'เพื่อไทย' รับ ทำอะไรไม่ได้ กกต.ใบส้ม 'สุรพล' แม้แจงแล้ว ถวายปัจจัย พระไม่มีสิทธิเลือกตั้ง
https://www.matichon.co.th/politics/news_1464336
“ชูศักดิ์” ชี้ “เพื่อไทย” คงทำอะไรไม่ได้ กรณี กกต. ให้ใบส้ม “สุรพล” แม้จะแจงแล้วว่าเป็นการถวายปัจจัยให้พระซึ่งไม่มีสิทธิ ลต. เพราะ กม.ให้คำสั่งเป็นที่สิ้นสุด เท่ากับเสียไป 1 ที่นั่ง
เมื่อวันที่ 24 เมษายน นาย
ชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์กรณี กกต. แจกใบส้มนายสุรพล เกียรติไชยากร ว่าที่ ส.ส.เชียงใหม่ พรรค พท. ว่าได้รับทราบจากนายสุรพลว่าถูกร้องว่าให้เงิน 2,000 บาท และนาฬิกาแก่ครูบาสามที่วัดพระธาตุดอยพระเจ้าในงานทอดผ้าป่าของวัด นาย
สุรพลรับว่าให้เงินและทรัพย์สินจริง แต่เป็นการถวายทำบุญเป็นค่าเทียนบูชา และพุทธบูชา โดยได้ทำบุญกับวัดนี้เป็นประจำตลอดมา ไม่เกี่ยวข้องกับการทอดผ้าป่า ไม่มีเหตุจูงใจในการเลือกตั้ง และพระเองก็ไม่มีสิทธิเลือกตั้ง คะแนนในเขตนี้ตนเองก็แพ้คู่แข่ง กกต.ฟังว่าเป็นการให้ทรัพย์สินและประโยชน์อันจะทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรม จึงออกใบส้มและสั่งให้เลือกตั้งใหม่ เพราะนาย
สุรพลมีคะแนนเป็นอันดับ 1 เราคงจะทำอะไรไม่ได้เพราะกฎหมายให้คำสั่งเป็นที่สุด เป็นอำนาจของ กกต.ที่เพิ่มขึ้นใหม่ตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เคยบอกไว้แล้วว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้อำนาจวินิจฉัยชี้ขาดตัดสิทธิผู้สมัครกับมาเป็นของ กกต.อีกโดยการให้ใบส้ม จึงเท่ากับเราจะเสียที่นั่งไปหนึ่งที่และไม่มีสิทธิส่งใครไปลงเลือกตั้งใหม่
นิติศาสตร์ มช. ถามแรง กกต.มีไว้ทำไม ซัดไร้ความรู้-เลือกปฏิบัติ จัดเลือกตั้งไม่โปร่งใส
https://www.khaosod.co.th/politics/news_2448957
นิติศาสตร์ มช. ถามแรง กกต.มีไว้ทำไม ซัดไร้ความรู้-เลือกปฏิบัติ จัดเลือกตั้งไม่โปร่งใส
หลัง กกต. มีมติแจ้งข้อกล่าวหา นาย
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ว่าเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หลังถูกร้องป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ซึ่งประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ
อีกทั้งก่อนหน้านี้ มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องจัดการเลือกตั้ง ทั้งเรื่องบัตรเลือกตั้งที่ประเทศนิวซีแลนด์ ที่ล่าช้า เรื่องบัตรเขย่ง และอีกหลายเรื่อง ที่สังคมยังเคลือบแคลงสงสัยในเรื่องของความยุติธรรม
ศูนย์วิจัยและพัฒนากฎหมาย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ออกแถลงการณ์ เรื่อง
กกต. มีไว้ทำไม ความว่า
คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นองค์กรที่ถูกจัดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญ 2540 เนื่องจากความต้องการที่จะทำให้กระบวนการเลือกตั้งเป็นไปอย่างสุจริตและเที่ยงธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เข้ามาแข่งขันในทางการเมือง
กกต. จึงได้รับการออกแบบในฐานะขององค์กรอิสระองค์กรหนึ่ง ทั้งในแง่ของกระบวนการคัดสรร การให้ความเห็นชอบ ความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งในระยะเริ่มต้น กกต. ได้ปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นอย่างดีในฐานะองค์กรที่มีความเป็นกลาง และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างตรงไปตรงมา
