บทที่ 8
https://ppantip.com/topic/38533418
ที่ไม่เข้าใจคือเธอไม่ได้ถือไม้เท้าสำหรับคนตาบอด
สโรชินไม่ได้ตาบอด!
----------------------
สักกะยืนงงตัวชาดิก ความงุนงงสงสัยนั่นเองทำให้เขาพลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย กว่าจะกลับมาตั้งสติได้ หญิงสาวกำลังจะถูกกลืนหายไปกับกระแสผู้คนไกลลิบ
“สโรชิน...!” สักกะร้องเรียกชื่อเธอออกไปสุดเสียงก่อนวิ่งข้ามถนนไป โดยลืมไปว่าเป็นจังหวะรถรากำลังเคลื่อนตัวผ่านทางม้าลายอีกครั้ง
สิ่งสุดท้ายดังก้องในโสตประสาทสักกะคือเสียงเบรกของรถยนต์ดังสนั่นหวั่นไหว ความรู้สึกบอกกับตัวเองว่าถูกอะไรบางอย่างพุ่งเข้าชนเต็มแรง น่าแปลกว่าเขาแทบไม่ตกใจหรือใส่ใจกับเรื่องพวกนี้มากเท่าที่ควร แรงปะทะทำให้ชายหนุ่มล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง
ไม่เจ็บเท่าไหร่... ว่าแต่... สโรชินอยู่ไหนล่ะ
สักกะพยายามยันตัวขึ้นมามองหาหญิงสาว ภาพที่ปรากฏตรงหน้ากลับบิดเบี้ยวเหมือนเกลียวน้ำถูกกลืนลงท่อระบายน้ำ ความเจ็บแปลบแล่นผ่านกำแพงชาด้านเข้ามาพร้อมกับน้ำอุ่นๆ จากหางคิ้วลงมากลบตา โลกเริ่มหมุนคว้างจนต้องล้มลงไปบนพื้นอีกครั้ง มโนภาพทั้งหมดหายไปอย่างเชื่องช้า ก่อนความรู้สึกทั้งมวลจะดับวูบดำดิ่งลงไปสู่ความมืดมนและความเจ็บปวด เสียงกรีดร้องของคนรอบข้างไม่มีความหมาย
ภาพของหญิงสาวคนนั้นหันกลับมาแล้วแหวกฝูงชนเข้ามาหาหน้าตาตื่นพลางเรียกชื่อเขา
เธอเข้ามาใกล้ในระยะที่ควรมองเห็นหน้าได้ชัดเจนทุกอย่างมืดมัวลงไปอย่างรวดเร็ว หรือเขากำลังจะตายจริงๆ ถ้าทำได้ก็เพียงอยากคุยกับเธอก่อนตาย
“คุณเห็นผมใช่ไหม... แต่ผมมองไม่เห็นคุณเสียแล้วล่ะ”
สโรชิน...ชื่อนี้ประทับลงในความทรงจำสุดท้าย
เสียงเบรกของรถยนต์พร้อมกับการชนโครมเสียงดังลั่น จากนั้นจึงตามมาด้วยเสียงร้องของผู้คนรอบข้างและเสียงบีบแตรดังสนั่นหวั่นไหว สโรชินหยุดยืนฟังเหตุการณ์โดยรอบด้วยความรู้สึกตื่นตกใจ แต่ก็ถูกเพื่อนสาวดึงตัวออกมาให้ห่างจากจุดเกิดเหตุ
“เกิดอะไรขึ้นน่ะแจ๋น”
“รถชนน่ะ เหมือนจะมีคนวิ่งข้ามถนนตอนไฟเขียวนะ ไม่รู้จะรีบร้อนไปไหน เรารีบไปกันเถอะบัว เดี๋ยวไทยมุงเยอะกว่านี้คนจะมาเบียดเยอะ เดินลำบาก”
แจ๋นว่าพลางรั้งตัวเพื่อนสาวให้เดินหลีกออกมา สโรชินขยับตัวเพียงเล็กน้อยขืนตัวไว้ แต่อีกมือหนึ่งก็ควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าถือ กดหมายเลขเหตุฉุกเฉิน แล้วโทรออก
“โทรแจ้งอุบัติเหตุบนถนน.......ค่ะ”
แจ๋นฟังแล้วต้องพลอยหยุดเดินและรอจนเพื่อนบอกรายละเอียดต่างๆเสร็จเรียบร้อย ปลายสายกำลังปล่อยรถพยาบาลออกมา สโรชินหย่อนโทรศัพท์ลงกระเป๋า แล้วค่อยกอดแขนเพื่อนสาวแน่นขึ้น
“ไปกันเถอะแจ๋น”
