้าพอรับรู้ได้ก็จะเสียใจมาก
-เล่นบทบาทสมมติเป็นเล่นเป็นคุณหมอ เป็นเด็กเล็ก เป็นสัตว์
-กินยากชอบกินของไม่กี่อย่าง
-มีอาการกลัวเพิ่มขึ้นจากเด็กๆที่ไม่เคยกลัว ก็กลัว เช่นกลัวหมา กลัวการตัดเล็บ
หลังการตรวจสิ้นสุดลง หมอแจ้งว่าน้องเป็น ASD แต่เป็นน้อย แนะนำให้น้องเข้าโรงเรียนจะได้มีสังคมและไปฝึกพูด
เราเบลอไปเลยค่ะ ตอนที่หมอแจ้งอาการน้อง ไม่ได้พูดชื่อเป็นภาษาไทย พี่เลี้ยงที่เข้าไปด้วยเลยไม่เข้าใจ
เข้าใจว่าน้องไม่เป็นอะไรมาก เป็นนิดเดียว เข้ารับการฝึกก็หาย
ทันทีที่ออกจากห้องตรวจ เราเริ่มหาที่ฝึกใกล้บ้าน ซึ่งก็ต้องรอคิวเหมือนเคย ตอนนี้เราลงชื่อไว้ แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าจะได้รับการฝึกเมื่อไหร่
ระหว่างนี้เราดูโรงเรียนไว้แล้วด้วยค่ะหมอแนะนำให้เรียนโรงเรียนปกติ เพราะน้องเป็นไม่มาก ถ้าเข้ารับการเรียน น้องจะมีทักษะที่ดีขึ้น
เราบอกโรงเรียนถึงอาการของน้อง ให้ครูได้เจอน้อง ครูบอกว่าน้องน่าจะเรียนได้ และมีพรสวรรค์ด้านภาษามาก
เราจะเริ่มให้น้องเรียนภายในสัปดาห์นี้ค่ะ ไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง แต่ถ้ามันมีโอกาสจะทำให้น้องกลับมาเป็นปกติเราก็ยินดีที่จะทำทุกอย่าง
เมื่อวานเราตัดสินใจบอกย่าและพี่เลี้ยงว่าน้องเป็นเด็กพิเศษนะ เราอยากขอความร่วมมือจากทุกคนในบ้าน
ช่วยกันทำให้เค้ากลับมาใช้ชีวิตได้ปกติเหมือนเด็กทั่วๆไป พอรู้เค้าค่อนข้างช็อคกันมาก กอดน้องน้ำตาซึมกันทุกคน
เราขอให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการช่วยฝึกซึ่งทุกคนก็รับปาก ในทุกครั้งที่มีการฝึก พี่เลี้ยงน้องจะต้องเข้าด้วยทุกครั้ง
ซึ่งพี่เลี้ยงเองก็เต็มใจที่จะช่วยน้องเต็มที่
เราคิดจะลาออกจากงานประจำมาดูน้อง แต่ด้วยรายได้ของเราที่ต้องเลี้ยงครอบครัว ทำให้เราลาออกไม่ได้จริงๆ
ถ้าลาออกมาน้องอาจจะไม่ได้การรักษาอย่างที่เราอยากจะให้เป็น เราต้องทำงานต่อไป แต่ก็ไปแบบเบลอๆไม่ค่อยรู้เรื่องเพราะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ถึงตอนนี้เรายังคงสับสนมากค่ะ ยังงงๆว่าทำไมครอบครัวเราถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ลูกที่น่ารักของเราทำไมต้องเจอเรื่องร้าย
ตอนนี้เราอยากหา Second Opinion อยากได้ยินว่าน้องแค่เข้าข่าย แต่ไม่ได้เป็น มันคงเป็นความหวังลมๆแล้งๆ ของแม่เด็กพิเศษทุกคน
วันนี้เราสัญญากับตัวเอง ว่าเราจะร้องไห้เป็นวันสุดท้าย พรุ่งนี้เราต้องเข้มแข็ง
เพราะลูกสุดที่รักของเรากำลังรอความช่วยเหลือจากเราอยู่
เราไม่รู้ว่าเด็กอย่างลูกเรา จะมีโอกาสกลับมาใช้ชีวิตปกติได้มั๊ย
คุณพ่อคุณแม่ท่านไหนมีประสบการณ์ตรง หรือใกล้เคียง แชร์กันได้นะคะ เรายินดีรับฟังค่ะ
ลูกชายสุดที่รักถูกวินิจฉัยว่าเป็นออทิสติก.....
