●●ทบทวนที่มาของส.ว.กันก่อนวิจารณ์..." สวิตช์ส.ว.ชุดเฉพาะกาลที่ได้เปิดแล้วในวันนี้ เมื่อครบ5 ปีก็จะปิดเองโดยอัตโนมัติ "●●

°° ที่มาของส.ว.ในอดีตตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ เป็นต้นมา
    มีทั้งมาจากการสรรหา -> การเลือกตั้ง -> การสรรหาร่วมกับการเลือกตั้งผสมกัน
    จนถึงรัฐธรรมนูญปี ๒๕๖๐ ซึ่งกำหนดให้มาจากการเลือกตั้ง ๕๐ คนและการสรรหา ๒๐๐ คน

    พบว่าจะมีที่มาของส.ว.เปลี่ยนแปลงไปตามบริบทของปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นในแต่ละยุคสมัย
    ทั้งนี้เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเดิมขึ้นอีกในอนาคต

     อย่างไรก็ตาม...รัฐธรรมนูญฉบับปีพ.ศ. ๒๕๖๐ ก็ถือเป็นบทสรุปที่เป็นผลจากปัญหาทางการเมือง
     ในอดีตที่ผ่านการลงประชามติ นั่นหมายความว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับกติกาแบบนี้

      แน่นอนที่ว่าต้องมีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
      สำหรับผู้ไม่เห็นด้วยก็คงต้องปรับตัวปรับใจอยู่กับกติกานี้ไป
      จนกว่าจะสามารถผลักดันให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ตามเกมส์การเมืองต่อไป

      สำหรับผู้ที่ไม่ได้ติดตามที่มาของส.ว.มากนัก
      บทความนี้อาจช่วยให้รายละเอียดเพิ่มเติมได้ไม่มากก็น้อย
      ซึ่งอาจทำให้การวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นดังกล่าว
      เป็นไปอย่างสมเหตุสมผลมากกว่าการใช้อารมณ์พาไป...

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

●●'คำนูณ'ยกบทบาทส.ว.เร่งรัดปฏิรูปประเทศ-ชี้ขาดร่างกม.ที่จะทำให้คนผิดไม่ต้องรับโทษ●●

             
                                                                  นาย คำนูณ สุทธิสมาน

17พ.ค.62-นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.)โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Kamnoon Sidhisamarn
เรื่อง '250 ส.ว.' มีเนื้อหาดังนี้...
หน้าที่และอำนาจในระยะเปลี่ยนผ่านของสมาชิกวุฒิสภาชุดบทเฉพาะกาล
__________________

สมาชิกวุฒิสภาชุดแรกตามบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญจำนวนทั้งสิ้น 250 คนจาก 3 ประเภทเป็น
'ผู้แทนปวงชนชาวไทย' เช่นเดียวกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 500 คนจาก 2 ประเภท มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ
และมีอำนาจตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ทั้งในบททั่วไปและบทเฉพาะกาล

หน้าที่และอำนาจตามบทเฉพาะกาลเป็นหน้าที่พิเศษที่ได้รับการบัญญัติเพิ่มขึ้นเพื่อให้วุฒิสภาเป็นหนึ่งในกลไกป้องกันไม่ให้บ้านเมืองกลับไปสู่วิกฤตทางการเมืองเดิมก่อนวันที่ 22 พฤษภาคม 2557

ทั้งนี้ สมาชิกวุฒิสภาชุดนี้ไม่ได้มีหน้าที่เพียงร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น

อันที่จริง หน้าที่ร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีนี้ตามมาภายหลัง โดยเป็นผลมาจากผลการออกเสียงประชามติใน
'คำถามเพิ่มเติม' ของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2559 ทำให้ต้องมีกระบวนการ
ปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญก่อนประกาศใช้เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560

สมาชิกวุฒิสภาชุดแรกมีหน้าที่หลักเฉพาะกาลอยู่ก่อนหน้าแล้วถึง 3 ประการ

ประการที่ 1

ติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามแผนปฏิรูปประเทศ
โดยคณะรัฐมนตรีจะต้องรายงานความคืบหน้าทุก 3 เดือน

ประการที่ 2

ร่วมกับสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศตั้งแต่ต้นในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา แทนที่จะให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้เสร็จก่อนแล้วจึงค่อยส่งมาที่วุฒิสภาเหมือนร่างกฎหมายทั่วไป
ที่เคยเป็นมา

ประการที่ 3

ร่วมกับสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่างกฎหมายสำคัญเฉพาะบางลักษณะซึ่งสภาใดสภาหนึ่งยับยั้งไว้และ
พ้นกำหนดเวลา 180 วัน หรือ 10 วันในกรณีที่เป็นร่างกฎหมายการเงิน แทนที่จะให้เป็นอำนาจเต็มของ
สภาผู้แทนราษฎรเพียงสภาเดียวเท่านั้น