“แล้วเมื่อกี้บัวทำอะไร”
“ก็แจ้งศูนย์กู้ภัยให้มารับคนเจ็บไง เราคนตาบอด ถึงยังไงก็คงเข้าไปช่วยเขาไม่ได้ แต่ถ้าเขาเป็นญาติ หรือเป็นคนรู้จักเรา แล้วเราไม่ได้ช่วย มารู้ทีหลังคงเสียใจแย่”
เพื่อนสาวที่เดินมาด้วยกันอึ้งปนทึ่ง ก้าวขาไม่ออกไปครู่หนึ่ง สโรชินแกล้งเขย่าเพื่อนรักแรงๆถามว่า
“แจ๋นโกรธเหรอ ขอโทษนะที่ทำให้เสียเวลา ไปต่อสิ เราหิวแล้ว”
“บ้าสิบัว แจ๋นจะโกรธบัวทำไม ไปหาอะไรกันแซบๆ กันดีกว่า”
ท่ามกลางกระแสความคิดของผู้คนมากมาย สโรชินจับไม่ได้ว่าสีหน้าของเพื่อนสาวในเวลานี้ คือความชื่นชมปะปนด้วยความสงสารและเสียดาย ภายใต้สายตาที่มืดมน จิตใจของสโรชินกลับสว่างสดใสยิ่งกว่าคนตาดีอีกมากมายหลายคนนัก
ถ้าไม่ตาบอดอย่างนี้ เธอคงมีโอกาสดีๆมากกว่านี้อีกหลายเท่า
แจ๋นเลื่อนมือไปโอบรอบเอวของคนข้างตัวเอาไว้อย่างรักสนิท ประคองพาเดินต่อพร้อมตำหนิเบาๆ
“ห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเองอยู่เรื่อย ยัยบ๊อง”
“ไม่รู้เหมือนกันนะแจ๋น แต่บัวรู้สึกแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก”
สโรชินเดินห่างออกจากที่เกิดเหตุมาอีกไกล รู้สึกถึงความกระสับกระส่ายอย่างไม่รู้ต้นเหตุ ความรู้สึกบางอย่างทำให้รู้สึกวิตกกังวลกับการเกิดอุบัติเหตุที่เพิ่งรับรู้มาอย่างแปลกประหลาดจนทำให้สับสนกับความรู้สึกของตัวเอง เหมือนได้ยินเสียงเรียกชื่อเธอแว่วมาจากไหนแว่วมาจากความวุ่นวายของกระแสผู้คน
สโรชิน...สโรชิน
เสียงแว่วในความรู้สึกรางเลือนแล้วจางหาย หญิงสาวจำเสียงนั้นได้
สักกะ...
รู้สึกเป็นห่วงเขาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก สโรชินเฝ้าเงี่ยหูฟังเสียงนั้นอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้สัมผัสถึงกระแสแห่งการเรียกนั้นอีก จนกระทั่งมาถึงร้านอาหารที่เคยมานั่งกินเป็นประจำกับเพื่อนสาวความกระวนกระวายใจยังรบกวนจนแจ๋นสังเกตได้
“บัวเป็นอะไรไป พักนี้เหม่อๆ ชอบกล” สาวแจ๋นถามขึ้นหลังจากพากันนั่งในร้านอาหารและเขียนรายการอาหารยื่นให้พนักงานของร้านเป็นที่เรียบร้อย ช่วงเวลาที่รออาหารทำให้ทั้งสองมีโอกาสพูดคุยกันได้เต็มที่
“นี่แจ๋น ถ้าบัวจะเล่าอะไรให้ฟัง สัญญาได้ไหมว่าจะไม่จับบัวส่งโรงพยาบาลโรคประสาท”
“อะไรกันบัว...” เพื่อนสาวฟังแล้วทำตาโตยิ้มพลางจ้องหน้าเพื่อน พยักหน้ารับคำอย่างไม่เสียเวลาคิดอะไรให้มากเรื่องหลายความ
“แจ๋นไม่มีทางทำแบบนั้นกับองค์หญิงบัวแน่นอน รีบเล่ามาเร็วๆ เลย”
ฟังแล้วอดหัวเราะไม่ได้ เอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างหนึ่งของเพื่อนสาวเสียงแจ๋นคนนี้คือ เธอมักจะเรียกขานชื่อแปลกๆให้กับสโรชินเสมอ คุณหญิงบ้าง องค์หญิงบ้าง เจ้านายบ้าง แม้แต่ชื่อบัวลอย บัวบาน ยังเคยเรียก แล้วแต่อารมณ์สนุกสนานจะพาไป