เราตั้งกระทู้ใหม่นะคะ เพื่อนๆสมาชิกจะได้อ่านได้ง่ายขึ้นค่ะ
https://ppantip.com/topic/38962981
**************************************
ลูกชายเราวัย 2 ขวบ 8 เดือนถูกวินิจฉัยว่าเป็น ASD หรือที่ทุกคนคุ้นหูกันว่า
ออทิสติกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาค่ะ
ลูกชายเราเป็นเด็กซุกซน เติบโตมามีพัฒนาการตามวัย เริ่มคว่ำได้ตอน 4 เดือน คลาน 6 เดือน จับยืนได้ตอน7เดือน เริ่มเดินตอน 11เดือน
เริ่มพูดได้ ตอน 15เดือน ทุกอย่างเป็นปกติมาโดยตลอด น้องเป็นเด็กร่าเริง เลี้ยงง่าย ไม่งอแง พูดจารู้เรื่อง ตอบสนองดี
แต่มีสิ่งนึงที่แปลกคือน้องชอบเดินเขย่งเท้า ก็ไม่ได้เอะใจอะไรเพราะน้องใช้รถหัดเดินที่หมุนรอบโต๊ะ ยอดฮิตตอน 7เดือน
ตั้งแต่นั้นมาน้องเริ่มเดินเขย่ง แต่ไม่มาก พอทักให้เดินปกติก็เดินได้
น้องอยู่บ้านย่าอีกหลังกับพี่เลี้ยง(พี่เลี้ยงคนนี้ไม่สามารถมาอยู่บ้านเราได้เพราะมีเงื่อนไขบางอย่าง)
เราและสามีจะแวะไปไปหาน้องเกือบทุกวัน ไปอ่านหนังสือช่วงเย็นให้ฟัง
วันเสาร์อาทิตย์เราไปรับน้องกลับมาบ้าน ทุกเสาร์อาทิตย์เราจะมีกิจกรรม พาลูกออกไปเที่ยวนอกบ้านทุกวัน
งานเรากับสามีค่อนข้างยุ่ง เลิกงานค่อนข้างค่ำ ที่บ้านเรามีหมาพันธุ์เล็กหลายตัว เลี้ยงมาตั้งแต่น้องยังไม่เกิด
เราเคยพยายามหาพี่เลี้ยงมาอยู่ที่บ้านหลายครั้ง ทุกครั้งก็ล้มเหลว เพราะพี่เลี้ยงที่หามา บางคนรักเด็กไม่รักหมา
บางคนรักหมา ไม่รักเด็ก บางคนไม่รักทั้งเด็กและหมา การหาพี่เลี้ยงเลยต้องล้มเลิกไป
น้องจึงจำเป็นต้องอยู่บ้านย่าเพื่อความปลอดภัย ย่ากับพี่เลี้ยงรักน้องมาก น้องเติบโตมาท่ามกลางความรักที่เต็มเปี่ยม
การเลี้ยงดูทางบ้านย่าค่อนข้างตามใจ มีการเปิด TV ให้ดู ซึ่งเราห้ามหลายรอบ แต่เหมือนไม่เป็นผล น้องเริ่มดูตอนเกือบๆ2ขวบ
แต่กว่าเราจะโวยวายให้น้องเลิกดูได้ก็แค่ 2อาทิตย์ก่อนการตรวจ
พอ 2ขวบเต็มเราพาน้องไปเรียนฝึกเข้ากลุ่มพัฒนาการด้านภาษาและสังคม เริ่มมีบางอย่างที่เราเห็นว่าไม่ปกติ
เช่นซนมาก ฃอบปีนป่าย ไม่ค่อยฟัง ต้องเรียกหลายครั้ง เวลาทำกิจกรรมกับครู บางอย่างสนใจทำ บางอย่างไม่ทำ
น้องสามารถบอกชื่อตัวเองได้ แต่พอคุณครูให้พูด น้องจะทำท่าแกล้งไม่ยอมพูด
