ลูกสาวของมาร์คอสถูกวินิฉัยเป็นออทิสติกตั้งแต่อายุ 2 ขวบครึ่ง ลูกสาวของเขาชอบอยู่ ๆ กรีดร้อง
ไม่สนใจอะไร มีคำศัพท์น้อยกว่า 20 คำ อยู่ ๆ ก็วิ่งออกไป ไม่ทำตามคำสั่ง และอื่น ๆ
มาร์คอสพาลูกไปบำบัดหลายอย่าง แต่เขาก็พบเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเรื่องขับสารปรอทตามระยะครึ่งชีวิต
ซึ่งเขาก็ทำการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเองด้วย และอ่านเยอะ ๆ เขาตัดสินใจขับสารปรอทให้ลูกตอนอายุ 3 ขวบครึ่ง
และนับตั้งแต่รอบแรกที่เขาทำ ทั้งครูและนักบำบัดก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนเกี่ยวกับอารมณ์ของลูก
พวกเขาบอกว่าลูกสาวเหมือนเป็นคนละคน นั่นทำให้ลูกสามารถนั่งร่วมกับเด็กคนอื่นในชั้นได้
ซึ่งในวันนั้นเขารู้สึกเหมือนเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุดในโลก เพราะว่าในวันนั้นเขารู้ว่าเขากำลังมาถูกทางแล้ว
ตอนนี้เธออายุ 6 ขวบแล้ว และพวกเขากำลังอยู่ในรอบที่ 104 พวกเขามีพักบ้างบางครั้ง
ครูอนุบาลบอกว่าลูกสาวทำได้ตามเกณฑ์ทุกอย่าง และบางอย่างทำได้ดีกว่าเกณฑ์ด้วย
ลูกสาวชอบเข้าสังคมมาก เป็นที่รักใคร่ของเพื่อน ๆ และเธอพร้อมที่จะขึ้นสู่ชั้นประถมที่ 1
แต่เธอยังมีปัญหาบางอย่างอยู่ เช่น เธอยังชอบกรี๊ดอยู่บ้างนาน ๆ ครั้ง แต่ก็ต้องค่อย ๆ ไป
มาร์คอสมั่นใจมากว่าลูกสาวจะไปถึงฝั่งฝันได้
นี่เป็นตอนที่สองที่พวกเราหวังว่าจะช่วยให้พ่อแม่ที่อยากให้ลูกหายจากโรคออทิสติกมีความหวังนะครับ
พวกเราตอนที่หมอวินิจฉัยว่าลูกเป็นออทิสติกตอนอายุประมาณ 2 ขวบ ก็แค่พาลูกไปหาที่บำบัดเท่านั้น
เพื่อที่จะฝึกลูกให้มีพัฒนาการดีขึ้นและสามารถเข้าโรงเรียนได้
พวกเราเองก็ไม่ได้ศึกษาค้นคว้าอะไรเกี่ยวกับโรคออทิสติกเลย และคิดว่ามันเป็นเรื่องของพันธุกรรม
ที่ความผิดปกติอาจมาจากพ่อหรือแม่ หรือ ทั้งตัวพ่อและตัวแม่ก็ได้ เพราะเราก็ดูไม่ค่อยปกติทั้งคู่ hahaha
ดังนั้นพวกเราเข้าใจจิตใจของพ่อแม่ที่มีลูกเป็นออทิสติกดีว่า
เมื่อเราได้ยินหมอวินิจฉัยว่าลูกเป็นโรคนี้แล้ว เราก็คงจะไม่ได้คิดที่จะไปศึกษาค้นคว้าอะไรที่ไหน
เรามีแต่รู้สึกสงสารลูกและอยากให้ความรักกับลูกให้มากขึ้นให้มากที่สุดมากกว่า
เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ทดแทนความรู้สึกผิด ที่พันธุกรรมของเราสร้างลูกขึ้นมาให้เป็นแบบนี้
ผมเดาว่าความรู้สึกผิดน่าจะอยู่ในใจของพ่อแม่เหมือนอย่างที่พวกเราเป็น
ตอนนั้นเราทั้งคู่ก็ช็อก
แต่ผมอาจจะเดาผิด เพราะพ่อแม่คนอื่น ๆ อาจจะศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับโรคอย่างมากมายก็ได้
