บทที่ 3
https://ppantip.com/topic/38508407
ท้ายบทที่แล้ว
เขาเริ่มเรียนรู้ว่าผู้หญิงนิยมเมนูอะไร แน่ล่ะ! เขายังไม่เก่งพอจะทำอาหารเมนูเด็ดเชิญชวนชิมให้เธอลิ้มลอง ต้องใช้เวลาสักนิด
.........
ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะลดความกังวลเรื่องอาหารที่มาวางรอเธอทุกเช้าลงบ้าง เธอฉลาดพอจะรู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นใคร หรือ ‘อะไร’ ก็ตาม ที่เข้ามาจุ้นจ้านทำโน่นทำนี่ในห้องพักของเธอ ไม่ได้เป็นอันตรายคุกคามแต่ประการใด เพียงแต่ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้น ส่วนชายหนุ่มยอมรับว่าช่วงเวลาแห่งการเฝ้าสังเกตดูเป็นช่วงที่เขาเองก็มีความสุข แม้จะพยายามบอกย้ำๆ กับตัวเองว่าอย่าไปจริงจังกับเกมให้มากนัก แต่การกระทำกลับสวนทางกัน นี่คงเป็นเหตุผลเดียวกัน กับข่าวที่เด็กคนหนึ่งร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลัง เมื่อเจ้าสัตว์เลี้ยงคอมพิวเตอร์ตายไป
จะว่าไปแล้วก็น่าแปลกกับการเล่นเกมอย่างจริงจังอย่างแบบไม่เคยเป็นมาก่อน ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกว่าชีวิตอันแห้งแล้งมีความหมายขึ้นทีละน้อย การคอยเฝ้าดูแลใส่ใจความเป็นไปของตัวละครทำให้เกิดความสุขอย่างประหลาด กว่าจะรู้ตัวก็ไม่อาจตัดใจจากเกมอันชวนพิศวงนี้ได้เสียแล้ว
ปัญหาคือทำอย่างไรจะติดต่อกับเธอได้ แม้จะเป็นตัวละครในเกมก็ช่างเถอะ... เกมทั่วไปคนเล่นจะสามารถควบคุมตัวละคร แต่ปัญหาตอนนี้คือเขาควบคุมพฤติกรรมออกคำสั่งเธอไม่ได้
ถ้าควบคุมไม่ได้ ก็ควรมีช่องทางติดต่อกับเธอได้ด้วยวิธีการสักอย่าง
เช้าวันเสาร์ เขายังคงง่วนอยู่กับหญิงสาวลึกลับ ซึ่งความจริงก็คือการง่วนอยู่กับจอภาพนั่นเอง หลังอาหารเช้าผ่านไป เห็นเธอเดินไปยกหูโทรศัพท์บนโต๊ะเล็กๆ บริเวณมุมห้องนั่งเล่น คงจะโทรหาเพื่อน ชายหนุ่มใจเต้นระทึก ไม่เคยเห็นเธอทำแบบนี้มาก่อน
"ฮัลโหล! ว่าไงจ๊ะสาวน้อย"
น่าประหลาด... เขาได้ยินแม้กระทั่งเสียงสนทนาทางปลายทางดังกังวานจากลำโพงคอมพิวเตอร์ ฝั่งนั้นมีน้ำเสียงร่าเริงและโผงผาง ทำให้อยากได้ยินเสียงสาวเจ้าของห้องบ้าง พูดสิที่รัก!
“แจ๋นก็... นี่เราอายุอานามกันตั้งยี่สิบกว่าปีแล้วนะ ยังจะมาเรียกว่าสาวน้อยอีก”
เสียงหวานใสดังออกมาจากลำโพงชัดเจนสมใจ ชายหนุ่มชูกำปั้นกระโดดตัวลอย หลุดปากร้อง เย..ออกมาอย่างดีใจ พลางยิ้มให้กับอากาศชนิดไม่ต้องเก็บอาการ รอมานานเหลือเกิน เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงของเธอทำเอาดีใจแทบคลั่ง ที่รัก! ในที่สุดผมก็ได้ยินเสียงของคุณ... ยี่สิบกว่าปี... นั่นอายุของเธออย่างไม่ต้องสงสัย อายุน้อยกว่าเขาหลายปี
รู้ไปอีกขั้นว่าเพื่อนของเธอชื่อแจ๋น
"จ้า จ้า... ไม่เรียกว่าสาวน้อยก็ได้ มีอะไรคะคุณผู้หญิง” เสียงปลายสายบ่งบอกว่าอีกฝ่ายเป็นคนอารมณ์ดี อย่าบอกนะว่าตัวละครชื่อแจ๋นจะมาปรากฏให้เห็นอีกคน