คนรอบข้างเรามองว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะคิดว่ายังไม่ถึงวัยเค้าหรือเปล่า
เราเริ่มเหนื่อยกับการพาลูกไปทำกิจกรรม ดูท่าทีลูกไม่ได้มีพัฒนาการทางภาษาที่ดีขึ้นเท่าไหร่
น้องๆที่อยู่ใน Class เดียวกันเริ่มพูดเป็นประโยคยาวๆ ในขณะเดียวกับที่ลูกเราพูดเป็นคำๆ กับประโยคสั้นๆ
จนในที่สุด8 เดือนผ่านไป เราตัดสินใจพาน้องไปตรวจพัฒนาการเด็ก เพราะคิดว่าน้องเป็นสมาธิสั้น
เราทำการบ้านไปส่วนนึง สรุปพัฒนาการแต่ละด้านเพื่อไม่ให้ข้อใดข้อนึงหลุดไป
ทันทีที่เริ่มคุยกับหมอ หมอพูดว่าดูเรากังวลมากเราเลยเล่าอาการของน้องให้หมอฟังว่าเราไม่แน่ใจว่าลูกเราเป็น ADHD หรือเปล่า
แต่ไม่น่าใช่ ASD (คิดเองล้วนๆ)
อาการของลูกเราคือ
-ชอบเขย่งเท้า
-ไม่ค่อยสบตาเรียกไม่หัน ต้องเรียกหลายๆครั้ง
-พูดเป็นคำ เป็นวลี เหมือนถูกป้อนโปรแกรม
-พูดตามได้ แต่เสียงก็จะเป็นแบบโมโนโทน
-ความจำดีท่อง ก-ฮ A-Z นับ1-20เป็นภาษาอังกฤษ รู้จักสี รู้จักข้าวของเครื่องใช้ สัตว์เป็น100ชนิด ซึ่งบางอย่างเราจำไม่ได้ แต่น้องจำได้
-ชอบร้องเพลง น้องร้องเพลงเด็กได้หลายเพลง บางส่วนจำเนื้อไม่ได้ก็จะดำน้ำไป
-ถามตอบดี รู้ชื่อนามสกุลตัวเอง สะกดชื่อตัวเองได้
-ชอบเล่นกับเพื่อน น้องมีเพื่อนอายุ 4 ขวบ 5 ขวบ ก็เล่นกันดี(เจอกันเสาร์อาทิตย์)
-ชอบเข้าสังคม ไม่กลัวคนแปลกหน้า
-รู้จักแบ่งปันไม่หวงของ
-เล่นของเล่นตามฟังก์ชั่นที่ถูกออกแบบมา
-ชอบอ่านหนังสือมากเวลาอ่านเค้าจะนิ่งเงียบไม่ซน
-ทำตามคำสั่งได้เก็บของ ทิ้งขยะ ซื้อของจ่ายเงินเองได้
-ถอดเสื้อผ้าใส่เองได้ประมาณนึง
-อารมณ์ร่าเริง ยิ้มง่าย ไม่ชอบให้ถูกตำหนิ พอถูกตำหนิเบาๆแบบเค้าพอรับรู้ได้ก็จะเสียใจมาก
-เล่นบทบาทสมมติเป็นเล่นเป็นคุณหมอ เป็นเด็กเล็ก เป็นสัตว์
-กินยากชอบกินของไม่กี่อย่าง
-มีอาการกลัวเพิ่มขึ้นจากเด็กๆที่ไม่เคยกลัว ก็กลัว เช่นกลัวหมา กลัวการตัดเล็บ
หลังการตรวจสิ้นสุดลง หมอแจ้งว่าน้องเป็น ASD แต่เป็นน้อย แนะนำให้น้องเข้าโรงเรียนจะได้มีสังคมและไปฝึกพูด
เราเบลอไปเลยค่ะ ตอนที่หมอแจ้งอาการน้อง ไม่ได้พูดชื่อเป็นภาษาไทย พี่เลี้ยงที่เข้าไปด้วยเลยไม่เข้าใจ