จากข้อมูลทางการแพทย์มากมายที่หาอ่านได้ทางอินเตอร์เน็ต
7 ปีก่อน ผมจำได้ว่าเราไม่ได้ศึกษาข้อมูลเท่าไหร่ แต่ที่จำได้คือเราเชื่อหมอ และไม่ได้สงสัยอะไรเลย
เราพาไปบำบัดและลูกก็เข้าเรียนในชั้นอนุบาลปกติได้ โชคดีที่ลูกยังไม่ได้เป็นรุนแรงขนาดนั้น
แต่หมอที่ รพ.ราม ก็แนะนำว่าให้ไปเรียนร่วมกับเด็กพิเศษที่เป็นกลุ่มไอคิวดี
เมื่อเวลาผ่านไป 3 ปี เราก็ลืมเรื่องลูกเป็นออทิสติกไป
จนลูกมาเป็นโรคติกส์ที่สะบัดหัวไปมาอยู่ตลอดเวลาตอนจบอนุบาล 2 นั่นคือจุดเปลี่ยนของชีวิตเราเลย
เพราะโรคนี้อยู่กับมันยากจริง ๆ มันเตะตาคนทุกคน มันทำให้เรากลัวลูกจะคออักเสบ
และเราอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ เราพาไปหาหมอหลายคน ไปบำบัดรักษาหลายที่ และอ่านข้อมูลทางการแพทย์
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะโรคมันผลักดันเราให้ต้องพยายามหาทางแก้ให้ได้
ผมก็คิดได้ว่าต้องหาอะไรมาดามคอไม่ให้คอสะบัด เลยซื้อนี่มา
.....แต่ไม่นานนักด้านนึงที่เป็นโฟมมันก็ขาด ทำให้ติดไม่ค่อยอยู่
ผมในเวลานั้นนี่ช่างไม่ได้คิดอะไรเยอะจริง ๆ เฮ้อ.....
ผมก็ยังพาไปหาหมอที่ รพ.เวชธานี เพื่อเอายามากินอยู่
ตอนนั้นก็ยังไม่คิดอะไรเยอะ
จนวันหนึ่งผมตัดสินใจว่าจะต้องศึกษาค้นคว้าในเรื่องนี้
เหมือนตอนนั้นพาไปฝังเข็มด้วย แล้วก็อยากเช็คดูว่าการรักษานี้มันดีจริงรึเปล่า
แน่นอนว่า แหล่งข้อมูลที่ใช้ศึกษา ต้องเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น
เพราะข้อมูลในไทย อ่านแล้วมันเหมือนก๊อปปี้กันมาหมด สมมติมี 20 เว็บ แต่ละเว็บมีหน้าเพจอยู่ 1-2 หน้า
ดูครบทั้ง 20 เว็บ มันก็คือข้อมูล 1-2 หน้านี้แหล่ะ แล้วมันไม่มีอะไรใหม่เลย มันให้ข้อมูลอะไรเราไม่ได้เลย
ลองคิดดูว่า คนไทยที่เรียนภาษาอังกฤษที่ไม่ใช่ รร.อินเตอร์ จะหาข้อมูลที่มาก ๆ ได้อย่างไร
ผมไม่ได้เรียนอินเตอร์ เลยไม่ได้คิดที่จะหาข้อมูลกับภาษาอังกฤษตั้งแต่ต้นเพราะไม่ชิน
ที่มีความรู้ก็ไว้เพื่อดูหนังฟังเพลงเท่านั้น ไม่ได้คิดจะเอามาอ่านเรื่องวิชาการ
ผมเริ่มซื้อหนังสือมาจากนอก เรื่องอ่านเว็ปนอกต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับโรคนี้
จนทำให้ผมเชื่อมโยงเรื่องราวและข้อมูลทุกอย่างได้ และรู้เรื่องสารปรอทกับยีสต์แคนดิด้า
ข้อมูลมันก็แมชชิ่งกับประวัติของครอบครัวเรา มันบรรยายลักษณะพวกเราซึ่งเป็นพ่อแม่ของเด็กได้ครบ
มันมีความสมเหตุสมผลทุกอย่าง มีข้อมูลที่อ้างอิงได้ โยงกับการวิจัยมากมายเหมือนใยแมงมุม
มีแค่อย่างเดียวที่ไม่มี คือ งานวิจัยสักชิ้นที่จะฟันธง ว่า ไอ้นี้ไอ้นั้นทำให้เกิดโรคนี้ มันไม่มีจริง ๆ !
