Suzuki RG 150 Gamma II (รุ่นใหม่ ร้อนแรง เต็มสูบ)




ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2535 ณ.ห้องบางกอกคอนเวนชั่น โรงแรมเซนทรัลพลาซ่า Suzuki ได้ทำการเปิดตัว RG-150 I ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยเป็นการแก้เกมทางการตลาดของรถสปอร์ตขนาด 150cc กับค่ายญี่ปุ่นเจ้าอื่นๆ


RG-150 I ใช้ระยะเวลาเพียงไม่นานก็สามารถสร้างชื่อเสียงในเรื่องความเร็วและแรงได้ ซึ่งสิ่งที่ต้องแลกกับความเร็วแรงก็คืออัตราการบริโภคน้ำมันอันดุเดือดเป็นที่เลื่องลืออย่างมาก นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องการระบายความร้อนของเครื่องยนต์ไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร ซึ่งปัญหาเรื่องความร้อนที่พบเจอส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ขับขี่อยู่ในเมืองหลวง เนื่องจากมีสภาพการจราจรที่ติดขัด สิ่งเหล่านี้เองได้กลายเป็นข้อด้อยของรถรุ่นนี้ไปโดยบรรยาย หากนำไปเปรียบเทียบกับสปอร์ตค่ายอื่น


ข้อมูล RG-150 I




กาลเวลาล่วงเลยผ่านมาถึงวันที่ 18 พฤษภาคม 2538 ทาง Suzuki ก็ได้ทำการพัฒนาปรับปรุงรถรวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อให้ก้าวทันกับคู่แข่งค่ายต่างๆ ทำให้ได้รถสปอร์ตขนาด 150 cc ภายใต้รหัสว่า RG 150 Gamma II




RG 150 Gamma II มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 2 จังหวะ 1 ลูกสูบ ป้อนไอดีแบบแคร้งเคสรีดวาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ ความจุกระบอกสูบอยู่ที่ 148 cc มีระยะชักที่ 61.0-50.6 มม. และมีกำลังอัดอยู่ที่ 6.8: 1 พร้อมทั้งระบบควบคุมการระบายไอเสีย AETC II (Automatic Exhaust Timing Control II) ควบคุมการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์โดยสามารถทำแรงม้าสูงสุดที่ 37 แรงม้า ต่อรอบเครื่อง 10,800 รอบ/นาที และมีแรงบิดที่ 2.55 กก.-ม. ที่ 10,000 รอบ/นาที

ข้อมูลสเปค





เป้าหมายสำคัญอีกอย่างของ RG 150 Gamma II คือการลดอัตราการบริโภคน้ำมันให้มีความใกล้เคียงกับคู่แข่งค่ายอื่นๆ ดังนั้นทาง Suzuki จึงได้ปรับแก้ไขที่ขนาดของคาบูเรเตอร์แบบสลิงช็อตให้เล็กลงจากเดิม โดยจากขนาด 30 มม. ลดเหลือ 28 มม. นอกจากนี้ยังได้มีการปรับแต่งขยายช่องพอร์ทไอดีให้ใหญ่ขึ้นจากรุ่นเดิม โดยจาก 39.5 มม. เพิ่มขึ้นเป็น 40 มม. เพื่อช่วยให้ไอดีไหลเข้ารวดเร็วขึ้น

ในส่วนปัญหาเรื่องระบบความร้อนจากรุ่นเก่า ทาง Suzuki ได้ปรับปรุงช่องทางเดินของน้ำใหม่ให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเพื่อช่วยระบายความร้อนให้ได้มีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ในส่วนของกระบอกสูบได้มีการเคลือสารหล่อลื่น Lublite Coating เพื่อช่วยลดแรงเสียดทานภายในกระบอกสูบ และเมื่อผสมผสานกับลูกสูบที่เคลือบสารหล่อลื่น Deflic Coating ที่ช่วยป้องกันการลูกสูบติด รวมถึงการปรับปรุงชุดก้านสูบและสลักข้อเหวี่ยงใหม่ ส่งผลทำให้เครื่องยนต์เดินได้อย่างเรียบและเสียงที่เงียบขึ้นจากเดิม