อย่างไรก็ตาม เฉกเช่นเดียวกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับองค์กรอิสระหลายองค์กร องค์กรนี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนและทำให้ระบบราชการเข้ามามีอำนาจครอบงำเพิ่มมากขึ้น ภายใต้ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในรอบสองทศวรรษก็มีผลอย่างสำคัญที่ทำให้องค์กรเหล่านี้อยู่ภายใต้การครอบงำของระบบราชการ และการเลือกฝักฝ่ายทางการเมืองที่เห็นได้ชัดเจน ความพยายามในการจัดการเลือกตั้ง
“ให้ล้มเหลว” ก่อนรัฐประหาร 2557 ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันได้เป็นอย่างดี
รัฐธรรมนูญ 2560 ได้ปรับเปลี่ยนองค์ประกอบและกระบวนการสรรหา ภายใต้การโฆษณาว่าจะได้
“มนุษย์เทพ” มาทำหน้าที่ แต่มาถึงบัดนี้ก็เป็นที่ชัดเจนว่าการทำงานของ กกต. ทำให้เกิดความกังขาใน 4 เรื่องสำคัญ
ประการแรก ความสามารถ การจัดการเลือกตั้งที่ผ่านมาประสบปัญหานับตั้งแต่การเลือกตั้งล่วงหน้าทั้งภายนอกและภายในประเทศ กกต. ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปอย่างปกติที่พึงมีในสังคมประชาธิปไตยทั้งหลาย
การไม่นับคะแนนที่มาจากต่างประเทศหรือการจัดคูหาที่แออัดต่อการเลือกตั้งล่วงหน้าในประเทศ ทั้ง 2 เรื่องเป็นสิ่งที่สามารถคาดหมายได้โดยไม่ยากแต่ก็ไม่มีการตระเตรียมไว้ให้พร้อม ย่อมสะท้อนความสามารถในการจัดการเลือกตั้งว่ามีอยู่ในระดับใด
ประการที่สอง ความโปร่งใส แม้กระทั่งผ่านการเลือกตั้งไปหนึ่งเดือน ไม่เพียงไม่สามารถประกาศผลอย่างเป็นทางการ รวมถึง กกต. ก็ไม่เปิดเผยคะแนนเลือกตั้งรายหน่วยแก่สาธารณะแต่อย่างใด กลับให้ผู้ต้องการข้อมูลไปขอจากแต่ละจังหวัดด้วยตนเอง
ทั้งที่การเปิดเผยข้อมูลระดับหน่วยเลือกตั้งจะช่วยทำให้สามารถเห็นได้ว่าการทำงานของ กกต. ดำเนินไปอย่างถูกต้อง โดยมิได้มีการเอียงเข้าหาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ในอดีตที่ผ่านมา กกต. ก่อนหน้านี้ก็ได้เปิดเผยต่อสาธารณะโดยตลอด จึงย่อมเป็นคำถามได้ว่าเพราะเหตุใดครั้งนี้จึงไม่กล้าเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ
ประการที่สาม ความรู้ เป็นที่น่าตระหนกอย่างมาก เมื่อทาง กกต. ได้ส่งประเด็นสูตรการคำนวณจำนวน ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อไปให้กับทางศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ชี้ขาด ไม่ว่าจะศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำตัดสินในลักษณะเช่นใด แต่ในเบื้องต้นย่อมทำให้เกิดความคลางแคลงใจเป็นอย่างยิ่งว่าเพราะเหตุใดหน่วยงานอย่าง กกต. กลับไม่มีความรู้ในเรื่องของการคำนวณจำนวน ส.ส. ทั้งที่เป็นภาระหน้าที่หลักขององค์กร
ประการที่สี่ การเลือกปฏิบัติ เห็นได้ชัดว่าเมื่อมีการกล่าวหาต่อพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจรัฐกับพรรคการเมืองที่ยืนอยู่ตรงกันข้ามกับผู้มีอำนาจรัฐในขณะนี้ จะเห็นได้ถึงการปฏิบัติที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก ทั้งในด้านของความรวดเร็ว การแสวงหาหลักฐาน แนวโน้มของคำวินิจฉัย เช่น กรณีโต๊ะจีน, เอกสารราชการหลุดกรณีสนับสนุนพรรคการเมืองบางพรรค เป็นต้น
กกต. มิใช่องค์กรอาสาสมัครที่นำเอาบรรดาผู้มีจิตใจสาธารณะมาทำงานโดยมิได้ค่าตอบแทน หากเป็นองค์กรที่ได้ค่าตอบแทนอันมาจากภาษีประชาชนในจำนวนสูง
อีกทั้งเป็นองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติงานซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเลือกตั้ง รวมถึงการทำหน้าที่ที่อาจทำให้เกิดผลเอียงข้างไปในทางใดทางหนึ่งได้โดยไม่ยากลำบาก
แต่จากที่กล่าวมาข้างต้น จึงย่อมนำมาซึ่งคำถามที่สำคัญได้ว่าหากไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว สังคมไทยจะมี กกต. เช่นนี้ไว้ทำไม
อ่านฉบับเต็ม
