ลูกชายสุดที่รักถูกวินิจฉัยว่าเป็นออทิสติก.....กับ Second Opinion

จากกระทู้แรกที่เราตั้งไว้เพื่อปรึกษาอาการ ASD ของลูกชายเรา

ลูกชายสุดที่รักถูกวินิจฉัยว่าเป็นออทิสติก.....
https://ppantip.com/topic/38954598

วันนี้เราพาน้องเข้าพบหมอผู้เชี่ยวชาญด้าน ASD หรือออทิสติก เพื่อหา Second Opinion ค่ะ
การตรวจครั้งนี้ไม่แตกต่างจาก รพ.แรกมากนัก  หมอจะสัมภาษณ์พ่อแม่ พี่เลี้ยงเพื่อถามพฤติกรรมของเราที่มีต่อน้อง
พร้อมกับตรวจประเมินพฤติกรรมน้องไปพร้อมๆกัน โดยใช้แบบประเมิน Denver II การตรวจครั้งนี้ใช้เวลาประเมิน 1 ชั่วโมง นิดๆ 

ครั้งนี้ก็เช่นกันที่ผลไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก คือพัฒนาการโดยรวมน้องดี บางอย่างอาจเกินอายุ แต่ส่วนที่มีปัญหามากๆเลยคือด้านภาษา
เพราะน้องไม่ค่อยสบตา จริงๆตอนตรวจก็สบตาบ้างนะคะ แต่หมอบอกว่าเด็กปกติควรมี Eye Contact มากกว่านี้
หมออธิบายว่า ภาษา ไม่ได้หมายถึงแค่การพูด แต่หมายถึงการสื่อสาร และการปฎิสัมพันธ์ระหว่างกันด้วย
หมอไม่ฟันธงว่าน้องเป็น ASD หรือไม่ แต่ขอใช้คำว่าเข้าข่าย การประเมินว่าเป็นว่าเป็นไม่เป็นต้องใช้เวลาและการติดตามผลมากกว่านี้
และถ้าหากเป็น น้องจะเป็น ASD ในรูปแบบที่เป็นน้อยมาก และเป็น ASD ประเภท High Fuctioning
การระบุชี้ชัดไปเลยว่าเป็น ASD เหมือนกับเป็นตราที่ตีตัวติดน้องไป
ส่วน TV ไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้เป็น ASD แต่จากการวิจัยพบว่าเป็นตัวกระตุ้น หมอไม่แนะนำให้เด็กต่ำกว่า 2 ขวบดูจอทุกชนิด !!!
(เราชอบหมอท่านนี้มากค่ะ ดูท่านเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่ว่ามีความกังวลแค่ไหน ระหว่างตรวจก็จะคอยปลอบเราตลอด)

หลังจากการประเมิน เราทำนัดฝึกน้องทันที ซึ่งต้องฝึกกิจกรรมบำบัด (หมอแนะนำให้ฝึกเดี่ยว) และฝึกการพูด
เราเปลี่ยนจากการนัดวันเสาร์อาทิตย์ มาเป็นวันธรรมดาแทน เพราะมีเด็กรอ Booking วันเสาร์อาทิตย์สิบกว่าคน 
น้องจะเริ่มฝึกตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปค่ะ หมอแจ้งว่าอาการแบบน้องฝึก 1-2 เดือนก็จะเริ่มเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน

ก่อนมาพบหมอครั้งนี้เราทำใจได้มากแล้วค่ะ ถึงคุณหมอจะฟันธงว่าเป็น ไม่เป็น หรือเข้าข่าย
ไม่สำคัญเท่ากับการที่เราต้องเร่งฝึกน้อง และปรับพฤติกรรมการเลี้ยงดู เพราะเรายอมรับว่าลูกเราแตกต่างจากเด็กปกติจริงๆ

หลังจากเสร็จจากการตรวจ เราพาน้องไปสมัครเรียนเตรียมอนุบาลค่ะ
เพราะหมอประเมินความสามารถพี่เลี้ยงเราแล้วว่าไม่สามารถเสริมพัฒนาการน้องได้
การส่งไปเรียนเตรียมอนุบาล น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้
พรุ่งนี้น้องจะเริ่มไปเรียนแล้ว ทุกวันในตอนเช้าเราจะเป็นคนไปส่งน้องที่โรงเรียนเองทุกวัน 

เกือบลืมบอกไป เราย้ายบ้านมาอยู่กับน้องแล้วนะคะ บ้านย่าหลัง เล็กห้องนอนก็เล็ก
แต่เรารู้สึกว่าการที่เราได้ย้ายมาอยู่บ้านนี้มันเป็นบ้านหลังเล็กที่มีความสุขเหลือเกิน
เมื่อคืนได้นอนกอดลูกที่บ้านย่าเป็นคืนแรก ลูกเราดูตื่นเต้นที่พ่อกับแม่มาอยู่ด้วยที่นี่
ชวนอ่านหนังสือ พร้อมกับเล่านิทานให้เราฟังหลายเรื่อง รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างแต่เราก็ตั้งใจฟัง
ปิดท้ายด้วยการลูบหัวกล่อมเรานอนด้วยเพลง Twinkle Little Star 
ทำให้ความเหนื่อยล้ากับความเครียดที่เราสะสมมาเต็ม 2 อาทิตย์หายไปในทันทีค่ะ

สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากเรื่องนี้หลักๆคือ
1.ลูกต้องการความรักและเวลาจากพ่อแม่ ไม่ใช่เงินหรือสิ่งของ
2.ของเล่นที่ดีที่สุดคือพ่อแม่
3.ไม่ควรให้เด็กดูจอทุกชนิดก่อน 2 ขวบ

ขอให้เรื่องราวของเราเป็นบทเรียนสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีน้องอยู่ในวัยนี้นะคะ เราเองเกือบเสียลูกไป
โชคดีที่เราตัดสินใจพาน้องไปตรวจ ไม่ทิ้งเวลาเนิ่นนานไปกว่านี้
คุณพ่อคุณแม่ที่มีน้องเข้าข่าย ASD ถ้าเป็นไปได้อยากให้พาน้องไปตรวจนะคะ ถ้าเป็นน้องจะได้รับการรักษาทันที
อย่าทิ้งไว้นานเกินไป การรักษาอาจจะใช้เวลานานมากกว่าปกติค่ะ

ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจที่ส่งให้เรากับน้องนะคะ เราเชื่อว่าน้องจะต้องดึขึ้นในเร็ววัน
และถ้ามีโอกาสและมีเวลาเราจะมาแชร์ประสบการฝึกและผลการรักษาของน้องเผื่อจะเป็นประโยชน์กับคุณพ่อคุณแม่ที่เผชิญสถานการณ์เดียวกับเรา
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่