วาล์วไอเสียได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ จากเดิมเป็นอลูมินัมมาเป็นเหล็กชนิดพิเศษ ซึ่งมีน้ำหนักที่เบาและมีความแข็งแรงเป็นพิเศษ และรวมไปถึงสามารถถ่ายเทความร้อนได้ดีกว่าเดิม

การปรับปรุงเครื่องยนต์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ล้วนเป็นการแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ ของเครื่องยนต์ในรุ่น RG-150 I ทั้งสิ้น

Suzuki ไม่เพียงแค่ปรับปรุงในส่วนของเครื่องยนต์เพียงเท่านั้น สำหรับในส่วนประกอบต่างๆ ของรถก็ได้มีการแก้ไขปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน

บังโคลนหน้าได้ถูกปรับปรุงให้มีความยาวขึ้นจากเดิม เพื่อป้องกันเศษชิ้นส่วนต่างๆ กระเด็นไปโดนรังผึ้งของหม้อน้ำ และยังสามารถดูแลความสะอาดให้ง่ายขึ้นกว่าเดิม

บังโคลนท้ายได้ ปรับปรุงให้มีความยาวเพิ่มขึ้นเช่นกัน เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกกระเด็นขึ้นข้างหลัง

แกนโช๊คอัพหน้าได้เพิ่มความยาวขึ้นอีก 35 มม. เพื่อให้โช๊ตทำงานได้นุ่มนวลขึ้นยิ่งกว่าเดิม

ล้อแม็ก (Castwell) แบบ 3 ก้านมีความแข็งแรงทนทานและน้ำหนักที่เบา ส่งผลให้ไม่กินกำลังของเครื่องยนต์ และรวมไปถึงเข้ากับกระแสของรถสปอร์ตในขณะนั้นที่เป็นล้อแม็กกันทั้งหมด

ไฟเลี้ยวหน้า-หลังแบบ Build in Type ติดตั้งเป้นชิ้นเดียวกับชุดแฟริ่งรถ

สีและสติกเกอร์ลวดลายใหม่ เพื่อบ่งบอกความเป็น RG 150 Gamma II


นอกจากนี้ Suzuki ได้แบ่ง RG 150 Gamma II ออกเป็น 2 รุ่น ได้แก่

- RG 150 II ES
- RG 150 II E



โดยความแตกต่างกันระหว่าง 2 รหัสนี้คือเบาะเพียงเท่านั้น โดยเบาะของรุ่น ES มีลักษณะเป็นตอนเดียว และเบาะในรุ่น E มีลักษณะเป็น 2 ตอน


จากที่กล่าวมาทั้งหมดคือการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงของ RG 150 Gamma II สำหรับในส่วนต่างๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึงไม่ว่าจะเป็น เฟรมเหลี่ยมคู่แบบ S.R.F.B. สวิงอาร์มรูปทรงพระจันทร์เสี้ยว และ ดิสก์เบรกหน้าหลังแบบสูบคู่ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ไม่ได้หายไปได้เพียงแต่ทาง Suzuki มองว่าชิ้นส่วนต่างๆ เหล่านี้ล้วนดีพอที่จะไม่ต้องปรับปรุงเพื่อใช้กับ RG 150 Gamma II





------------



อัตราการบริโภคน้ำมันสำหรับ RG 150 Gamma II ที่ทางนิตยสารได้ทำการทดสอบในช่วงเวลานั้น โดยสามารถหารค่าเฉลี่ยไว้ที่ 17.6 กิโลเมตร ต่อ 1 ลิตร ซึ่งใช้ความเร็วในการเดินทางเฉลี่ย 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่รอบเครื่อง 11,000 รอบ/นาที


อัตราการกินน้ำมัน




เมื่อได้เห็นตัวเลขการกินน้ำมันที่ทาง Suzuki ได้บรรยายไว้ว่าปรับปรุงให้มีความประหยัดขึ้นจากในรุ่นก่อน ทำให้เกิดความสงสัยว่าแล้วในรุ่น RG-150 I ที่ใช้คาบูเรเตอร์ขนาด 30 มม. มันกินน้ำมันขนาดไหน ?