เข้าใจว่าน้องไม่เป็นอะไรมาก เป็นนิดเดียว เข้ารับการฝึกก็หาย
ทันทีที่ออกจากห้องตรวจ เราเริ่มหาที่ฝึกใกล้บ้าน ซึ่งก็ต้องรอคิวเหมือนเคย ตอนนี้เราลงชื่อไว้ แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าจะได้รับการฝึกเมื่อไหร่
ระหว่างนี้เราดูโรงเรียนไว้แล้วด้วยค่ะหมอแนะนำให้เรียนโรงเรียนปกติ เพราะน้องเป็นไม่มาก ถ้าเข้ารับการเรียน น้องจะมีทักษะที่ดีขึ้น
เราบอกโรงเรียนถึงอาการของน้อง ให้ครูได้เจอน้อง ครูบอกว่าน้องน่าจะเรียนได้ และมีพรสวรรค์ด้านภาษามาก
เราจะเริ่มให้น้องเรียนภายในสัปดาห์นี้ค่ะ ไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง แต่ถ้ามันมีโอกาสจะทำให้น้องกลับมาเป็นปกติเราก็ยินดีที่จะทำทุกอย่าง
เมื่อวานเราตัดสินใจบอกย่าและพี่เลี้ยงว่าน้องเป็นเด็กพิเศษนะ เราอยากขอความร่วมมือจากทุกคนในบ้าน
ช่วยกันทำให้เค้ากลับมาใช้ชีวิตได้ปกติเหมือนเด็กทั่วๆไป พอรู้เค้าค่อนข้างช็อคกันมาก กอดน้องน้ำตาซึมกันทุกคน
เราขอให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการช่วยฝึกซึ่งทุกคนก็รับปาก ในทุกครั้งที่มีการฝึก พี่เลี้ยงน้องจะต้องเข้าด้วยทุกครั้ง
ซึ่งพี่เลี้ยงเองก็เต็มใจที่จะช่วยน้องเต็มที่
เราคิดจะลาออกจากงานประจำมาดูน้อง แต่ด้วยรายได้ของเราที่ต้องเลี้ยงครอบครัว ทำให้เราลาออกไม่ได้จริงๆ
ถ้าลาออกมาน้องอาจจะไม่ได้การรักษาอย่างที่เราอยากจะให้เป็น เราต้องทำงานต่อไป แต่ก็ไปแบบเบลอๆไม่ค่อยรู้เรื่องเพราะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ถึงตอนนี้เรายังคงสับสนมากค่ะ ยังงงๆว่าทำไมครอบครัวเราถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ลูกที่น่ารักของเราทำไมต้องเจอเรื่องร้าย
ตอนนี้เราอยากหา Second Opinion อยากได้ยินว่าน้องแค่เข้าข่าย แต่ไม่ได้เป็น มันคงเป็นความหวังลมๆแล้งๆ ของแม่เด็กพิเศษทุกคน
วันนี้เราสัญญากับตัวเอง ว่าเราจะร้องไห้เป็นวันสุดท้าย พรุ่งนี้เราต้องเข้มแข็ง
เพราะลูกสุดที่รักของเรากำลังรอความช่วยเหลือจากเราอยู่
เราไม่รู้ว่าเด็กอย่างลูกเรา จะมีโอกาสกลับมาใช้ชีวิตปกติได้มั๊ย
คุณพ่อคุณแม่ท่านไหนมีประสบการณ์ตรง หรือใกล้เคียง แชร์กันได้นะคะ เรายินดีรับฟังค่ะ