แต่เราก็มั่นใจ เพราะทุกอย่างตรงหมดแล้ว ทฤษฎีนี้ใช่เลย ทุกอย่างสมเหตุสมผล
ที่มันไม่มีงานวิจัยหนึ่งชิ้นที่ฟันธงเป็นเพราะ
แต่ละคนที่รับพิษไป เกิดผลไม่เหมือนกันเลย บางคนเป็นโรค บางคนไม่เป็น
นั่นเป็นเพราะมันเกี่ยวกับประวัติครอบครัวด้วย ที่มีระดับสารพิษที่ได้สะสมกันมาไม่เท่ากัน
อย่างวัคซีนที่ฉีดไปแล้วจู่ ๆ เกิดโรคขึ้นมาเลย หมอก็มองว่ามันบังเอิญ เพราะทุกคนไม่ได้เป็น
แต่จริง ๆ แล้วมันก็เหมือนกับบุหรี่ ที่คนที่สูบไม่จำเป็นต้องเป็นมะเร็งปอดทุกคน บางคนก็เป็น บางคนก็ไม่เป็น
แต่วัคซีนนั้นยิ่งกว่าบุหรี่อีก เพราะทำให้บางคนเป็นโรคขึ้นมาเลย หลังจากที่ฉีดไปไม่นาน
ข้อดีของวัคซีนที่ดีกว่าบุหรี่ก็คือ ทั้งที่ฉีดให้กับคนแทบทุกคน แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่ค่อยเป็นอะไร
วัคซีนเข็มเล็ก ๆ ส่งผลกระทบต่อคนได้มากแค่ไหน ก็ดูจากโควิดได้เลย
ข้อมูลจากทั่วโลกบอกไว้ชัดเจนว่าทุกยี่ห้อทำให้มีคนตายได้หรือมีอาการผิดปกติที่รุนแรงได้
จากก่อนหน้าที่เราไม่เคยนึกกลัววัคซีนกันมาก่อนเลย คราวนี้ก็คงได้กลัวกันมั่ง
แต่วัคซีนนี่ก็เป็นแค่ตัวหนึ่งเท่านั้น ยังมีสารพิษจากสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ อีก ที่เซลล์สมองของเราชอบมากที่จะดูดซับเอาไว้
ดังนั้นก็ไม่อยากจะเจาะจงไปที่วัคซีน เพราะมันจะกลายเป็นอีกประเด็นให้ถกเถียงกันอีก
หลังจากพบว่าทฤษฎีต่าง ๆ สมเหตุผลและมีความเป็นไปได้แล้ว
ถัดมาก็ต้องดูว่าวิธีไหนที่ดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด เพราะต้องมาใช้กับลูก
แต่ก็เหมือนเดิมคือ เพราะเป็นคนไม่ค่อยคิดมากไง เลยพาลูกไปขับสารพิษกับหมอ..!
