กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่เขียน และขอยืมไอดีเพื่อนมาใช้นะคะ อยากแบ่งปันประสบการณ์ตัวเองและไม่อยากให้คุณพ่อ คุณแม่ หรือ คนในครอบครัวมองสัญญาณเตือนจากลูกแล้วปล่อยผ่านนะคะ
เล่าก่อนว่าตอนนี้เราเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวมีลูกตอนอายุเกือบ 30 และแฟนอายุมากกว่าประมาณ 15 ปี ช่วงที่ท้องก็มีปัญหากันมาตลอดเลยตัดสินใจแยกทางกันดีกว่า และลูกสาวก็อยู่กับเราค่ะ แรกเกิดเลยน้องก็ไม่แสดงอาการอะไรเลย เป็นเด็กอ้วนท้วนสมบูรณ์ดี และช่วงตอนนั้นคลอดน้องได้ไม่กี่เดือนเราก็ต้องเริ่มกลับมาทำงานประจำเร็วขึ้นเพราะต้องหาเงินคนเดียวแล้ว ไม่ค่อยมีเวลาใกล้ชิดกับเค้าเท่าไหร่ ก็เตรียมการเลี้ยงดูไว้คือจะให้แม่มาอยู่ด้วยเพื่อช่วยเลี้ยงเป็นหลัก แล้วอีกอย่าเราก็สบายใจที่ลูกเราเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ไม่ค่อยร้อง ไม่ติดมือ คือไม่ร้องเรียกให้อุ้มอะไรประมาณนี้ (ตอนนั้นคิดว่าเลี้ยงง่ายจริงๆ) แม่เราก็จะได้ไม่เหนื่อยมาก
ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่พอน้องอายุได้ 5-6 เดือน แม่ก็เริ่มรู้สึกว่ามันผิดสังเกตละ คือ น้องจะไม่ค่อยสบตา ไม่สื่อสารส่งเสียงว่าอยากได้อะไร แล้วก็จำหน้าคนในบ้านไม่ได้ แต่เราก็ยังคิดในทางที่ดีอยู่ว่าลูกอาจจะมีพัฒนาการช้าไปบ้าง เพราะเท่าที่รู้เด็กแต่ละคนก็มีพัฒนาการไม่เท่ากันด้วย ก็รอ 2 ขวบก็แล้ว 3 ขวบก็แล้ว น้องก็ยังไม่ยอมพูดเป็นประโยคเลย เวลาพาไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะตรงของเล่น ทีเด็กทั่วๆไป น่าจะตื่นเต้น แต่น้องจะไม่มีการโต้ตอบใดๆ จะเฉยกับสิ่งรอบข้าง ชอบมองอะไรที่มันทำซ้ำๆ หรือ อะไรที่มีแสงจ้าๆ จะเป็นจุดที่ดึงความสนใจน้องไปได้เลย เช่นมองอะไรที่มันหมุน หรือ แกว่ง ได้ หรือ แสงแดดที่แว๊บเข้าบ้านสะท้อนกระจกก็จะมองไปแต่ตรงนั้น หรือ ไม่ก็นั่งนิ่งๆเลย
เราก็เริ่มเครียดแล้ว เริ่มมีถามเพื่อนที่มีลูกว่าช่วงอายุเท่าๆ พัฒนาการเป็นยังไง ก็พบว่าลูกเราเข้าข่ายผิดปกติเลย ก็เลยปรึกษากับแม่ตัดสินใจพาน้องไปพบหมอ ก็ทำแบบทดสอบต่างๆ จนคุณหมอฟันธงว่าลูกเราเป็นเด็กออทิสติกนะ ความรู้สึกแรกของคนที่เป็นแม่ รู้ว่าลูกเป็นแบบนี้บอกเลยว่ามันเสียใจมาก เครียดมาก ร้องไห้กับแม่ทุกวัน สงสารลูกทำไมต้องเป็นลูกเรา มองหน้าลูกก็ยิ่งร้องไห้หนัก นั่งโทษตัวเองที่ลูกส่งสัญญาณเตือนให้เห็นแต่เราก็ละเลย เราไม่รู้ว่าถ้าเค้าได้รับการรักษาที่เร็วกว่านี้ ลูกเราอาจจะหายได้รึเปล่า แต่ตอนนี้เราตั้งสติได้แล้วสิ่งที่จะทำเพื่อเค้าต่อไปได้คือ ดูแลเค้าให้ดีที่สุด พบหมอสม่ำเสมอ เพื่อให้เค้าได้รับการรักษาที่ถูกต้อง และให้เวลากับเค้าให้มากขึ้นและเข้าใจเค้าให้มากขึ้น
อยากฝากเตือนคุณแม่ๆที่เห็นอาการผิดปกติของลูกอย่าชะล่าใจ ใช้คำว่ารอดูไปก่อน ผิดสังเกตเมื่อไหร่ แนะนำให้รีบพบหมอเลยนะคะ เรื่องราวที่อยากแบ่งปันมีเท่านี้ค่ะ ถ้ามีอัพเดทยังไงจะมาเล่าให้ฟังอีกนะคะ
กว่าจะรู้ว่าลูกเป็นออทิสติกก็เกือบสายไปแล้ว!!!