https://www.facebook.com/LRDCLawCmu/posts/2124983457751215
JJNY : 4in1 พท.รับทำอะไรไม่ได้กกต.ใบส้มสุรพล/นิติมช.ถามแรงกกต.มีไว้ทำไม/ป.ป.ช.เผยกฎใหม่เปิดทรัพย์สิน/ปาล์มหนักสุดรอบ20ปี
https://www.matichon.co.th/politics/news_1464336
“ชูศักดิ์” ชี้ “เพื่อไทย” คงทำอะไรไม่ได้ กรณี กกต. ให้ใบส้ม “สุรพล” แม้จะแจงแล้วว่าเป็นการถวายปัจจัยให้พระซึ่งไม่มีสิทธิ ลต. เพราะ กม.ให้คำสั่งเป็นที่สิ้นสุด เท่ากับเสียไป 1 ที่นั่ง
เมื่อวันที่ 24 เมษายน นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์กรณี กกต. แจกใบส้มนายสุรพล เกียรติไชยากร ว่าที่ ส.ส.เชียงใหม่ พรรค พท. ว่าได้รับทราบจากนายสุรพลว่าถูกร้องว่าให้เงิน 2,000 บาท และนาฬิกาแก่ครูบาสามที่วัดพระธาตุดอยพระเจ้าในงานทอดผ้าป่าของวัด นายสุรพลรับว่าให้เงินและทรัพย์สินจริง แต่เป็นการถวายทำบุญเป็นค่าเทียนบูชา และพุทธบูชา โดยได้ทำบุญกับวัดนี้เป็นประจำตลอดมา ไม่เกี่ยวข้องกับการทอดผ้าป่า ไม่มีเหตุจูงใจในการเลือกตั้ง และพระเองก็ไม่มีสิทธิเลือกตั้ง คะแนนในเขตนี้ตนเองก็แพ้คู่แข่ง กกต.ฟังว่าเป็นการให้ทรัพย์สินและประโยชน์อันจะทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรม จึงออกใบส้มและสั่งให้เลือกตั้งใหม่ เพราะนายสุรพลมีคะแนนเป็นอันดับ 1 เราคงจะทำอะไรไม่ได้เพราะกฎหมายให้คำสั่งเป็นที่สุด เป็นอำนาจของ กกต.ที่เพิ่มขึ้นใหม่ตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เคยบอกไว้แล้วว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้อำนาจวินิจฉัยชี้ขาดตัดสิทธิผู้สมัครกับมาเป็นของ กกต.อีกโดยการให้ใบส้ม จึงเท่ากับเราจะเสียที่นั่งไปหนึ่งที่และไม่มีสิทธิส่งใครไปลงเลือกตั้งใหม่
นิติศาสตร์ มช. ถามแรง กกต.มีไว้ทำไม ซัดไร้ความรู้-เลือกปฏิบัติ จัดเลือกตั้งไม่โปร่งใส
https://www.khaosod.co.th/politics/news_2448957
หลัง กกต. มีมติแจ้งข้อกล่าวหา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ว่าเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หลังถูกร้องป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ซึ่งประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ
อีกทั้งก่อนหน้านี้ มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องจัดการเลือกตั้ง ทั้งเรื่องบัตรเลือกตั้งที่ประเทศนิวซีแลนด์ ที่ล่าช้า เรื่องบัตรเขย่ง และอีกหลายเรื่อง ที่สังคมยังเคลือบแคลงสงสัยในเรื่องของความยุติธรรม
ศูนย์วิจัยและพัฒนากฎหมาย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ออกแถลงการณ์ เรื่อง กกต. มีไว้ทำไม ความว่า
คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นองค์กรที่ถูกจัดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญ 2540 เนื่องจากความต้องการที่จะทำให้กระบวนการเลือกตั้งเป็นไปอย่างสุจริตและเที่ยงธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เข้ามาแข่งขันในทางการเมือง
กกต. จึงได้รับการออกแบบในฐานะขององค์กรอิสระองค์กรหนึ่ง ทั้งในแง่ของกระบวนการคัดสรร การให้ความเห็นชอบ ความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งในระยะเริ่มต้น กกต. ได้ปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นอย่างดีในฐานะองค์กรที่มีความเป็นกลาง และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างตรงไปตรงมา