“ก็พักนี้น่ะสิแจ๋น มีใครหรืออะไรก็ไม่รู้ เตรียมข้าวปลาอาหารแถมยังจัดห้องให้เราทุกวันเลย"
"เอ๋...?" เสียงของแจ๋นมีแววประหลาดใจ
"ไม่เอ๋ล่ะ แจ๋นมาแกล้งเซอร์ไพรส์อะไรเราหรือเปล่า”
"เปล่านา... ตายล่ะ แล้วแน่ใจนะคะ ว่าคุณผู้หญิงล็อคห้องดีแล้ว"
"ล็อคแล้วสิ ปิดหน้าต่างทุกบานด้วย”
“หวายๆ น่ากลัวจังเลย ไม่น่าเป็นไปได้นะ ว่าแต่ให้แจ๋นไปอยู่เป็นเพื่อนมั้ย ช่วงนี้มีข่าวโจรโรคจิตชอบปีนอพาร์ตเม้นท์ ไปขโมยกางเกงในอะไรอย่างนี้บ่อยๆ”
“โธ่ คงไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ขอบใจจ้ะเพื่อนรัก แต่อย่าเลย เราไม่กลัวหรอก แถวนี้ระบบดูแลความปลอดภัยดี แต่แปลกใจต่างหาก เหมือนรู้สึกว่าใครบางคนคอยเฝ้ามองติดตามอยู่ แต่คนๆ นั้นไม่น่าจะมีเจตนาร้าย”
“ทำไมคุณผู้หญิงถึงคิดอย่างนั้นจ๊ะ”
“คือ... ถ้าคิดร้าย เราคงตายไปแล้วละ”
ถูกต้องที่รัก... เขานั่งใจเต้นไม่เป็นส่ำอยู่หน้าจอ...ผมจะไปมีเจตนาร้ายต่อคุณได้อย่างไรกัน ตรงกันข้าม ผมจะคอยดูแลคุณราวเทวดาประจำตัว เป็นเทพผู้พิทักษ์ปกป้องคุณจากเภทภัยที่จะมาทำอันตรายคุณต่างหาก
“อย่าประมาทนะ “เสียงปลายสายแว่วดังมาอีก “อยู่คนเดียวก็ต้องระวังตัว อย่าไว้ใจใครง่ายๆ”
“ขอบใจจ๊ะแจ๋น เราจะระวังตัวจ้า”
“งั้นออกไปหาอะไรทานข้างนอกมั้ยจ๊ะคุณหญิง เดี๋ยวแจ๋นไปรับ”
"ไม่ล่ะจ้ะ... แจ๋นไปเที่ยวของแจ๋นตามสบายเถอะ เราไม่กวนแล้ว ขออยู่บ้านดีกว่า"
ใช่แล้ว...! ข้างนอกไม่ปลอดภัย ถ้าคุณออกไปผมคงต้องเฝ้ารอคุณจนกว่าจะกลับมา..คงเหงาแย่...! เขาร้องในใจราวกับพยายามสื่อสารไปถึงหญิงสาวพลางเหลือบมองดูปฏิทิน
วันนี้เป็นวันเสาร์ คิดว่าจะได้อยู่กับเธอทั้งวัน เฝ้าดูเธอจนจุใจ แต่เมื่อเห็นเธอวางหูโทรศัพท์ลง ความคิดอย่างหนึ่งก็ผุดขึ้นใจในใจราวกับสายฟ้า นึกถึงสมัยเล่นเกมคอมพิวเตอร์ใหม่ๆ แบบแทบไม่รู้อะไรเลย สิ่งหนึ่งที่ชอบทำประจำคือเลื่อนเมาส์แล้วคลิกมั่วไปทั่วหน้าจอคอมพิวเตอร์แบบลองผิดลองถูก จับพลัดจับผลูบางทีจะเห็นคำอธิบายปรากฏขึ้นมาเมื่อเมาส์พอยเตอร์วางถูกตำแหน่ง
ทำไมไม่ลองทำอย่างนี้ตั้งแต่แรกนะ พอคิดได้รีบลากเมาส์ไปชี้ที่ภาพโทรศัพท์
พระเจ้า...! เขาหล่นคำอุทานออกมาเมื่อเห็นเบอร์โทรศัพท์ปรากฏขึ้นบนจอ เธอมีเบอร์โทรศัพท์! เขาควรจะติดต่อกับเธอได้
แต่แล้วเขาก็ต้องปากอ้าตาค้าง
หมายเลขโทรศัพท์มีตัวเลขถึง สิบห้าตัว
ก็มันเป็นเพียงเกมคอมพิวเตอร์ เขานึก...จะมีเจ็ด...แปด หรือยี่สิบตัว ก็ไม่มีความหมายอะไร แต่จะโทรออกไปได้อย่างไรล่ะ เมื่อลองคลิกเมาส์ตรงรูปโทรศัพท์ก็ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบอะไรเลยสักนิด
เบอร์โทรของเธอจะมีความหมายอะไร หญิงสาววางสายแล้วนั่งนิ่งเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ส่วนเขานั่งจ้องดูเธออย่างคนอับจนปัญญา
ไอ้คนเขียนโปรแกรมมันพยายามจะทำบ้าอะไรอยู่นะ?