“สัญญาแล้วนะ”
“ฮื้อ ว่ามาเลย ตั้งใจฟังจ้า”
“จำได้ไหมที่บัวเคยเล่าให้ฟัง ว่าอยู่ดีๆ เราก็ได้รับโทรศัพท์จากคนที่เราไม่รู้จัก แต่เขาบรรยายลักษณะเราได้ถูก บอกตำแหน่งข้าวของในห้องได้ โดยที่เราก็แทบไม่เคยให้ใครเข้ามาในห้อง”
“เออ จำได้ล่ะ ที่บัวเคยโทรมาเล่าให้ฟังตอนนั้น แล้วเค้ามารู้เรื่องส่วนตัวของบัวได้ยังไง หรือว่าจะเป็นพวกโรคจิตแอบส่องกล้องผ่านหน้าต่างมาดูแล้วโทรมาก่อกวน ประมาณเซ็กส์โฟน อะไรอย่างนั้น”
“อ๋อ..เห็นบัวบอกว่าเขาไม่ติดต่อมาอีกเลย”
“เขา...ติดต่อมาอีกครั้งหนึ่ง” สโรชินสารภาพความจริง
“นั่น... คิดถึงเขาใช่ไหม” แจ๋วทำหน้ายิ้มทะเล้นใส่ทันที “เขาอาจเป็นคนไม่ดีก็ได้นะ”
“ไม่ใช่หรอกแจ๋น เราว่าเราสัมผัสได้ ว่าเขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เพียงแต่...สงสัยว่าเขามีตัวตนอยู่ไหนกันแน่”
คราวนี้แจ๋นมองอย่างประหลาดใจ
ถ้าไม่เชื่อใจเพื่อนรักคนนี้ ยังจะเชื่อใจใครได้อีกในโลก นี่เองเป็นเหตุผลทำให้หญิงสาวตัดสินใจเล่าเรื่องและรายละเอียดทั้งหมดให้อีกฝ่ายอย่างไม่ปิดบัง
พนักงานร้านนำมาอาหารมาวางแต่ทั้งสองยังไม่สนใจข้าวปลาอาหาร แจ๋นยังซักถามเกี่ยวกับรายละเอียดอื่นๆ อีกด้วยความอยากรู้ทั้งที่ก่อนเข้าร้านทำท่าหิวเหลือเกิน
“ว่าไงล่ะแจ๋น” หญิงสาวเอ่ยถามความเห็นของเพื่อนหลังจากร่ายรายละเอียดเรื่องราวพิสดารให้ฟังจนจบครบถ้วนกระบวนความ
“ฟังแล้ววิเคราะห์ดูสิว่า อาการบัวพอจะตีตั๋วเข้าไปพักในโรงพยาบาลโรคประสาทได้หรือยัง”
“แจ๋นเชื่อบัว” น้ำเสียงและแววตาบอกว่าเธอหมายความตามที่พูดจริงๆ
“เชื่อง่ายๆกันแบบนี้เลยเหรอ”
“แน่นอน เพียงแต่เรามาวิเคราะห์กันว่าจริงแล้วมันเรื่องอะไรกันแน่ หนุ่มหน้ามลคนนั้นเป็นใครกัน ส่วนเรื่องการข้ามเวลา อย่าลืมสิว่าสมัยเรียนแจ๋นเป็นแฟนพันธุ์แท้ของไอน์สไตน์ แจ๋นเชื่อมานานแล้วว่าเป็นไปได้ ว่ากันตามตรงนะ ไม่ว่าบัวจะบอกอะไรแจ๋นก็เชื่อหมดล่ะ”
“แจ๋นว่าบัวควรทำไงดี”
“ทำตัวให้สบาย แล้วทุกอย่างที่ดีขึ้นเอง”
สโรชินกุมมือคนพูดแล้วบีบแรงๆ ด้วยความซาบซึ้งใจ ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่ยอมรับฟังและหาว่าเธอบ้าไปแล้วอย่างแน่นอน ด้วยสัญชาตญาณสัมผัสพิเศษของได้อย่างชัดเจนว่าเพื่อนสาวไม่ได้แกล้งพูดปลอบใจ ทั้งสองคบกันมานานตั้งแต่สมัยเรียน และความสัมพันธ์ไม่เคยเจือจางห่างหาย
“แล้วที่บัวมีอาการแปลกเมื่อครู่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาไหม”
“บัวรู้สึกว่าเขากำลังลำบากด้วยสาเหตุอะไรก็ยังไม่รู้ จู่ๆ ความรู้สึกไม่ดีก็พุ่งวูบขึ้นมา แถมได้ยินเหมือนเสียงเรียกของเขาด้วย หรือว่า.....”