ซึ่งการขับสารพิษในครั้งนั้นก็เหมือนจะโอเค แต่ว่าท่าทางของหมอที่ดูไม่แน่ใจ
จึงทำให้รู้สึกอยากมาค้นข้อมูลอีกว่า การขับสารพิษแบบไหนคือดีที่สุด
จนพบว่าวิธีที่หมอทำมันจะทำให้เกิดการย้อนกระจายกลับของสารพิษได้
เราจึงเลิกไปหาหมออีก
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทุกอย่างที่เราทำต้องมีการสกรีนก่อนเช็คก่อนเสมอ ถ้าไม่เผลอหลุด
ถ้าหลุดไปก็ต้องรีบกลับมาเช็ค เราเช็คยาทุกอย่างที่หมอใช้ เช็คสารเคมีทุกอย่าง อาหารทุกอย่าง
เพราะนี่เป็นวิธีที่ช่วยให้ลูกเราหายจากโรคติกส์ที่แย่มาก ๆ ได้
มันอาจจะดูไม่ใช่โรคร้ายแรง แค่ส่ายหัวไปมา กระตุกได้ทั้งตัว แต่มันอยู่ด้วยยาก
อย่างไรก็ตามมันช่วยให้เรามาพบกับเรื่องสารปรอทและยีสต์แคนดิด้า
ซึ่งมันก็เป็นสาเหตุของโรคออทิสติกด้วย
ครับ เราก็อยากจะมาแชร์ให้ฟังว่าต่างประเทศรักษาโรคออทิสติกหายกันได้ยังไง
แน่นอนว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับการรักษาทางการแพทย์ เพราะการแพทย์ยืนยันแล้วว่าโรคนี้รักษาไม่ได้
แต่มันเหมือนคนเรามันยังไม่ได้ค้นพบอะไรอยู่อีกมาก
แล้วบังเอิญที่ผมและครอบครัวถูกผลักดันให้ค้นข้อมูลกันมากเป็นพิเศษ
ทฤษฎีที่ช่วยให้หายจากโรคนี้ได้พิสูจน์กับครอบครัวเรา และกับอีกหลายครอบครัว
ซึ่งพ่อแม่เหล่านั้นรองานวิจัยที่มีเพียร์รีวิวให้ออกมาก่อนอย่างที่หมอกำลังรออยู่ไม่ได้
บางทีเราอาจจะไม่กล้าทำอะไรที่นอกเหนือไปจากเรื่องราวตามปกติ คือ เมื่อป่วยก็ต้องไปหาหมอ
แต่ตัวผมเองก็ไม่ได้เป็นคนกล้ามากอะไร แต่เมื่อมันได้อ่านได้ศึกษามากขึ้นเรื่อย ๆ จนเข้าใจ
ความกลัวมันก็เลยไม่ได้เข้ามามีบทบาทอะไร มันเหมือนกับเรื่องที่ว่า เราจะกลัวในสิ่งที่เราไม่เข้าใจ
หรือ เราจะต่อต้านในสิ่งที่เราไม่เข้าใจ ดังนั้นวิธีแก้ไขก็คือ ต้องอ่านให้มากที่สุดครับ
ไม่ได้อ่านเพื่อจะเอาไปสอบหรือเพื่อประกอบอาชีพ
แต่อ่านเพราะลูกเรากำลังป่วยหนักแล้วเราอยากรู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับมัน
ไปดูกันว่าเขาหายจาก [โรคออทิสติก] ได้ยังไง ? 2
ไม่สนใจอะไร มีคำศัพท์น้อยกว่า 20 คำ อยู่ ๆ ก็วิ่งออกไป ไม่ทำตามคำสั่ง และอื่น ๆ
มาร์คอสพาลูกไปบำบัดหลายอย่าง แต่เขาก็พบเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเรื่องขับสารปรอทตามระยะครึ่งชีวิต
ซึ่งเขาก็ทำการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเองด้วย และอ่านเยอะ ๆ เขาตัดสินใจขับสารปรอทให้ลูกตอนอายุ 3 ขวบครึ่ง
และนับตั้งแต่รอบแรกที่เขาทำ ทั้งครูและนักบำบัดก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนเกี่ยวกับอารมณ์ของลูก
พวกเขาบอกว่าลูกสาวเหมือนเป็นคนละคน นั่นทำให้ลูกสามารถนั่งร่วมกับเด็กคนอื่นในชั้นได้
ซึ่งในวันนั้นเขารู้สึกเหมือนเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุดในโลก เพราะว่าในวันนั้นเขารู้ว่าเขากำลังมาถูกทางแล้ว