อย่างไรก็ตาม เฉกเช่นเดียวกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับองค์กรอิสระหลายองค์กร องค์กรนี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนและทำให้ระบบราชการเข้ามามีอำนาจครอบงำเพิ่มมากขึ้น ภายใต้ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในรอบสองทศวรรษก็มีผลอย่างสำคัญที่ทำให้องค์กรเหล่านี้อยู่ภายใต้การครอบงำของระบบราชการ และการเลือกฝักฝ่ายทางการเมืองที่เห็นได้ชัดเจน ความพยายามในการจัดการเลือกตั้ง “ให้ล้มเหลว” ก่อนรัฐประหาร 2557 ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันได้เป็นอย่างดี
รัฐธรรมนูญ 2560 ได้ปรับเปลี่ยนองค์ประกอบและกระบวนการสรรหา ภายใต้การโฆษณาว่าจะได้ “มนุษย์เทพ” มาทำหน้าที่ แต่มาถึงบัดนี้ก็เป็นที่ชัดเจนว่าการทำงานของ กกต. ทำให้เกิดความกังขาใน 4 เรื่องสำคัญ
ประการแรก ความสามารถ การจัดการเลือกตั้งที่ผ่านมาประสบปัญหานับตั้งแต่การเลือกตั้งล่วงหน้าทั้งภายนอกและภายในประเทศ กกต. ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปอย่างปกติที่พึงมีในสังคมประชาธิปไตยทั้งหลาย
การไม่นับคะแนนที่มาจากต่างประเทศหรือการจัดคูหาที่แออัดต่อการเลือกตั้งล่วงหน้าในประเทศ ทั้ง 2 เรื่องเป็นสิ่งที่สามารถคาดหมายได้โดยไม่ยากแต่ก็ไม่มีการตระเตรียมไว้ให้พร้อม ย่อมสะท้อนความสามารถในการจัดการเลือกตั้งว่ามีอยู่ในระดับใด
ประการที่สอง ความโปร่งใส แม้กระทั่งผ่านการเลือกตั้งไปหนึ่งเดือน ไม่เพียงไม่สามารถประกาศผลอย่างเป็นทางการ รวมถึง กกต. ก็ไม่เปิดเผยคะแนนเลือกตั้งรายหน่วยแก่สาธารณะแต่อย่างใด กลับให้ผู้ต้องการข้อมูลไปขอจากแต่ละจังหวัดด้วยตนเอง
ทั้งที่การเปิดเผยข้อมูลระดับหน่วยเลือกตั้งจะช่วยทำให้สามารถเห็นได้ว่าการทำงานของ กกต. ดำเนินไปอย่างถูกต้อง โดยมิได้มีการเอียงเข้าหาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ในอดีตที่ผ่านมา กกต. ก่อนหน้านี้ก็ได้เปิดเผยต่อสาธารณะโดยตลอด จึงย่อมเป็นคำถามได้ว่าเพราะเหตุใดครั้งนี้จึงไม่กล้าเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ
ประการที่สาม ความรู้ เป็นที่น่าตระหนกอย่างมาก เมื่อทาง กกต. ได้ส่งประเด็นสูตรการคำนวณจำนวน ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อไปให้กับทางศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ชี้ขาด ไม่ว่าจะศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำตัดสินในลักษณะเช่นใด แต่ในเบื้องต้นย่อมทำให้เกิดความคลางแคลงใจเป็นอย่างยิ่งว่าเพราะเหตุใดหน่วยงานอย่าง กกต. กลับไม่มีความรู้ในเรื่องของการคำนวณจำนวน ส.ส. ทั้งที่เป็นภาระหน้าที่หลักขององค์กร
ประการที่สี่ การเลือกปฏิบัติ เห็นได้ชัดว่าเมื่อมีการกล่าวหาต่อพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจรัฐกับพรรคการเมืองที่ยืนอยู่ตรงกันข้ามกับผู้มีอำนาจรัฐในขณะนี้ จะเห็นได้ถึงการปฏิบัติที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก ทั้งในด้านของความรวดเร็ว การแสวงหาหลักฐาน แนวโน้มของคำวินิจฉัย เช่น กรณีโต๊ะจีน, เอกสารราชการหลุดกรณีสนับสนุนพรรคการเมืองบางพรรค เป็นต้น
กกต. มิใช่องค์กรอาสาสมัครที่นำเอาบรรดาผู้มีจิตใจสาธารณะมาทำงานโดยมิได้ค่าตอบแทน หากเป็นองค์กรที่ได้ค่าตอบแทนอันมาจากภาษีประชาชนในจำนวนสูง
อีกทั้งเป็นองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติงานซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเลือกตั้ง รวมถึงการทำหน้าที่ที่อาจทำให้เกิดผลเอียงข้างไปในทางใดทางหนึ่งได้โดยไม่ยากลำบาก
แต่จากที่กล่าวมาข้างต้น จึงย่อมนำมาซึ่งคำถามที่สำคัญได้ว่าหากไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว สังคมไทยจะมี กกต. เช่นนี้ไว้ทำไม
อ่านฉบับเต็ม
https://www.facebook.com/LRDCLawCmu/posts/2124983457751215