อะไรบางอย่างพุ่งวูบเข้ามาในความคิดทำให้ต้องชะงักคำพูด สาวแจ๋นมองหน้าเพื่อนรักอย่างสงสัย
“หรือว่าอะไรจ๊ะบัว”
หญิงสาวถอนหายใจ ส่ายหน้าเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองพูดออกมา
“หรือว่าอุบัติเหตุรถชนคนเมื่อตะกี๊อาจจะเป็นลางบอกเหตุว่าเขาอาจจะประสบอุบัติเหตุเกี่ยวกับรถยนต์ก็เป็นได้ หรือว่าจะเป็นสักกะ...”
“องค์หญิงบัวมีสัญชาตญาณพิเศษต่างจากคนอื่น อาจเป็นไปได้นะแจ๋นว่า ไว้มีโอกาสแจ๋นอยากขออนุญาตองค์หญิงคุยโทรศัพท์กับองค์ชายสักกะ จะได้รู้จักกับแฟนเพื่อนอย่างเป็นทางการเสียที”
“แฟนอะไร เดี๋ยวเถอะ อาหารมาแล้วกินกันดีกว่า เห็นบ่นว่าหิวไม่ใช่เหรอ”
สโรชินรีบตัดบทเพราะรู้สึกว่าตัวเองกำลังหน้าแดงกับคำว่าแฟน หัวใจเต้นแรงผิดปรกติ คนไม่เคยเห็นหน้ามีอิทธิพลมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร หูยังได้ยินเสียงเพื่อนหัวเราะคิกๆ เพราะคงสังเกตเห็นอาการขวยเขินอันเก็บไม่มิดได้
สัปดาห์กว่าผ่านไป คิดถึงเขาอยู่ได้ สโรชินถอนหายใจแรง วางมือจากงานที่รับกลับมาทำที่ห้อง เธอไม่อยากออกไปไหน เพราะถ้าเขาโทรมาในเวลาที่เธอไม่อยู่ ก็อาจจะคลาดกันอย่างน่าเสียดาย และที่สำคัญ เธอไม่มีหนทางอื่นใดที่จะติดต่อเขาได้ นอกจากรอให้เขาติดต่อมาเท่านั้น
งานที่หญิงสาวเพิ่งรับมาทำที่ห้อง เป็นงานตรวจสอบเอกสารอักษรเบลล์ที่พิมพ์ออกมาจากเครื่องพิมพ์ชนิดพิเศษ การพิสูจน์อักษรเบลล์จำเป็นต้องใช้ความสามารถของผู้พิการทางสายตา จึงจะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ รายได้อาจไม่มากมายอะไรนัก แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรทำ และคนอยู่เบื้องหลังของการได้งานครั้งนี้คุณความดีต้องยกให้สาวแจ๋นเพื่อนรัก ผู้ไม่ยอมผละหนีไปเหมือนคนหลายคน นั่นเองทำให้หญิงสาวรู้ซึ้งถึงคำว่าเพื่อนแท้ ที่บางคนตลอดชีวิตก็ยังหาไม่ได้แม้แต่คนเดียว
สักกะเงียบหายไปอย่างผิดสังเกต
หวังว่านี่คงไม่ใช่วาไรตี้แกล้งคนตาบอด...
สโรชินก็มีคำถามอีกมากมายอยากถามเขา เธอเฝ้ารอให้โทรศัพท์ส่งเสียงดังขึ้นอีกสักหน แต่จนแล้วจนรอด การติดต่อก็เงียบหาย
โทรมาอีกสักครั้งเถอะนะ ให้ได้ยินเสียงก็ยังดี...ใจกระตุกวูบเมื่อได้ยินเสียงวิงวอนของตัวเอง
เธอกำลังคิดถึงเขาจริงๆนั่นแหละ
.