เฉพาะประการที่ 1 และ 2

นี่คือเอกลักษณ์ของรัฐธรรมนูญ 2560 อันเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศที่มีกำหนดไว้โดยเฉพาะ
ให้ทุกรัฐบาลที่เข้ามาต้องดำเนินการปฏิรูปประเทศตามแผนปฏิรูปประเทศรวม 12 ด้าน โดยในปัจจุบัน
แผน 10 ด้านแล้วเสร็จและประกาศราชกิจจานุเบกษาไปแล้วกว่า 1 ปี ส่วนอีก 2 ด้านคือด้านการศึกษาและ
ด้านตำรวจนั้นตัวร่างกฎหมายหลักเสร็จแล้วในชั้นกฤษฎีกา ทั้งหมดเหลือแต่การทำตามแผน

สมาชิกวุฒิสภาชุดเฉพาะกาลนี้ได้รับการออกแบบไว้ให้เป็นคล้าย ๆ 'องครักษ์พิทักษ์การปฎิรูปประเทศ'
ทั้งติดตาม เร่งรัด ตรวจสอบ และอาจถึงการมีส่วนในกระบวนการกล่าวโทษผู้ที่ไม่ปฏิบัติตาม รวมทั้งเข้าร่วม
ในกระบวนการพิจารณาร่างกฎหมายตามแผนปฏิรูปประเทศผ่านช่องทางพิเศษโดยร่วมกับสภาผู้แทนราษฎร
ตั้งแต่ต้น  ทั้งนี้ เพราะการปฎิรูปประเทศคือการแก้ปัญหาวิกฤตของประเทศที่สมุฏฐาน

ส่วนประการที่ 3 นี่ก็สำคัญมากเช่นกัน แต่แทบไม่ค่อยได้รับการพูดถึง

ทั้ง ๆ ที่เป็นกลไกสำคัญที่จะมีส่วนช่วยระงับวิกฤตในลักษณะที่เคยเกิดขึ้นก่อน 22 พฤษภาคม 2557 ได้
หากจะเกิดซ้ำขึ้นอีกในอนาคต

นั่นคือโดยปกติแล้วเมื่อร่างกฎหมายใดถูกยับยั้ง ไม่ว่าเพราะวุฒิสภาไม่เห็นด้วยกับสภาผู้แทนราษฎร หรือ
สภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขของวุฒิสภาหรือของคณะกรรมาธิการร่วม โดยปกติแล้วร่างกฎหมาย
นั้นยังคงอยู่ ไม่ตกไป เพียงแค่อยู่ระหว่างถูกยับยั้งเท่านั้น

เพราะเมื่อพ้น 180 วัน หรือ 10 วันในกรณีเป็นร่างกฎหมายการเงิน สภาผู้แทนราษฎรเพียงสภาเดียวสามารถ
หยิบยกกลับขึ้นมาพิจารณาใหม่ได้ทันที และมีมติชี้ขาดได้โดยไม่ต้องฟังเสียงวุฒิสภาอีก พูดภาษาชาวบ้านคือ
ร่างกฎหมายปัญหายังไม่ตาย แค่สลบไป สภาผู้แทนราษฎรสามารถปลุกชีวิตให้ฟื้นขึ้นมาได้

คงยังจำร่างกฎหมาย 'นิรโทษกรรมสุดซอย' ต้นเหตุของการยึดอำนาจ 22 พฤษภาคม 2557 กันได้นะ
ข้างนอกรัฐสภา - มีมวลชนชุมนุมคัดค้าน ข้างในรัฐสภา - สภาผู้แทนราษฎรลงมติให้ผ่านวุฒิสภาลงมติยับยั้ง
แต่ไม่จบ เพราะร่างกฎหมายยังไม่ตาย วุฒิสภาทำได้แค่เพียงให้สลบไปชั่วคราวเท่านั้น เมื่อพ้น 180 วันแล้ว
สภาผู้แทนราษฎรสามารถปลุกให้ตื่นขึ้นมามีชีวิตใหม่โดยหยิบยกขึ้นพิจารณาใหม่โดยสภาเดียวได้ทันที

นี่อาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ผู้ชุมนุมนอกรัฐสภาไม่สลายตัวทันที เพราะไม่ไว้ใจเสียงข้างมากใน
สภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับที่มีมติผ่านร่างกฎหมายนั้นออกมา

บทเฉพาะกาลได้ปรับเปลี่ยนเป็นว่าให้วุฒิสภาชุดเฉพาะกาลเข้ามามีส่วนร่วมพิจารณาด้วย ถ้าจะมีมติให้
ร่างกฎหมายปัญหานั้นผ่านก็ต้องใช้มติ 2 ใน 3 ของที่ประชุมร่วม 2 สภา

อำนาจหน้าที่สำคัญประการที่ 3 นี้ไม่ได้ใช้กับร่างกฎหมายทุกฉบับ ใช้เฉพาะแต่กับร่างกฎหมาย 2 ลักษณะ
เท่านั้น คือ