------------




หากจะกล่าวถึงภาพลักษณ์ของรถตระกูล RG 150 คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าจุดเด่นที่แท้จริงคือความเร็วแรงที่มีมาจากโรงงาน ทั้งนี้สิ่งที่อยู่เหนือความเร็วแรงของรถ RG 150 คือการตลาดแบบ Suzuki


นับตั้งแต่ปี 2528 ที่ทางค่าย Suzuki ได้เริ่มทำตลาดรถสปอร์ตขนาด 150 cc เป็นเจ้าแรกในประเทศไทย จวบจนถึงในปี 2538 ที่ทางค่ายได้ส่งรถสปอร์ตรุ่นสุดทำเข้ามาสู่ท้องตลาด มีระยะเวลาถึง 10 ปีเลยทีเดียว สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือการที่ทางค่ายมีรถสปอร์ตขนาด 150 cc เพียงแค่ 2 รหัสเท่านั้น ซึ่งได้แก่ RGV และ RG


RGV = S


RGV = SS


RGV = Megatone



RG = 150 Gamma I


RG = 150 Gamma II




เมื่อกลับไปมองคู่แข่งค่ายต่างๆ ล้วนมีรถสปอร์ต 150 cc ทำตลาดมากกว่าค่าย Suzuki ซึ่งผลลัพท์ที่ตามมาคือความรองในเรื่องความหลากหลายของรุ่นรถในค่ายที่มีน้อยกว่าคู่แข่ง


นอกจากนี้ยังถือได้ว่า RG 150 Gamma II เป็นรถสปอร์ตรุ่นสุดท้ายที่เป็นเครื่องยนต์ 2 จังหวะ สำหรับทางค่าย Suzuki หากไปเปรียบกับค่ายต่างๆ จะพบว่ารถสปอร์ตรุ่นสุดท้ายของค่ายอื่นล้วนเปิดตัวอยู่ในช่วงปี 2540 กันทั้งนั้น ผิดกับทาง Suzuki ที่เลือกจบรถสปอร์ตรุ่นสุดท้ายไว้ที่ปี 2538 เพียงเท่านั้น


การหยุดพัฒนารถสปอร์ตเครื่องยนต์ 2 จังหวะของทางค่าย Suzuki ไม่ใช่เพื่อที่จะไปพัฒนารถสปอร์ตที่เป็น 4 จังหวะเพื่อมาทนแทน ในเมื่อหลังยุครถ 2 จังหวะทางค่ายก็ไม่ได้ทำรถสปอร์ตขนาด 150 cc มาทำตลาดต่อเพียงอย่างใด


ทั้งนี้ทาง Suzuki ได้ใช้ระยะเวลาถึง 22 ปีกว่าที่จะกลับมาทำตลาดรถสปอร์ตขนาด 150 cc อีกครั้งหนึ่ง โดยเปิดตัวภายใต้รหัส GSX 150R ในปี 2560


------------



ที่มาของข้อมูล

https://www.facebook.com/groups/2tspec/
http://topicstock.ppantip.com/ratchada/topicstock/2009/04/V7708033/V7708033.html?fbclid=IwAR0J7nT0aggNmvP9kCIRGl-fA5gEbblVWIh9yaL0s07z5YUEjSbiSFr9Snk

ลิงค์ข้อมูลสำหรับรุ่นรถที่เขียนไปแล้ว เพื่อง่ายต่อการอ่าน

http://bit.ly/2PxTZMZ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่