JJNY พท.แนะประยุทธ์สอบคนใกล้ตัว ต้นตอข่าวปลอมฯ/ปธ.ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีฟ้อง7กกต.ฯ/บิ๊กตู่ลั่นรับผิดชอบเอง!ปมปิดเหมืองฯ

พท. แนะ ประยุทธ์ สอบคนใกล้ตัว ต้นตอผลิตข่าวปลอม ก่อนตั้งศูนย์ต้านข่าวปลอม
https://www.matichon.co.th/politics/news_1732826

“อนุสรณ์” แนะ “ประยุทธ์” ตรวจสอบคนใกล้ตัว ผลิต-เผยแพร่ข่าวผลอม ก่อนจะตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม

เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอให้ประชาชนช่วยกันแจ้งข่าวปลอมเข้ามา จะได้สอบสวนสืบสวนหาต้นตอ แก้ปัญหาตั้งแต่ต้นทางโดยเร็วที่สุด ว่า เพื่อพิสูจน์ความจริงใจในเรื่องการต่อต้านข่าวปลอม พล.อ.ประยุทธ์ ควรเริ่มต้นโดยการตั้งกรรมการสอบสวน พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ที่ถูกร้องเรียนประพฤติมิชอบ ไม่เป็นกลางทางการเมือง ทั้งในเวลาราชการปกติ และในระหว่างมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการเมืองให้กับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หากกระทำเช่นนั้นจริง จะถือว่ากรมประชาสัมพันธ์ ภายใต้การนำของพล.ท.สรรเสริญ คนใกล้ชิดของพล.อ.ประยุทธ์ เป็นต้นตอของการผลิตและเผยแพร่ข่าวปลอมเสียเองหรือไม่ รวมถึงการใช้งบประมาณ 25,166,800 ล้านบาท ในการจัดซื้อจัดจ้างการก่อสร้างอาคารฝ่ายนิทรรศการและศิลปกรรม โดยใช้งบประมาณอย่างเร่งรีบ ราคากลางไม่เหมาะสม พบจุดชำรุด ไม่สามารถใช้งานได้ ซึ่งไม่เป็นไปตามแบบการก่อสร้าง รวมถึงตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์รับเงินจากบริษัท เอส จี อาร์ เอนเตอร์ไพร์ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้รับจ้าง เพื่อเร่งรัดให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำเรื่องเบิกจ่าย หรือไม่

พล.อ.ประยุทธ์ ต้องทำเรื่องนี้ให้กระจ่างด้วยตัวเอง เพราะถ้าไม่ทำเช่นนั้น จะไปเรียกความเชื่อมั่นมาจากไหน อย่าปล่อยให้คณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ ป.ป.ช. สภาฯ ทำหน้าที่เพียงฝ่ายเดียว พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ต้องดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาในเรื่องนี้

“อย่าให้ประชาชนเข้าใจว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมนี้ ตั้งขึ้นมาเพื่อกำจัดฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง แต่ถ้าเป็นพวกพ้อง ฝ่ายเดียวกันกับรัฐบาล ทำข่าวปลอมขึ้นมาเสียเองแล้วตัวเองเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ ไม่มีความผิด การตรวจสอบควรทำอย่างเสมอภาคเท่าเทียม” นายอนุสรณ์ กล่าว


 
ปธ.ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีฟ้อง 7กกต.ปฏิบัติหน้าที่มิชอบรับรองคุณสมบัติ “บิ๊กตู่”เป็นนายกฯอยู่ในอำนาจศาลอาญาทุจริตฯ
https://www.matichon.co.th/local/crime/news_1732765

ปธ.ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีฟ้อง 7กกต.ปฏิบัติหน้าที่มิชอบรับรองคุณสมบัติ “บิ๊กตู่”เป็นนายกฯอยู่ในอำนาจศาลอาญาทุจริตฯ ถือเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา สั่งรับคดีไว้ตรวจฟ้อง “วิญญัติ”ชี้ เป็นบรรทัดฐานประชาชนใช้สิทธิฟ้ององค์กรอิสระได้

เมื่อวันที่ 30 ต.ค.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง ศาลได้อ่านคำวินิจฉัยของประธานศาลอุทธรณ์ วท. 12/ 2562 ศาลอุทธรณ์ที่มีคำวินิจฉัยลงวันที่วันที่ 4 ก.ย.2562 ในคดีหมายเลขดำที่ อท. 54/ 2562 ที่นายสุรทิน พิจารณ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่ กับพวกรวม 2 คนยื่นฟ้อง นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) กับพวกซึ่งเป็น กกต.รวม 7 คน ขอให้ลงโทษจำเลยทั้ง 7 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83,43 พรป.กกต.พ.ศ.2560 มาตรา 29 ประกอบมาตรา 25 พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้งิส.ส.พ.ศ. 2561มาตรา 23 ประกอบมาตรา 149 และมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยทั้ง 7 มีกำหนด 20 ปี
 
โดยศาลชั้นต้นเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่า คดีนี้เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบหรือไม่ จึงมีคำสั่งให้ส่งสำนวนมายังศาลอุทธรณ์เพื่อให้ประธานศาลอุทธรณ์วินิจฉัยตามพรบ.จัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบพ.ศ. 2559 มาตรา11 โดยในวันอ่านคำสั่งของประธานศาลอุทธรณ์ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ที่ 1 และเป็นตัวโจทก์ที่ 2 เดินทางมาศาล พร้อมกับทนายโจทก์ทั้ง 2 พิเคราะห์แล้วเห็นว่า 

กกต.เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 หมวด 12 ส่วนที่ 2 มีอำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 224 เมื่อจำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งประธาน กกต.จำเลยที่ 2-7 ดำรงตำแหน่ง กกต.จำเลยทั้ง 7 จึงเป็นผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ

การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้ง 7 จงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตาม พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.มาตรา 23 ประกอบมาตรา 149 และ พรป.ว่าด้วย กกต.พ.ศ.2560 มาตรา 21ประกอบ 22 และมาตรา 38 ไม่ตรวจคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นบุคคลที่พรรคพลังประชารัฐแจ้งว่า จะเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีและร่วมกันออกประกาศ กกต.เรื่องการแจ้งรายชื่อบุคคลที่พรรคการเมืองจะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีฉบับลงวันที่ 11 ก.พ.62 ให้พลเอกประยุทธ์ เป็นบุคคลที่พรรคพลังประชารัฐแจ้งว่า จะเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีลำดับที่ 30 เพื่อให้เป็นคุณแก่พรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 17มี.ค.62 (เลือกตั้งล่วงหน้า) และในวันที่ 24 มี.ค.62 (เลือกตั้งทั่วไป)

ทั้งเมื่อนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะยื่นหนังสือเพื่อขอให้ตรวจสอบการคัดเลือกพลอ.ประยุทธ์จำเลยทั้ง 7 ก็มิได้วินิจฉัยชี้ขาดข้อโต้แย้งดังกล่าว ต่อมาเมื่อนายวิญญัติ ชาติมนตรี ยื่นหนังสือคัดค้านการประกาศรายชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ และขอให้เพิกถอนชื่อบุคคลดังกล่าว จำเลยทั้ง 7 ยังคงให้มีการประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้งเรื่องการแจ้งรายชื่อบุคคลที่พรรคการเมืองจะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ต่อไป เมื่อนายเรืองไกรยื่นหนังสือขอให้ กกต.วินิจฉัยว่าพล.อ.ประยุทธ์ในฐานะหัวหน้าคสช. เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือไม่เป็นครั้งที่ 2 จำเลยทั้ง 7 ก็ยังคงปล่อยให้มีการประกาศเรื่องการแจ้งรายชื่อบุคคลที่พรรคการเมือง จะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปอีก จำเลยทั้ง 7 รับทราบข้อโต้แย้งแล้ว แต่ไม่ดำเนินการตามหน้าที่สั่งให้ระงับยับยั้งหรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้ การเลือกตั้งการเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรมและชอบด้วยกฎหมายกกันให้พล.อ.ประยุทธ์สามารถรณณรงค์หาเสียงหรือขึ้นเวทีปราศรัยในฐานะที่เป็นผู้ถูกแสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐได้ ซึ่งความจริง พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะหัวหน้า คสช.เป็น “เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ” ไม่มีคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามการเป็นนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ2560 มาตรา 160 และพรป.ด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.พ.ศ.2561มาตรา 13เเละ44

การกระทำของจำเลยทั้ง7เป็นการกระทำโดยไม่สุจริตขอให้ลงโทษตาม พรป.กกต.มาตรา 5 ประกอบมาตรา 25 พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 23 ประกอบมาตรา 144

จึงเป็นกรณีที่มูลความแห่งคดีเป็นการกล่าวหาผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระทุจริตต่อหน้าที่หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายซึ่งหากจะฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามบทบัญญัติ พรป.

ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 2560 มาตรา 23 กำหนดผู้มีอำนาจฟ้องคดี ได้แก่ อัยการสูงสุดและคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตเเห่งชาติ (ปปช.)ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตกำหนดซึ่งใช้บังคับในกรณีที่อัยการสูงสุดและ ปปช.เป็นผู้ฟ้องคดีแต่คดีนี้ผู้ฟ้องคดีคือโจทก์ทั้ง 2 มิใช่อัยการสูงสุดหรือ ปปช.ย่อมไม่อยู่ภายใต้บังคับของบทกฎหมายดังกล่าว เมื่อคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้ง7โดยจำเลยที่ 1เป็นประธาน กกต.จำเลยที่ 2-7 เป็นกกต.ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วย พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.2561 มาตรา 23 ประกอบมาตรา 149 และ พรป.กกต.2560 มาตรา 38 กำหนดว่า ในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยทั้ง 7 ให้ถือว่า เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ดังนั้นคดีนี้จึงเป็นคดีทุจริตและประพฤติมิชอบอยู่ในเขตอำนาจของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบตามพรบ.จัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบพ.ศ.2555 มาตรา 3 วรรคหนึ่ง (1) วินิจฉัยว่าคดีนี้อยู่ในเขตอำนาจของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ จึงมีคำสั่งให้รับคดีไว้ตรวจฟ้องนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษา(ในชั้นตรวจฟ้อง)ในวันที่ 3 ธ.ค.นี้

นายวิญญัติ ชาติมนตรี เลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิเสรีภาพ ( สกสส.) กล่าวว่า ในฐานะที่เคยยื่นหนังสือคัดค้านการประกาศรายชื่อพล.อ.ประยุทธ์ และขอให้เพิกถอนชื่อบุคคลดังกล่าวต่อ กกต. เเละได้ทราบคำวินิจฉัยของประธานศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยให้คดีฟ้อง ว่า กกต.เป็นคดีอยู่ในอำนาจของศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ ประชาชนสามารถฟ้องเองได้ อาจถือว่าเป็นประเด็นข้อกฎหมายที่รับรองถึงการใช้สิทธิฟ้ององค์กรอิสระต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบได้โดยตรง แม้โจทก์ที่ยื่นฟ้องคดี ปัจจุบันได้เป็นส.ส.ได้ถอนฟ้องคณะกรรมการการเลือกตั้งทั้ง 7 คนแล้วก็ตาม แต่คำวินิจฉัยนี้จะเป็นบรรทัดฐานว่าด้วยผู้มีอำนาจฟ้องคดีที่สำคัญต่อไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่