1. ร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมโทษหรือองค์ประกอบความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือต่อตำแหน่งหน้าที่
ในการยุติธรรม หรือความผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ เฉพาะเมื่อการแก้ไขเพิ่มเติมนั้น
มีผลให้ผู้กระทำความผิดพ้นจากความผิดหรือไม่ต้องรับโทษ

2. ร่างกฎหมายที่มีผลกระทบต่อการดำเนินกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง

เฉพาะข้อ 2 ร่างกฎหมายใดจะเข้าข่ายนี้ วุฒิสภาต้องมีมติไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของสมาชิกเท่าที่มีอยู่
พูดง่าย ๆ รวม ๆ ภาษาชาวบ้านได้ว่าให้เข้ามามีส่วนร่วมชี้ขาดร่างกฎหมายที่จะทำให้คนผิดไม่ต้องรับโทษ
หรือร่างกฎหมายที่ทำลายกระบวนการยุติธรรม

นี่ก็เป็นการป้องกันปัญหาที่เคยเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อ 5 - 6 ปีที่ผ่านมา
อย่างน้อยก็จำกัดวงให้ปัญหายังมีทางแก้ไขในระบบรัฐสภามากขึ้นกว่าเดิม

ทั้ง 3 ประการนี้ มีผลบังคับเฉพาะอายุของสมาชิกวุฒิสภาชุดแรก 5 ปีเท่านั้น

ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2559
ด้วยเสียงข้างมาก 16,820,402 เสียง หรือเท่ากับร้อยละ 61.35 ของจำนวนผู้มาออกเสียงทั้งหมด
_______________

ส่วนการให้สมาชิกวุฒิสภาชุดแรกตามบทเฉพาะกาลเข้ามาร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีนั้น เดิมทีไม่ได้บัญญัติ
อยู่ในบทเฉพาะกาลของร่างรัฐธรรมนูญแต่ต้น แต่เกิดจากมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติและสภาขับเคลื่อน
การปฏิรูปประเทศมีความเห็นตรงกัน

โดยสรุปว่า ไหน ๆ จะให้ช่วง 5 ปีของอายุสมาชิกวุฒิสภาชุดเฉพาะกาลเป็นระยะเปลี่ยนผ่านที่สำคัญแล้ว
แทนที่จะให้สมาชิกวุฒิสภาชุดนี้คอยแต่ติดตามการปฏิรูปประเทศและการเป็นกลไกยับยั้งวิกฤตตามอำนาจ
หน้าที่ 3 ประการดังที่กล่าวมา ซึ่งล้วนเป็นกลางทางและปลายทาง หากจะเพิ่มอำนาจหน้าที่ให้อีกสักประการหนึ่งโดยให้มีส่วนร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีที่จะมาเป็นหัวหน้าคณะผู้บริหารประเทศด้วย ให้เป็นการมีส่วนร่วมเสีย
ตั้งแต่ต้นทางเลย จะดีกว่าหรือไม่

อย่างไรก็ตาม บทบาทชี้ขาดในการเลือกนายกรัฐมนตรียังคงอยู่ที่สภาผู้แทนราษฎร เพราะหากสมาชิกสภา
ผู้แทนราษฎร 376 คนขึ้นไปจากสมาชิกทั้งหมด 500 คนลงมติไปในทิศทางเดียวกัน เสียงของสมาชิกวุฒิสภา
250 คนก็ไม่มีความหมาย

ทุกคนรู้อยู่ว่านี่เป็นประเด็นละเอียดอ่อน
อย่ากระนั้นเลย ถามประชาชนตรง ๆ เลยจะถูกต้องที่สุด

จึงเป็นที่มาของคำถามเพิ่มเติมในการออกเสียงประชามติเมื่อ 7 สิงหาคม 2559
"ท่านเห็นชอบหรือไม่ว่า เพื่อให้การปฏิรูปประเทศเกิดความต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ สมควรกำหนด
ไว้ในบทเฉพาะกาลว่า ในระหว่าง 5 ปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ ให้ที่ประชุมร่วมกัน
ของรัฐสภาเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี"

ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งตอบคำถามนี้มาแล้วในการลงประชามติว่า
"เห็นด้วย"

ด้วยคะแนนเสียงข้างมาก 15,132,050 เสียง หรือเท่ากับร้อยละ 58.07 ของจำนวนผู้มาออกเสียงประชามติทั้งหมด
_______________

หน้าที่และอำนาจของสมาชิกวุฒิสภาชุดแรกตามบทเฉพาะกาลจึงมีจุดเชื่อมโยงกับประชาชนผ่าน
การออกเสียงประชามติเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2559

เพื่อให้การปฏิรูปประเทศทุกด้านเดินหน้าตามแผน

หน้าที่และอำนาจนี้จะคงอยู่เพียงชั่วคราว
สวิตช์ส.ว.ชุดเฉพาะกาลที่ได้เปิดแล้วในวันนี้ เมื่อครบเวลา 5 ปีก็จะปิดเองโดยอัตโนมัติ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่