ตอนนี้เธออายุ 6 ขวบแล้ว และพวกเขากำลังอยู่ในรอบที่ 104 พวกเขามีพักบ้างบางครั้ง
ครูอนุบาลบอกว่าลูกสาวทำได้ตามเกณฑ์ทุกอย่าง และบางอย่างทำได้ดีกว่าเกณฑ์ด้วย
ลูกสาวชอบเข้าสังคมมาก เป็นที่รักใคร่ของเพื่อน ๆ และเธอพร้อมที่จะขึ้นสู่ชั้นประถมที่ 1
แต่เธอยังมีปัญหาบางอย่างอยู่ เช่น เธอยังชอบกรี๊ดอยู่บ้างนาน ๆ ครั้ง แต่ก็ต้องค่อย ๆ ไป
มาร์คอสมั่นใจมากว่าลูกสาวจะไปถึงฝั่งฝันได้
นี่เป็นตอนที่สองที่พวกเราหวังว่าจะช่วยให้พ่อแม่ที่อยากให้ลูกหายจากโรคออทิสติกมีความหวังนะครับ
พวกเราตอนที่หมอวินิจฉัยว่าลูกเป็นออทิสติกตอนอายุประมาณ 2 ขวบ ก็แค่พาลูกไปหาที่บำบัดเท่านั้น
เพื่อที่จะฝึกลูกให้มีพัฒนาการดีขึ้นและสามารถเข้าโรงเรียนได้
พวกเราเองก็ไม่ได้ศึกษาค้นคว้าอะไรเกี่ยวกับโรคออทิสติกเลย และคิดว่ามันเป็นเรื่องของพันธุกรรม
ที่ความผิดปกติอาจมาจากพ่อหรือแม่ หรือ ทั้งตัวพ่อและตัวแม่ก็ได้ เพราะเราก็ดูไม่ค่อยปกติทั้งคู่ hahaha
ดังนั้นพวกเราเข้าใจจิตใจของพ่อแม่ที่มีลูกเป็นออทิสติกดีว่า
เมื่อเราได้ยินหมอวินิจฉัยว่าลูกเป็นโรคนี้แล้ว เราก็คงจะไม่ได้คิดที่จะไปศึกษาค้นคว้าอะไรที่ไหน
เรามีแต่รู้สึกสงสารลูกและอยากให้ความรักกับลูกให้มากขึ้นให้มากที่สุดมากกว่า
เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ทดแทนความรู้สึกผิด ที่พันธุกรรมของเราสร้างลูกขึ้นมาให้เป็นแบบนี้
ผมเดาว่าความรู้สึกผิดน่าจะอยู่ในใจของพ่อแม่เหมือนอย่างที่พวกเราเป็น
ตอนนั้นเราทั้งคู่ก็ช็อก
แต่ผมอาจจะเดาผิด เพราะพ่อแม่คนอื่น ๆ อาจจะศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับโรคอย่างมากมายก็ได้
จากข้อมูลทางการแพทย์มากมายที่หาอ่านได้ทางอินเตอร์เน็ต
7 ปีก่อน ผมจำได้ว่าเราไม่ได้ศึกษาข้อมูลเท่าไหร่ แต่ที่จำได้คือเราเชื่อหมอ และไม่ได้สงสัยอะไรเลย
เราพาไปบำบัดและลูกก็เข้าเรียนในชั้นอนุบาลปกติได้ โชคดีที่ลูกยังไม่ได้เป็นรุนแรงขนาดนั้น
แต่หมอที่ รพ.ราม ก็แนะนำว่าให้ไปเรียนร่วมกับเด็กพิเศษที่เป็นกลุ่มไอคิวดี
เมื่อเวลาผ่านไป 3 ปี เราก็ลืมเรื่องลูกเป็นออทิสติกไป
จนลูกมาเป็นโรคติกส์ที่สะบัดหัวไปมาอยู่ตลอดเวลาตอนจบอนุบาล 2 นั่นคือจุดเปลี่ยนของชีวิตเราเลย
เพราะโรคนี้อยู่กับมันยากจริง ๆ มันเตะตาคนทุกคน มันทำให้เรากลัวลูกจะคออักเสบ
และเราอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ เราพาไปหาหมอหลายคน ไปบำบัดรักษาหลายที่ และอ่านข้อมูลทางการแพทย์
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะโรคมันผลักดันเราให้ต้องพยายามหาทางแก้ให้ได้
ผมก็คิดได้ว่าต้องหาอะไรมาดามคอไม่ให้คอสะบัด เลยซื้อนี่มา
.....แต่ไม่นานนักด้านนึงที่เป็นโฟมมันก็ขาด ทำให้ติดไม่ค่อยอยู่
ผมในเวลานั้นนี่ช่างไม่ได้คิดอะไรเยอะจริง ๆ เฮ้อ.....