โทรศัพท์ในเกมไม่ตอบสนอง
แต่เอ๊ะ...ถ้าโทรศัพท์ของจริงล่ะ?
หลังการนั่งเหมือนมนุษย์โง่อยู่พักใหญ่ ก็แทบกระโดดตัวลอยเมื่อนึกอะไรบางอย่างออก ทำไมไม่ลองใช้โทรศัพท์ของจริง มันเหมือนคนบ้า... ไม่เหมือนล่ะ... บ้าเต็มร้อยชัดๆ มีอย่างที่ไหนคนเล่นเกมโทรศัพท์ไปหาตัวละครในเกม
แต่ลองทำบ้าดูสักครั้งก็ไม่เสียหายอะไร ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็นอยู่แล้ว ไม่ต้องอายใคร โทรศัพท์วางอยู่ใกล้แค่นี้ ไม่ลองไม่รู้ แม้จะดูเพี้ยนๆ ก็ตาม ไวเท่าความคิด ชายหนุ่มรีบกระโจนไปยังโทรศัพท์ ยกหูขึ้นกดเบอร์โทรศัพท์ของเธอลงไปอย่างรวดเร็ว
บ้าก็บ้าวะ...! โทรศัพท์โลกไหนใช้ระบบโทรด้วยเลขสิบห้าหลักไม่ได้คาดหวังอะไรนัก แต่เมื่อกดหมายเลขครบสิบหน้าหลัก ได้ยินสัญญาณบอกว่าเครื่องรับว่าง!
เป็นไปได้อย่างไร?
และสิ่งที่ทำให้ขนลุกแทบสลบคาที่เมื่อได้ยินเสียงกริ่งโทรศัพท์จากลำโพง แต่นั่นยังน้อยไปเมื่อเทียบกับสิ่งซึ่งเกิดตามมา เขาเห็นเธอเดินไปยกหูโทรศัพท์ และต่อมาก็ได้ยินเสียงหวานใสเต็มรูหู
"สวัสดีค่ะ”
ชายหนุ่มตัวชาดิก รู้สึกเหมือนไฟฟ้าหมื่นโวลต์แล่นผ่านร่างไป หัวใจเต้นระทึกเลือดสูบฉีดพล่าน ตื่นเต้นอาการปางตายและปางบ้าพอกันจนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ เป็นไปได้อย่างไรกัน...หรือจิตใจผิดเพี้ยนวิกลจริตฟั่นเฟือนไปแล้ว
"ต้องการพูดกับใครคะ?"
เสียงของเธอปลุกเขาขึ้นมาจากความตะลึงงงงัน รีบละล่ำละลักตอบออกไปด้วยความกลัวว่าอีกฝ่ายจะวางหูไปเสียก่อน
"กับคุณครับ....คุณ...เอ่อ..."
กับใครคะ..?" เธอมีสีหน้าแปลกใจชัดเจนแต่ก็ยังนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น ส่วนเขาพูดกึ่งสำลัก
"กับคุณนั่นล่ะครับ!. ให้ตายเถอะ! ผมเห็นคุณอยู่ข้างหน้านี่เองมาหลายวันแล้ว แต่ผมไม่รู้กระทั่งชื่อของคุณ"
ภาพผู้คนเดินขวักไขว่อยู่ริมถนน ดูสับสนแต่มีสีสันตระการตา เจิดจ้าด้วยแสงอาทิตย์ในยามเช้าและแรงขับเคลื่อนของชีวิตผู้คนหลากหลาย ทำให้ถนนสายนี้เต็มไปด้วยชีวิตชีวาเฉิดฉัน แต่กระนั้นก็ไร้แรงบันดาลใจ อีกทั้งไม่ใช่ในชีวิตจริงสักหน่อย ถ้ามีแสงสีตระการตาอย่างนี้แล้วล่ะก็…
นี่เป็นความฝันต่างหาก หญิงสาวบอกตัวเองแล้วทอดสายตามองหามโนภาพถัดไป นั่นอย่างไรเล่า เขากำลังมองมา พอต่างฝ่ายสบตากันคู่หนึ่ง
ชายหนุ่มคนนั้นเป็นใครกัน?