เล่าก่อนว่าตอนนี้เราเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวมีลูกตอนอายุเกือบ 30 และแฟนอายุมากกว่าประมาณ 15 ปี ช่วงที่ท้องก็มีปัญหากันมาตลอดเลยตัดสินใจแยกทางกันดีกว่า และลูกสาวก็อยู่กับเราค่ะ แรกเกิดเลยน้องก็ไม่แสดงอาการอะไรเลย เป็นเด็กอ้วนท้วนสมบูรณ์ดี และช่วงตอนนั้นคลอดน้องได้ไม่กี่เดือนเราก็ต้องเริ่มกลับมาทำงานประจำเร็วขึ้นเพราะต้องหาเงินคนเดียวแล้ว ไม่ค่อยมีเวลาใกล้ชิดกับเค้าเท่าไหร่ ก็เตรียมการเลี้ยงดูไว้คือจะให้แม่มาอยู่ด้วยเพื่อช่วยเลี้ยงเป็นหลัก แล้วอีกอย่าเราก็สบายใจที่ลูกเราเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ไม่ค่อยร้อง ไม่ติดมือ คือไม่ร้องเรียกให้อุ้มอะไรประมาณนี้ (ตอนนั้นคิดว่าเลี้ยงง่ายจริงๆ) แม่เราก็จะได้ไม่เหนื่อยมาก
ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่พอน้องอายุได้ 5-6 เดือน แม่ก็เริ่มรู้สึกว่ามันผิดสังเกตละ คือ น้องจะไม่ค่อยสบตา ไม่สื่อสารส่งเสียงว่าอยากได้อะไร แล้วก็จำหน้าคนในบ้านไม่ได้ แต่เราก็ยังคิดในทางที่ดีอยู่ว่าลูกอาจจะมีพัฒนาการช้าไปบ้าง เพราะเท่าที่รู้เด็กแต่ละคนก็มีพัฒนาการไม่เท่ากันด้วย ก็รอ 2 ขวบก็แล้ว 3 ขวบก็แล้ว น้องก็ยังไม่ยอมพูดเป็นประโยคเลย เวลาพาไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะตรงของเล่น ทีเด็กทั่วๆไป น่าจะตื่นเต้น แต่น้องจะไม่มีการโต้ตอบใดๆ จะเฉยกับสิ่งรอบข้าง ชอบมองอะไรที่มันทำซ้ำๆ หรือ อะไรที่มีแสงจ้าๆ จะเป็นจุดที่ดึงความสนใจน้องไปได้เลย เช่นมองอะไรที่มันหมุน หรือ แกว่ง ได้ หรือ แสงแดดที่แว๊บเข้าบ้านสะท้อนกระจกก็จะมองไปแต่ตรงนั้น หรือ ไม่ก็นั่งนิ่งๆเลย
เราก็เริ่มเครียดแล้ว เริ่มมีถามเพื่อนที่มีลูกว่าช่วงอายุเท่าๆ พัฒนาการเป็นยังไง ก็พบว่าลูกเราเข้าข่ายผิดปกติเลย ก็เลยปรึกษากับแม่ตัดสินใจพาน้องไปพบหมอ ก็ทำแบบทดสอบต่างๆ จนคุณหมอฟันธงว่าลูกเราเป็นเด็กออทิสติกนะ ความรู้สึกแรกของคนที่เป็นแม่ รู้ว่าลูกเป็นแบบนี้บอกเลยว่ามันเสียใจมาก เครียดมาก ร้องไห้กับแม่ทุกวัน สงสารลูกทำไมต้องเป็นลูกเรา มองหน้าลูกก็ยิ่งร้องไห้หนัก นั่งโทษตัวเองที่ลูกส่งสัญญาณเตือนให้เห็นแต่เราก็ละเลย เราไม่รู้ว่าถ้าเค้าได้รับการรักษาที่เร็วกว่านี้ ลูกเราอาจจะหายได้รึเปล่า แต่ตอนนี้เราตั้งสติได้แล้วสิ่งที่จะทำเพื่อเค้าต่อไปได้คือ ดูแลเค้าให้ดีที่สุด พบหมอสม่ำเสมอ เพื่อให้เค้าได้รับการรักษาที่ถูกต้อง และให้เวลากับเค้าให้มากขึ้นและเข้าใจเค้าให้มากขึ้น
อยากฝากเตือนคุณแม่ๆที่เห็นอาการผิดปกติของลูกอย่าชะล่าใจ ใช้คำว่ารอดูไปก่อน ผิดสังเกตเมื่อไหร่ แนะนำให้รีบพบหมอเลยนะคะ เรื่องราวที่อยากแบ่งปันมีเท่านี้ค่ะ ถ้ามีอัพเดทยังไงจะมาเล่าให้ฟังอีกนะคะ