ผมก็ยังพาไปหาหมอที่ รพ.เวชธานี เพื่อเอายามากินอยู่
ตอนนั้นก็ยังไม่คิดอะไรเยอะ
จนวันหนึ่งผมตัดสินใจว่าจะต้องศึกษาค้นคว้าในเรื่องนี้
เหมือนตอนนั้นพาไปฝังเข็มด้วย แล้วก็อยากเช็คดูว่าการรักษานี้มันดีจริงรึเปล่า
แน่นอนว่า แหล่งข้อมูลที่ใช้ศึกษา ต้องเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น
เพราะข้อมูลในไทย อ่านแล้วมันเหมือนก๊อปปี้กันมาหมด สมมติมี 20 เว็บ แต่ละเว็บมีหน้าเพจอยู่ 1-2 หน้า
ดูครบทั้ง 20 เว็บ มันก็คือข้อมูล 1-2 หน้านี้แหล่ะ แล้วมันไม่มีอะไรใหม่เลย มันให้ข้อมูลอะไรเราไม่ได้เลย
ลองคิดดูว่า คนไทยที่เรียนภาษาอังกฤษที่ไม่ใช่ รร.อินเตอร์ จะหาข้อมูลที่มาก ๆ ได้อย่างไร
ผมไม่ได้เรียนอินเตอร์ เลยไม่ได้คิดที่จะหาข้อมูลกับภาษาอังกฤษตั้งแต่ต้นเพราะไม่ชิน
ที่มีความรู้ก็ไว้เพื่อดูหนังฟังเพลงเท่านั้น ไม่ได้คิดจะเอามาอ่านเรื่องวิชาการ
ผมเริ่มซื้อหนังสือมาจากนอก เรื่องอ่านเว็ปนอกต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับโรคนี้
จนทำให้ผมเชื่อมโยงเรื่องราวและข้อมูลทุกอย่างได้ และรู้เรื่องสารปรอทกับยีสต์แคนดิด้า
ข้อมูลมันก็แมชชิ่งกับประวัติของครอบครัวเรา มันบรรยายลักษณะพวกเราซึ่งเป็นพ่อแม่ของเด็กได้ครบ
มันมีความสมเหตุสมผลทุกอย่าง มีข้อมูลที่อ้างอิงได้ โยงกับการวิจัยมากมายเหมือนใยแมงมุม
มีแค่อย่างเดียวที่ไม่มี คือ งานวิจัยสักชิ้นที่จะฟันธง ว่า ไอ้นี้ไอ้นั้นทำให้เกิดโรคนี้ มันไม่มีจริง ๆ !
แต่เราก็มั่นใจ เพราะทุกอย่างตรงหมดแล้ว ทฤษฎีนี้ใช่เลย ทุกอย่างสมเหตุสมผล
ที่มันไม่มีงานวิจัยหนึ่งชิ้นที่ฟันธงเป็นเพราะ
แต่ละคนที่รับพิษไป เกิดผลไม่เหมือนกันเลย บางคนเป็นโรค บางคนไม่เป็น
นั่นเป็นเพราะมันเกี่ยวกับประวัติครอบครัวด้วย ที่มีระดับสารพิษที่ได้สะสมกันมาไม่เท่ากัน
อย่างวัคซีนที่ฉีดไปแล้วจู่ ๆ เกิดโรคขึ้นมาเลย หมอก็มองว่ามันบังเอิญ เพราะทุกคนไม่ได้เป็น
แต่จริง ๆ แล้วมันก็เหมือนกับบุหรี่ ที่คนที่สูบไม่จำเป็นต้องเป็นมะเร็งปอดทุกคน บางคนก็เป็น บางคนก็ไม่เป็น
แต่วัคซีนนั้นยิ่งกว่าบุหรี่อีก เพราะทำให้บางคนเป็นโรคขึ้นมาเลย หลังจากที่ฉีดไปไม่นาน
ข้อดีของวัคซีนที่ดีกว่าบุหรี่ก็คือ ทั้งที่ฉีดให้กับคนแทบทุกคน แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่ค่อยเป็นอะไร
วัคซีนเข็มเล็ก ๆ ส่งผลกระทบต่อคนได้มากแค่ไหน ก็ดูจากโควิดได้เลย
ข้อมูลจากทั่วโลกบอกไว้ชัดเจนว่าทุกยี่ห้อทำให้มีคนตายได้หรือมีอาการผิดปกติที่รุนแรงได้
จากก่อนหน้าที่เราไม่เคยนึกกลัววัคซีนกันมาก่อนเลย คราวนี้ก็คงได้กลัวกันมั่ง
แต่วัคซีนนี่ก็เป็นแค่ตัวหนึ่งเท่านั้น ยังมีสารพิษจากสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ อีก ที่เซลล์สมองของเราชอบมากที่จะดูดซับเอาไว้
ดังนั้นก็ไม่อยากจะเจาะจงไปที่วัคซีน เพราะมันจะกลายเป็นอีกประเด็นให้ถกเถียงกันอีก
หลังจากพบว่าทฤษฎีต่าง ๆ สมเหตุผลและมีความเป็นไปได้แล้ว
ถัดมาก็ต้องดูว่าวิธีไหนที่ดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด เพราะต้องมาใช้กับลูก
แต่ก็เหมือนเดิมคือ เพราะเป็นคนไม่ค่อยคิดมากไง เลยพาลูกไปขับสารพิษกับหมอ..!