เกมรักพิศวง 9 ถนนสายเดียวกัน
https://ppantip.com/topic/38533418
ที่ไม่เข้าใจคือเธอไม่ได้ถือไม้เท้าสำหรับคนตาบอด
สโรชินไม่ได้ตาบอด!
----------------------
สักกะยืนงงตัวชาดิก ความงุนงงสงสัยนั่นเองทำให้เขาพลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย กว่าจะกลับมาตั้งสติได้ หญิงสาวกำลังจะถูกกลืนหายไปกับกระแสผู้คนไกลลิบ
“สโรชิน...!” สักกะร้องเรียกชื่อเธอออกไปสุดเสียงก่อนวิ่งข้ามถนนไป โดยลืมไปว่าเป็นจังหวะรถรากำลังเคลื่อนตัวผ่านทางม้าลายอีกครั้ง
สิ่งสุดท้ายดังก้องในโสตประสาทสักกะคือเสียงเบรกของรถยนต์ดังสนั่นหวั่นไหว ความรู้สึกบอกกับตัวเองว่าถูกอะไรบางอย่างพุ่งเข้าชนเต็มแรง น่าแปลกว่าเขาแทบไม่ตกใจหรือใส่ใจกับเรื่องพวกนี้มากเท่าที่ควร แรงปะทะทำให้ชายหนุ่มล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง
ไม่เจ็บเท่าไหร่... ว่าแต่... สโรชินอยู่ไหนล่ะ
สักกะพยายามยันตัวขึ้นมามองหาหญิงสาว ภาพที่ปรากฏตรงหน้ากลับบิดเบี้ยวเหมือนเกลียวน้ำถูกกลืนลงท่อระบายน้ำ ความเจ็บแปลบแล่นผ่านกำแพงชาด้านเข้ามาพร้อมกับน้ำอุ่นๆ จากหางคิ้วลงมากลบตา โลกเริ่มหมุนคว้างจนต้องล้มลงไปบนพื้นอีกครั้ง มโนภาพทั้งหมดหายไปอย่างเชื่องช้า ก่อนความรู้สึกทั้งมวลจะดับวูบดำดิ่งลงไปสู่ความมืดมนและความเจ็บปวด เสียงกรีดร้องของคนรอบข้างไม่มีความหมาย
ภาพของหญิงสาวคนนั้นหันกลับมาแล้วแหวกฝูงชนเข้ามาหาหน้าตาตื่นพลางเรียกชื่อเขา
เธอเข้ามาใกล้ในระยะที่ควรมองเห็นหน้าได้ชัดเจนทุกอย่างมืดมัวลงไปอย่างรวดเร็ว หรือเขากำลังจะตายจริงๆ ถ้าทำได้ก็เพียงอยากคุยกับเธอก่อนตาย
“คุณเห็นผมใช่ไหม... แต่ผมมองไม่เห็นคุณเสียแล้วล่ะ”
สโรชิน...ชื่อนี้ประทับลงในความทรงจำสุดท้าย
เสียงเบรกของรถยนต์พร้อมกับการชนโครมเสียงดังลั่น จากนั้นจึงตามมาด้วยเสียงร้องของผู้คนรอบข้างและเสียงบีบแตรดังสนั่นหวั่นไหว สโรชินหยุดยืนฟังเหตุการณ์โดยรอบด้วยความรู้สึกตื่นตกใจ แต่ก็ถูกเพื่อนสาวดึงตัวออกมาให้ห่างจากจุดเกิดเหตุ
“เกิดอะไรขึ้นน่ะแจ๋น”
“รถชนน่ะ เหมือนจะมีคนวิ่งข้ามถนนตอนไฟเขียวนะ ไม่รู้จะรีบร้อนไปไหน เรารีบไปกันเถอะบัว เดี๋ยวไทยมุงเยอะกว่านี้คนจะมาเบียดเยอะ เดินลำบาก”
แจ๋นว่าพลางรั้งตัวเพื่อนสาวให้เดินหลีกออกมา สโรชินขยับตัวเพียงเล็กน้อยขืนตัวไว้ แต่อีกมือหนึ่งก็ควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าถือ กดหมายเลขเหตุฉุกเฉิน แล้วโทรออก
“โทรแจ้งอุบัติเหตุบนถนน.......ค่ะ”
แจ๋นฟังแล้วต้องพลอยหยุดเดินและรอจนเพื่อนบอกรายละเอียดต่างๆเสร็จเรียบร้อย ปลายสายกำลังปล่อยรถพยาบาลออกมา สโรชินหย่อนโทรศัพท์ลงกระเป๋า แล้วค่อยกอดแขนเพื่อนสาวแน่นขึ้น
“ไปกันเถอะแจ๋น”
“แล้วเมื่อกี้บัวทำอะไร”
“ก็แจ้งศูนย์กู้ภัยให้มารับคนเจ็บไง เราคนตาบอด ถึงยังไงก็คงเข้าไปช่วยเขาไม่ได้ แต่ถ้าเขาเป็นญาติ หรือเป็นคนรู้จักเรา แล้วเราไม่ได้ช่วย มารู้ทีหลังคงเสียใจแย่”
เพื่อนสาวที่เดินมาด้วยกันอึ้งปนทึ่ง ก้าวขาไม่ออกไปครู่หนึ่ง สโรชินแกล้งเขย่าเพื่อนรักแรงๆถามว่า
“แจ๋นโกรธเหรอ ขอโทษนะที่ทำให้เสียเวลา ไปต่อสิ เราหิวแล้ว”
“บ้าสิบัว แจ๋นจะโกรธบัวทำไม ไปหาอะไรกันแซบๆ กันดีกว่า”
ท่ามกลางกระแสความคิดของผู้คนมากมาย สโรชินจับไม่ได้ว่าสีหน้าของเพื่อนสาวในเวลานี้ คือความชื่นชมปะปนด้วยความสงสารและเสียดาย ภายใต้สายตาที่มืดมน จิตใจของสโรชินกลับสว่างสดใสยิ่งกว่าคนตาดีอีกมากมายหลายคนนัก
ถ้าไม่ตาบอดอย่างนี้ เธอคงมีโอกาสดีๆมากกว่านี้อีกหลายเท่า
แจ๋นเลื่อนมือไปโอบรอบเอวของคนข้างตัวเอาไว้อย่างรักสนิท ประคองพาเดินต่อพร้อมตำหนิเบาๆ
“ห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเองอยู่เรื่อย ยัยบ๊อง”
“ไม่รู้เหมือนกันนะแจ๋น แต่บัวรู้สึกแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก”
สโรชินเดินห่างออกจากที่เกิดเหตุมาอีกไกล รู้สึกถึงความกระสับกระส่ายอย่างไม่รู้ต้นเหตุ ความรู้สึกบางอย่างทำให้รู้สึกวิตกกังวลกับการเกิดอุบัติเหตุที่เพิ่งรับรู้มาอย่างแปลกประหลาดจนทำให้สับสนกับความรู้สึกของตัวเอง เหมือนได้ยินเสียงเรียกชื่อเธอแว่วมาจากไหนแว่วมาจากความวุ่นวายของกระแสผู้คน
สโรชิน...สโรชิน
เสียงแว่วในความรู้สึกรางเลือนแล้วจางหาย หญิงสาวจำเสียงนั้นได้
สักกะ...
รู้สึกเป็นห่วงเขาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก สโรชินเฝ้าเงี่ยหูฟังเสียงนั้นอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้สัมผัสถึงกระแสแห่งการเรียกนั้นอีก จนกระทั่งมาถึงร้านอาหารที่เคยมานั่งกินเป็นประจำกับเพื่อนสาวความกระวนกระวายใจยังรบกวนจนแจ๋นสังเกตได้
“บัวเป็นอะไรไป พักนี้เหม่อๆ ชอบกล” สาวแจ๋นถามขึ้นหลังจากพากันนั่งในร้านอาหารและเขียนรายการอาหารยื่นให้พนักงานของร้านเป็นที่เรียบร้อย ช่วงเวลาที่รออาหารทำให้ทั้งสองมีโอกาสพูดคุยกันได้เต็มที่
“นี่แจ๋น ถ้าบัวจะเล่าอะไรให้ฟัง สัญญาได้ไหมว่าจะไม่จับบัวส่งโรงพยาบาลโรคประสาท”
“อะไรกันบัว...” เพื่อนสาวฟังแล้วทำตาโตยิ้มพลางจ้องหน้าเพื่อน พยักหน้ารับคำอย่างไม่เสียเวลาคิดอะไรให้มากเรื่องหลายความ
“แจ๋นไม่มีทางทำแบบนั้นกับองค์หญิงบัวแน่นอน รีบเล่ามาเร็วๆ เลย”
ฟังแล้วอดหัวเราะไม่ได้ เอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างหนึ่งของเพื่อนสาวเสียงแจ๋นคนนี้คือ เธอมักจะเรียกขานชื่อแปลกๆให้กับสโรชินเสมอ คุณหญิงบ้าง องค์หญิงบ้าง เจ้านายบ้าง แม้แต่ชื่อบัวลอย บัวบาน ยังเคยเรียก แล้วแต่อารมณ์สนุกสนานจะพาไป
“สัญญาแล้วนะ”
“ฮื้อ ว่ามาเลย ตั้งใจฟังจ้า”
“จำได้ไหมที่บัวเคยเล่าให้ฟัง ว่าอยู่ดีๆ เราก็ได้รับโทรศัพท์จากคนที่เราไม่รู้จัก แต่เขาบรรยายลักษณะเราได้ถูก บอกตำแหน่งข้าวของในห้องได้ โดยที่เราก็แทบไม่เคยให้ใครเข้ามาในห้อง”
“เออ จำได้ล่ะ ที่บัวเคยโทรมาเล่าให้ฟังตอนนั้น แล้วเค้ามารู้เรื่องส่วนตัวของบัวได้ยังไง หรือว่าจะเป็นพวกโรคจิตแอบส่องกล้องผ่านหน้าต่างมาดูแล้วโทรมาก่อกวน ประมาณเซ็กส์โฟน อะไรอย่างนั้น”
“อ๋อ..เห็นบัวบอกว่าเขาไม่ติดต่อมาอีกเลย”
“เขา...ติดต่อมาอีกครั้งหนึ่ง” สโรชินสารภาพความจริง
“นั่น... คิดถึงเขาใช่ไหม” แจ๋วทำหน้ายิ้มทะเล้นใส่ทันที “เขาอาจเป็นคนไม่ดีก็ได้นะ”
“ไม่ใช่หรอกแจ๋น เราว่าเราสัมผัสได้ ว่าเขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เพียงแต่...สงสัยว่าเขามีตัวตนอยู่ไหนกันแน่”
คราวนี้แจ๋นมองอย่างประหลาดใจ
ถ้าไม่เชื่อใจเพื่อนรักคนนี้ ยังจะเชื่อใจใครได้อีกในโลก นี่เองเป็นเหตุผลทำให้หญิงสาวตัดสินใจเล่าเรื่องและรายละเอียดทั้งหมดให้อีกฝ่ายอย่างไม่ปิดบัง
พนักงานร้านนำมาอาหารมาวางแต่ทั้งสองยังไม่สนใจข้าวปลาอาหาร แจ๋นยังซักถามเกี่ยวกับรายละเอียดอื่นๆ อีกด้วยความอยากรู้ทั้งที่ก่อนเข้าร้านทำท่าหิวเหลือเกิน
“ว่าไงล่ะแจ๋น” หญิงสาวเอ่ยถามความเห็นของเพื่อนหลังจากร่ายรายละเอียดเรื่องราวพิสดารให้ฟังจนจบครบถ้วนกระบวนความ
“ฟังแล้ววิเคราะห์ดูสิว่า อาการบัวพอจะตีตั๋วเข้าไปพักในโรงพยาบาลโรคประสาทได้หรือยัง”
“แจ๋นเชื่อบัว” น้ำเสียงและแววตาบอกว่าเธอหมายความตามที่พูดจริงๆ
“เชื่อง่ายๆกันแบบนี้เลยเหรอ”
“แน่นอน เพียงแต่เรามาวิเคราะห์กันว่าจริงแล้วมันเรื่องอะไรกันแน่ หนุ่มหน้ามลคนนั้นเป็นใครกัน ส่วนเรื่องการข้ามเวลา อย่าลืมสิว่าสมัยเรียนแจ๋นเป็นแฟนพันธุ์แท้ของไอน์สไตน์ แจ๋นเชื่อมานานแล้วว่าเป็นไปได้ ว่ากันตามตรงนะ ไม่ว่าบัวจะบอกอะไรแจ๋นก็เชื่อหมดล่ะ”
“แจ๋นว่าบัวควรทำไงดี”
“ทำตัวให้สบาย แล้วทุกอย่างที่ดีขึ้นเอง”
สโรชินกุมมือคนพูดแล้วบีบแรงๆ ด้วยความซาบซึ้งใจ ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่ยอมรับฟังและหาว่าเธอบ้าไปแล้วอย่างแน่นอน ด้วยสัญชาตญาณสัมผัสพิเศษของได้อย่างชัดเจนว่าเพื่อนสาวไม่ได้แกล้งพูดปลอบใจ ทั้งสองคบกันมานานตั้งแต่สมัยเรียน และความสัมพันธ์ไม่เคยเจือจางห่างหาย
“แล้วที่บัวมีอาการแปลกเมื่อครู่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาไหม”
“บัวรู้สึกว่าเขากำลังลำบากด้วยสาเหตุอะไรก็ยังไม่รู้ จู่ๆ ความรู้สึกไม่ดีก็พุ่งวูบขึ้นมา แถมได้ยินเหมือนเสียงเรียกของเขาด้วย หรือว่า.....”
อะไรบางอย่างพุ่งวูบเข้ามาในความคิดทำให้ต้องชะงักคำพูด สาวแจ๋นมองหน้าเพื่อนรักอย่างสงสัย
“หรือว่าอะไรจ๊ะบัว”
หญิงสาวถอนหายใจ ส่ายหน้าเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองพูดออกมา
“หรือว่าอุบัติเหตุรถชนคนเมื่อตะกี๊อาจจะเป็นลางบอกเหตุว่าเขาอาจจะประสบอุบัติเหตุเกี่ยวกับรถยนต์ก็เป็นได้ หรือว่าจะเป็นสักกะ...”
“องค์หญิงบัวมีสัญชาตญาณพิเศษต่างจากคนอื่น อาจเป็นไปได้นะแจ๋นว่า ไว้มีโอกาสแจ๋นอยากขออนุญาตองค์หญิงคุยโทรศัพท์กับองค์ชายสักกะ จะได้รู้จักกับแฟนเพื่อนอย่างเป็นทางการเสียที”
“แฟนอะไร เดี๋ยวเถอะ อาหารมาแล้วกินกันดีกว่า เห็นบ่นว่าหิวไม่ใช่เหรอ”
สโรชินรีบตัดบทเพราะรู้สึกว่าตัวเองกำลังหน้าแดงกับคำว่าแฟน หัวใจเต้นแรงผิดปรกติ คนไม่เคยเห็นหน้ามีอิทธิพลมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร หูยังได้ยินเสียงเพื่อนหัวเราะคิกๆ เพราะคงสังเกตเห็นอาการขวยเขินอันเก็บไม่มิดได้
สัปดาห์กว่าผ่านไป คิดถึงเขาอยู่ได้ สโรชินถอนหายใจแรง วางมือจากงานที่รับกลับมาทำที่ห้อง เธอไม่อยากออกไปไหน เพราะถ้าเขาโทรมาในเวลาที่เธอไม่อยู่ ก็อาจจะคลาดกันอย่างน่าเสียดาย และที่สำคัญ เธอไม่มีหนทางอื่นใดที่จะติดต่อเขาได้ นอกจากรอให้เขาติดต่อมาเท่านั้น
งานที่หญิงสาวเพิ่งรับมาทำที่ห้อง เป็นงานตรวจสอบเอกสารอักษรเบลล์ที่พิมพ์ออกมาจากเครื่องพิมพ์ชนิดพิเศษ การพิสูจน์อักษรเบลล์จำเป็นต้องใช้ความสามารถของผู้พิการทางสายตา จึงจะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ รายได้อาจไม่มากมายอะไรนัก แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรทำ และคนอยู่เบื้องหลังของการได้งานครั้งนี้คุณความดีต้องยกให้สาวแจ๋นเพื่อนรัก ผู้ไม่ยอมผละหนีไปเหมือนคนหลายคน นั่นเองทำให้หญิงสาวรู้ซึ้งถึงคำว่าเพื่อนแท้ ที่บางคนตลอดชีวิตก็ยังหาไม่ได้แม้แต่คนเดียว
สักกะเงียบหายไปอย่างผิดสังเกต
หวังว่านี่คงไม่ใช่วาไรตี้แกล้งคนตาบอด...
สโรชินก็มีคำถามอีกมากมายอยากถามเขา เธอเฝ้ารอให้โทรศัพท์ส่งเสียงดังขึ้นอีกสักหน แต่จนแล้วจนรอด การติดต่อก็เงียบหาย
โทรมาอีกสักครั้งเถอะนะ ให้ได้ยินเสียงก็ยังดี...ใจกระตุกวูบเมื่อได้ยินเสียงวิงวอนของตัวเอง
เธอกำลังคิดถึงเขาจริงๆนั่นแหละ
.