ช่างเถอะ รถเมล์มาถึงแล้ว หญิงสาวก้าวขึ้นรถแล้วลืมตาตื่นจากความฝันอันบรรเจิด
เสียงนาฬิกาปลุกดังอยู่ข้างเตียงตามกำหนดเวลาให้ลุกขึ้นมาทำกิจวัตรประจำวัน เธอลืมตาอ้อยอิ่งอย่างเสียดายความฝัน ภาพสีสันงดงามเลือนหายที่ปรากฏตรงหน้า ตอนนี้เป็นเพียงความพร่ามัวรางเลือนราวกับมองผ่านผ้าม่านหนาทึบปิดบัง แต่ถึงอย่างไรแสงสว่างรำไรกับสายลมที่ลอดบานหน้าต่างเข้ามาก็พอจะบอกได้ว่า นี่คือเวลาเช้าตรู่
หญิงสาวเอื้อมหยิบนาฬิกา วันนี้เสียงเตือนของนาฬิกาเบาลงจากเมื่อวาน และวันก่อน บ่งบอกสภาพว่าใกล้ถึงเวลาเปลี่ยนถ่านแล้ว
เธอเลื่อนนิ้วไปหาปุ่มปิดการทำงานของนาฬิกาก่อนจะวางมันลงตรงจุดเดิม เก็บผ้าห่ม หมอน และที่นอนแล้วลุกไปทำกิจวัตร อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยอากัปกิริยาเดิมๆ นี่ถ้ามีใครมาแอบดูการใช้ชีวิตของเธอในแต่ละวัน คงคิดว่ากำลังดูวิดีโอเทปที่ฉายซ้ำๆไปมาทุกวันอยู่เป็นแน่ แต่ใครล่ะ จะทำอะไรพิกลขนาดนั้น คิดพลางยิ้มให้กับความฟุ้งซ่านของตัวเอง
ความคุ้นชินบอกได้ว่าเบื้องหน้าคือกระจก แต่หลายปีผ่านไป ภาพคนในกระจกจะเปลี่ยนเป็นอย่างไรก็ไม่รู้สินะ
ความผิดปรกติเริ่มต้นในวันงานกีฬาสีของโรงเรียน มันควรจะเป็นวันที่มีความสุข ยิ้ม หัวเราะ ส่งเสียงเชียร์บนอัฒจันทร์กับเพื่อนๆ อย่างสนุกสนาน แต่จู่ๆ เธอก็ปวดหัวอย่างหนักและล้มลงขณะกำลังก้าวลงบันได นั่นยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้าย เธอกลิ้งตกบันไดลงมาอีกหลายขั้น บรรดาเพื่อนช่วยกันอุ้มพาไปห้องปฐมพยาบาล อาการไม่ได้หนักมากนัก คุณครูในห้องปฐมพยาบาลพันแขนที่เคล็ดเพราะกระแทกบันได ไม่มีกระดูกชิ้นใดแตกหัก สิ่งที่เธอพยายามบอกคือ อาการปวดหัวและมองภาพข้างหน้าไม่ชัด
ครูบอกให้เธอไปวัดสายตา อาจเพราะสายตาสั้น การมองอะไรไม่ชัดก็ทำให้ปวดหัวได้ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ว่าแล้วก็ขยับแว่นตาของตนก่อนเดินจากไป
สามเดือนหลังจากนั้น เธอกลายเป็นคนตาบอดชนิดที่ไม่รู้สาเหตุ
โลกไม่ได้มืดมนลงในทันใด แต่ค่อยๆ ฝ้ามัวเหมือนกลุ่มเมฆทะมึนที่มาปกคลุมท้องฟ้าตอนเวลาฝนใกล้ตก หมอพูดศัพท์ทางการแพทย์ที่เธอฟังไม่รู้เรื่อง สรุปง่ายๆ ว่าเธอยังมีโอกาสหาย เพราะดวงตาไม่ได้มีความผิดปกติ ที่ผิดปกติคือจอประสาทตา จำเป็นต้องใช้การรักษาแบบประคับประคองและรอวันหาย
“นานเท่าไรคะคุณหมอ”
เธอจำไม่ได้แล้วว่าถามไปตั้งแต่วันเดือนปีไหน วันเวลาล่วงผ่านมาจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น เพื่อนฝูงที่เคยแวะเวียนมาถามไถ่เริ่มหายไปทีละคนสองคน แม้แต่เพื่อนชายที่เคยมาสารภาพรักด้วยกุหลาบช่อใหญ่ในวันวาเลนไทน์ ก็วนเวียนมาถามไถ่อาการแค่ไม่กี่ครั้ง หลังจากนั้นก็เงียบหายไปกับสายลม เป็นเธอเสียอีกที่ต้องคอยยกหูโทรศัพท์ไปไถ่ถาม เขาตอบด้วยน้ำเสียงชวนอึดอัด
“เพิ่งเปิดเทอมใหม่ อาจารย์ให้การบ้านหนักมากเลย…”
“เอาไว้สอบมิดเทอมเสร็จ เราค่อยคุยกันนะ...”
“ขอโทษนะ ช่วงนี้เราต้อง...”
กดวางสายก่อนที่จะต้องฟังข้ออ้างที่ฝืดฝืน ยิ่งเวลาล่วงผ่าน เธอยิ่งรู้แน่ว่าความสุขรูปแบบเดิมๆ จะไม่หวนคืนกลับมาอีก หลังจากร้องไห้ฟูมฟายผ่านคืนและวัน กำลังใจจากพ่อและแม่เท่านั้นที่ทำให้กลับมายืนได้ใหม่
.
เกมรักพิศวง 4 โลกของเธอ
https://ppantip.com/topic/38508407
ท้ายบทที่แล้ว
เขาเริ่มเรียนรู้ว่าผู้หญิงนิยมเมนูอะไร แน่ล่ะ! เขายังไม่เก่งพอจะทำอาหารเมนูเด็ดเชิญชวนชิมให้เธอลิ้มลอง ต้องใช้เวลาสักนิด
.........
ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะลดความกังวลเรื่องอาหารที่มาวางรอเธอทุกเช้าลงบ้าง เธอฉลาดพอจะรู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นใคร หรือ ‘อะไร’ ก็ตาม ที่เข้ามาจุ้นจ้านทำโน่นทำนี่ในห้องพักของเธอ ไม่ได้เป็นอันตรายคุกคามแต่ประการใด เพียงแต่ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้น ส่วนชายหนุ่มยอมรับว่าช่วงเวลาแห่งการเฝ้าสังเกตดูเป็นช่วงที่เขาเองก็มีความสุข แม้จะพยายามบอกย้ำๆ กับตัวเองว่าอย่าไปจริงจังกับเกมให้มากนัก แต่การกระทำกลับสวนทางกัน นี่คงเป็นเหตุผลเดียวกัน กับข่าวที่เด็กคนหนึ่งร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลัง เมื่อเจ้าสัตว์เลี้ยงคอมพิวเตอร์ตายไป
จะว่าไปแล้วก็น่าแปลกกับการเล่นเกมอย่างจริงจังอย่างแบบไม่เคยเป็นมาก่อน ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกว่าชีวิตอันแห้งแล้งมีความหมายขึ้นทีละน้อย การคอยเฝ้าดูแลใส่ใจความเป็นไปของตัวละครทำให้เกิดความสุขอย่างประหลาด กว่าจะรู้ตัวก็ไม่อาจตัดใจจากเกมอันชวนพิศวงนี้ได้เสียแล้ว
ปัญหาคือทำอย่างไรจะติดต่อกับเธอได้ แม้จะเป็นตัวละครในเกมก็ช่างเถอะ... เกมทั่วไปคนเล่นจะสามารถควบคุมตัวละคร แต่ปัญหาตอนนี้คือเขาควบคุมพฤติกรรมออกคำสั่งเธอไม่ได้
ถ้าควบคุมไม่ได้ ก็ควรมีช่องทางติดต่อกับเธอได้ด้วยวิธีการสักอย่าง
เช้าวันเสาร์ เขายังคงง่วนอยู่กับหญิงสาวลึกลับ ซึ่งความจริงก็คือการง่วนอยู่กับจอภาพนั่นเอง หลังอาหารเช้าผ่านไป เห็นเธอเดินไปยกหูโทรศัพท์บนโต๊ะเล็กๆ บริเวณมุมห้องนั่งเล่น คงจะโทรหาเพื่อน ชายหนุ่มใจเต้นระทึก ไม่เคยเห็นเธอทำแบบนี้มาก่อน
"ฮัลโหล! ว่าไงจ๊ะสาวน้อย"
น่าประหลาด... เขาได้ยินแม้กระทั่งเสียงสนทนาทางปลายทางดังกังวานจากลำโพงคอมพิวเตอร์ ฝั่งนั้นมีน้ำเสียงร่าเริงและโผงผาง ทำให้อยากได้ยินเสียงสาวเจ้าของห้องบ้าง พูดสิที่รัก!
“แจ๋นก็... นี่เราอายุอานามกันตั้งยี่สิบกว่าปีแล้วนะ ยังจะมาเรียกว่าสาวน้อยอีก”
เสียงหวานใสดังออกมาจากลำโพงชัดเจนสมใจ ชายหนุ่มชูกำปั้นกระโดดตัวลอย หลุดปากร้อง เย..ออกมาอย่างดีใจ พลางยิ้มให้กับอากาศชนิดไม่ต้องเก็บอาการ รอมานานเหลือเกิน เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงของเธอทำเอาดีใจแทบคลั่ง ที่รัก! ในที่สุดผมก็ได้ยินเสียงของคุณ... ยี่สิบกว่าปี... นั่นอายุของเธออย่างไม่ต้องสงสัย อายุน้อยกว่าเขาหลายปี
รู้ไปอีกขั้นว่าเพื่อนของเธอชื่อแจ๋น
"จ้า จ้า... ไม่เรียกว่าสาวน้อยก็ได้ มีอะไรคะคุณผู้หญิง” เสียงปลายสายบ่งบอกว่าอีกฝ่ายเป็นคนอารมณ์ดี อย่าบอกนะว่าตัวละครชื่อแจ๋นจะมาปรากฏให้เห็นอีกคน
“ก็พักนี้น่ะสิแจ๋น มีใครหรืออะไรก็ไม่รู้ เตรียมข้าวปลาอาหารแถมยังจัดห้องให้เราทุกวันเลย"
"เอ๋...?" เสียงของแจ๋นมีแววประหลาดใจ
"ไม่เอ๋ล่ะ แจ๋นมาแกล้งเซอร์ไพรส์อะไรเราหรือเปล่า”
"เปล่านา... ตายล่ะ แล้วแน่ใจนะคะ ว่าคุณผู้หญิงล็อคห้องดีแล้ว"
"ล็อคแล้วสิ ปิดหน้าต่างทุกบานด้วย”
“หวายๆ น่ากลัวจังเลย ไม่น่าเป็นไปได้นะ ว่าแต่ให้แจ๋นไปอยู่เป็นเพื่อนมั้ย ช่วงนี้มีข่าวโจรโรคจิตชอบปีนอพาร์ตเม้นท์ ไปขโมยกางเกงในอะไรอย่างนี้บ่อยๆ”
“โธ่ คงไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ขอบใจจ้ะเพื่อนรัก แต่อย่าเลย เราไม่กลัวหรอก แถวนี้ระบบดูแลความปลอดภัยดี แต่แปลกใจต่างหาก เหมือนรู้สึกว่าใครบางคนคอยเฝ้ามองติดตามอยู่ แต่คนๆ นั้นไม่น่าจะมีเจตนาร้าย”
“ทำไมคุณผู้หญิงถึงคิดอย่างนั้นจ๊ะ”
“คือ... ถ้าคิดร้าย เราคงตายไปแล้วละ”
ถูกต้องที่รัก... เขานั่งใจเต้นไม่เป็นส่ำอยู่หน้าจอ...ผมจะไปมีเจตนาร้ายต่อคุณได้อย่างไรกัน ตรงกันข้าม ผมจะคอยดูแลคุณราวเทวดาประจำตัว เป็นเทพผู้พิทักษ์ปกป้องคุณจากเภทภัยที่จะมาทำอันตรายคุณต่างหาก
“อย่าประมาทนะ “เสียงปลายสายแว่วดังมาอีก “อยู่คนเดียวก็ต้องระวังตัว อย่าไว้ใจใครง่ายๆ”
“ขอบใจจ๊ะแจ๋น เราจะระวังตัวจ้า”
“งั้นออกไปหาอะไรทานข้างนอกมั้ยจ๊ะคุณหญิง เดี๋ยวแจ๋นไปรับ”
"ไม่ล่ะจ้ะ... แจ๋นไปเที่ยวของแจ๋นตามสบายเถอะ เราไม่กวนแล้ว ขออยู่บ้านดีกว่า"
ใช่แล้ว...! ข้างนอกไม่ปลอดภัย ถ้าคุณออกไปผมคงต้องเฝ้ารอคุณจนกว่าจะกลับมา..คงเหงาแย่...! เขาร้องในใจราวกับพยายามสื่อสารไปถึงหญิงสาวพลางเหลือบมองดูปฏิทิน
วันนี้เป็นวันเสาร์ คิดว่าจะได้อยู่กับเธอทั้งวัน เฝ้าดูเธอจนจุใจ แต่เมื่อเห็นเธอวางหูโทรศัพท์ลง ความคิดอย่างหนึ่งก็ผุดขึ้นใจในใจราวกับสายฟ้า นึกถึงสมัยเล่นเกมคอมพิวเตอร์ใหม่ๆ แบบแทบไม่รู้อะไรเลย สิ่งหนึ่งที่ชอบทำประจำคือเลื่อนเมาส์แล้วคลิกมั่วไปทั่วหน้าจอคอมพิวเตอร์แบบลองผิดลองถูก จับพลัดจับผลูบางทีจะเห็นคำอธิบายปรากฏขึ้นมาเมื่อเมาส์พอยเตอร์วางถูกตำแหน่ง
ทำไมไม่ลองทำอย่างนี้ตั้งแต่แรกนะ พอคิดได้รีบลากเมาส์ไปชี้ที่ภาพโทรศัพท์
พระเจ้า...! เขาหล่นคำอุทานออกมาเมื่อเห็นเบอร์โทรศัพท์ปรากฏขึ้นบนจอ เธอมีเบอร์โทรศัพท์! เขาควรจะติดต่อกับเธอได้
แต่แล้วเขาก็ต้องปากอ้าตาค้าง
หมายเลขโทรศัพท์มีตัวเลขถึง สิบห้าตัว
ก็มันเป็นเพียงเกมคอมพิวเตอร์ เขานึก...จะมีเจ็ด...แปด หรือยี่สิบตัว ก็ไม่มีความหมายอะไร แต่จะโทรออกไปได้อย่างไรล่ะ เมื่อลองคลิกเมาส์ตรงรูปโทรศัพท์ก็ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบอะไรเลยสักนิด
เบอร์โทรของเธอจะมีความหมายอะไร หญิงสาววางสายแล้วนั่งนิ่งเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ส่วนเขานั่งจ้องดูเธออย่างคนอับจนปัญญา
ไอ้คนเขียนโปรแกรมมันพยายามจะทำบ้าอะไรอยู่นะ?
โทรศัพท์ในเกมไม่ตอบสนอง
แต่เอ๊ะ...ถ้าโทรศัพท์ของจริงล่ะ?
หลังการนั่งเหมือนมนุษย์โง่อยู่พักใหญ่ ก็แทบกระโดดตัวลอยเมื่อนึกอะไรบางอย่างออก ทำไมไม่ลองใช้โทรศัพท์ของจริง มันเหมือนคนบ้า... ไม่เหมือนล่ะ... บ้าเต็มร้อยชัดๆ มีอย่างที่ไหนคนเล่นเกมโทรศัพท์ไปหาตัวละครในเกม
แต่ลองทำบ้าดูสักครั้งก็ไม่เสียหายอะไร ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็นอยู่แล้ว ไม่ต้องอายใคร โทรศัพท์วางอยู่ใกล้แค่นี้ ไม่ลองไม่รู้ แม้จะดูเพี้ยนๆ ก็ตาม ไวเท่าความคิด ชายหนุ่มรีบกระโจนไปยังโทรศัพท์ ยกหูขึ้นกดเบอร์โทรศัพท์ของเธอลงไปอย่างรวดเร็ว
บ้าก็บ้าวะ...! โทรศัพท์โลกไหนใช้ระบบโทรด้วยเลขสิบห้าหลักไม่ได้คาดหวังอะไรนัก แต่เมื่อกดหมายเลขครบสิบหน้าหลัก ได้ยินสัญญาณบอกว่าเครื่องรับว่าง!
เป็นไปได้อย่างไร?
และสิ่งที่ทำให้ขนลุกแทบสลบคาที่เมื่อได้ยินเสียงกริ่งโทรศัพท์จากลำโพง แต่นั่นยังน้อยไปเมื่อเทียบกับสิ่งซึ่งเกิดตามมา เขาเห็นเธอเดินไปยกหูโทรศัพท์ และต่อมาก็ได้ยินเสียงหวานใสเต็มรูหู
"สวัสดีค่ะ”
ชายหนุ่มตัวชาดิก รู้สึกเหมือนไฟฟ้าหมื่นโวลต์แล่นผ่านร่างไป หัวใจเต้นระทึกเลือดสูบฉีดพล่าน ตื่นเต้นอาการปางตายและปางบ้าพอกันจนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ เป็นไปได้อย่างไรกัน...หรือจิตใจผิดเพี้ยนวิกลจริตฟั่นเฟือนไปแล้ว
"ต้องการพูดกับใครคะ?"
เสียงของเธอปลุกเขาขึ้นมาจากความตะลึงงงงัน รีบละล่ำละลักตอบออกไปด้วยความกลัวว่าอีกฝ่ายจะวางหูไปเสียก่อน
"กับคุณครับ....คุณ...เอ่อ..."
กับใครคะ..?" เธอมีสีหน้าแปลกใจชัดเจนแต่ก็ยังนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น ส่วนเขาพูดกึ่งสำลัก
"กับคุณนั่นล่ะครับ!. ให้ตายเถอะ! ผมเห็นคุณอยู่ข้างหน้านี่เองมาหลายวันแล้ว แต่ผมไม่รู้กระทั่งชื่อของคุณ"
ภาพผู้คนเดินขวักไขว่อยู่ริมถนน ดูสับสนแต่มีสีสันตระการตา เจิดจ้าด้วยแสงอาทิตย์ในยามเช้าและแรงขับเคลื่อนของชีวิตผู้คนหลากหลาย ทำให้ถนนสายนี้เต็มไปด้วยชีวิตชีวาเฉิดฉัน แต่กระนั้นก็ไร้แรงบันดาลใจ อีกทั้งไม่ใช่ในชีวิตจริงสักหน่อย ถ้ามีแสงสีตระการตาอย่างนี้แล้วล่ะก็…
นี่เป็นความฝันต่างหาก หญิงสาวบอกตัวเองแล้วทอดสายตามองหามโนภาพถัดไป นั่นอย่างไรเล่า เขากำลังมองมา พอต่างฝ่ายสบตากันคู่หนึ่ง
ชายหนุ่มคนนั้นเป็นใครกัน?
ช่างเถอะ รถเมล์มาถึงแล้ว หญิงสาวก้าวขึ้นรถแล้วลืมตาตื่นจากความฝันอันบรรเจิด
เสียงนาฬิกาปลุกดังอยู่ข้างเตียงตามกำหนดเวลาให้ลุกขึ้นมาทำกิจวัตรประจำวัน เธอลืมตาอ้อยอิ่งอย่างเสียดายความฝัน ภาพสีสันงดงามเลือนหายที่ปรากฏตรงหน้า ตอนนี้เป็นเพียงความพร่ามัวรางเลือนราวกับมองผ่านผ้าม่านหนาทึบปิดบัง แต่ถึงอย่างไรแสงสว่างรำไรกับสายลมที่ลอดบานหน้าต่างเข้ามาก็พอจะบอกได้ว่า นี่คือเวลาเช้าตรู่
หญิงสาวเอื้อมหยิบนาฬิกา วันนี้เสียงเตือนของนาฬิกาเบาลงจากเมื่อวาน และวันก่อน บ่งบอกสภาพว่าใกล้ถึงเวลาเปลี่ยนถ่านแล้ว
เธอเลื่อนนิ้วไปหาปุ่มปิดการทำงานของนาฬิกาก่อนจะวางมันลงตรงจุดเดิม เก็บผ้าห่ม หมอน และที่นอนแล้วลุกไปทำกิจวัตร อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยอากัปกิริยาเดิมๆ นี่ถ้ามีใครมาแอบดูการใช้ชีวิตของเธอในแต่ละวัน คงคิดว่ากำลังดูวิดีโอเทปที่ฉายซ้ำๆไปมาทุกวันอยู่เป็นแน่ แต่ใครล่ะ จะทำอะไรพิกลขนาดนั้น คิดพลางยิ้มให้กับความฟุ้งซ่านของตัวเอง
ความคุ้นชินบอกได้ว่าเบื้องหน้าคือกระจก แต่หลายปีผ่านไป ภาพคนในกระจกจะเปลี่ยนเป็นอย่างไรก็ไม่รู้สินะ
ความผิดปรกติเริ่มต้นในวันงานกีฬาสีของโรงเรียน มันควรจะเป็นวันที่มีความสุข ยิ้ม หัวเราะ ส่งเสียงเชียร์บนอัฒจันทร์กับเพื่อนๆ อย่างสนุกสนาน แต่จู่ๆ เธอก็ปวดหัวอย่างหนักและล้มลงขณะกำลังก้าวลงบันได นั่นยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้าย เธอกลิ้งตกบันไดลงมาอีกหลายขั้น บรรดาเพื่อนช่วยกันอุ้มพาไปห้องปฐมพยาบาล อาการไม่ได้หนักมากนัก คุณครูในห้องปฐมพยาบาลพันแขนที่เคล็ดเพราะกระแทกบันได ไม่มีกระดูกชิ้นใดแตกหัก สิ่งที่เธอพยายามบอกคือ อาการปวดหัวและมองภาพข้างหน้าไม่ชัด
ครูบอกให้เธอไปวัดสายตา อาจเพราะสายตาสั้น การมองอะไรไม่ชัดก็ทำให้ปวดหัวได้ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ว่าแล้วก็ขยับแว่นตาของตนก่อนเดินจากไป
สามเดือนหลังจากนั้น เธอกลายเป็นคนตาบอดชนิดที่ไม่รู้สาเหตุ
โลกไม่ได้มืดมนลงในทันใด แต่ค่อยๆ ฝ้ามัวเหมือนกลุ่มเมฆทะมึนที่มาปกคลุมท้องฟ้าตอนเวลาฝนใกล้ตก หมอพูดศัพท์ทางการแพทย์ที่เธอฟังไม่รู้เรื่อง สรุปง่ายๆ ว่าเธอยังมีโอกาสหาย เพราะดวงตาไม่ได้มีความผิดปกติ ที่ผิดปกติคือจอประสาทตา จำเป็นต้องใช้การรักษาแบบประคับประคองและรอวันหาย
“นานเท่าไรคะคุณหมอ”
เธอจำไม่ได้แล้วว่าถามไปตั้งแต่วันเดือนปีไหน วันเวลาล่วงผ่านมาจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น เพื่อนฝูงที่เคยแวะเวียนมาถามไถ่เริ่มหายไปทีละคนสองคน แม้แต่เพื่อนชายที่เคยมาสารภาพรักด้วยกุหลาบช่อใหญ่ในวันวาเลนไทน์ ก็วนเวียนมาถามไถ่อาการแค่ไม่กี่ครั้ง หลังจากนั้นก็เงียบหายไปกับสายลม เป็นเธอเสียอีกที่ต้องคอยยกหูโทรศัพท์ไปไถ่ถาม เขาตอบด้วยน้ำเสียงชวนอึดอัด
“เพิ่งเปิดเทอมใหม่ อาจารย์ให้การบ้านหนักมากเลย…”
“เอาไว้สอบมิดเทอมเสร็จ เราค่อยคุยกันนะ...”
“ขอโทษนะ ช่วงนี้เราต้อง...”
กดวางสายก่อนที่จะต้องฟังข้ออ้างที่ฝืดฝืน ยิ่งเวลาล่วงผ่าน เธอยิ่งรู้แน่ว่าความสุขรูปแบบเดิมๆ จะไม่หวนคืนกลับมาอีก หลังจากร้องไห้ฟูมฟายผ่านคืนและวัน กำลังใจจากพ่อและแม่เท่านั้นที่ทำให้กลับมายืนได้ใหม่
.