ซึ่งการขับสารพิษในครั้งนั้นก็เหมือนจะโอเค แต่ว่าท่าทางของหมอที่ดูไม่แน่ใจ
จึงทำให้รู้สึกอยากมาค้นข้อมูลอีกว่า การขับสารพิษแบบไหนคือดีที่สุด
จนพบว่าวิธีที่หมอทำมันจะทำให้เกิดการย้อนกระจายกลับของสารพิษได้
เราจึงเลิกไปหาหมออีก
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทุกอย่างที่เราทำต้องมีการสกรีนก่อนเช็คก่อนเสมอ ถ้าไม่เผลอหลุด
ถ้าหลุดไปก็ต้องรีบกลับมาเช็ค เราเช็คยาทุกอย่างที่หมอใช้ เช็คสารเคมีทุกอย่าง อาหารทุกอย่าง
เพราะนี่เป็นวิธีที่ช่วยให้ลูกเราหายจากโรคติกส์ที่แย่มาก ๆ ได้
มันอาจจะดูไม่ใช่โรคร้ายแรง แค่ส่ายหัวไปมา กระตุกได้ทั้งตัว แต่มันอยู่ด้วยยาก
อย่างไรก็ตามมันช่วยให้เรามาพบกับเรื่องสารปรอทและยีสต์แคนดิด้า
ซึ่งมันก็เป็นสาเหตุของโรคออทิสติกด้วย
ครับ เราก็อยากจะมาแชร์ให้ฟังว่าต่างประเทศรักษาโรคออทิสติกหายกันได้ยังไง
แน่นอนว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับการรักษาทางการแพทย์ เพราะการแพทย์ยืนยันแล้วว่าโรคนี้รักษาไม่ได้
แต่มันเหมือนคนเรามันยังไม่ได้ค้นพบอะไรอยู่อีกมาก
แล้วบังเอิญที่ผมและครอบครัวถูกผลักดันให้ค้นข้อมูลกันมากเป็นพิเศษ
ทฤษฎีที่ช่วยให้หายจากโรคนี้ได้พิสูจน์กับครอบครัวเรา และกับอีกหลายครอบครัว
ซึ่งพ่อแม่เหล่านั้นรองานวิจัยที่มีเพียร์รีวิวให้ออกมาก่อนอย่างที่หมอกำลังรออยู่ไม่ได้
บางทีเราอาจจะไม่กล้าทำอะไรที่นอกเหนือไปจากเรื่องราวตามปกติ คือ เมื่อป่วยก็ต้องไปหาหมอ
แต่ตัวผมเองก็ไม่ได้เป็นคนกล้ามากอะไร แต่เมื่อมันได้อ่านได้ศึกษามากขึ้นเรื่อย ๆ จนเข้าใจ
ความกลัวมันก็เลยไม่ได้เข้ามามีบทบาทอะไร มันเหมือนกับเรื่องที่ว่า เราจะกลัวในสิ่งที่เราไม่เข้าใจ
หรือ เราจะต่อต้านในสิ่งที่เราไม่เข้าใจ ดังนั้นวิธีแก้ไขก็คือ ต้องอ่านให้มากที่สุดครับ
ไม่ได้อ่านเพื่อจะเอาไปสอบหรือเพื่อประกอบอาชีพ
แต่อ่านเพราะลูกเรากำลังป่วยหนักแล้วเราอยากรู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับมัน