..........( แสงสว่าง กลางใจ )..........
.........."เราเลิกกันเถอะ" เสียงเบา ๆ แต่เย็นเฉียบ ทำเอาชายหนุ่มตัวชาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ “อะ อะ อะไรนะ” เขายังดึงสติกลับมาไม่หมด ถามออกไปด้วยน้ำเสียงแหบพร่า หญิงสาวมองหน้านิ่ง แววตาว่างเปล่าไม่มีความรู้สึก “ฉันเบื่อความจน และจะไม่ทนอีกต่อไป” เธอพูดจบพลางหันหลัง หิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อมออกจากห้องเช่าเดินไปในความมืด ไม่หันกลับมามองแม้แต่นิดเดียว
เขายังคงยืนนิ่งมองเธอไปจนลับตา คิดจะตามไปขาก็ก้าวไม่ออก ความรู้สึกสับสนปนเปจนทำอะไรไม่ถูก หันกลับไปมองลูกน้อยที่นอนหลับอยู่บนที่นอนเก่า ๆ กอดตุ๊กตามอมแมมตัวโปรดไว้ข้างตัวแน่น น้ำตามันก็ไหลออกมา ทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ เอามือลูบหัวหนูน้อยแล้วสะอื้นออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
หกปีเต็ม ที่อยู่กันมา กานดาไม่เคยเอ่ยปากบ่นถึงความยากเข็ญเลยแม้แต่น้อย บางครั้งเขานึกสงสารที่พาเธอมาเจอกับความลำบากไม่รู้จบ ถ้าโชคชะตาของมนุษย์ทุกคน ต้องเจอกับสุขและทุกข์ปะปนกันไป ทำไมเขาจึงต่อแถวเข้ารับกับความผิดหวังได้ทุกรอบเลย ทางที่ไปสู่ความสำเร็จนั้น มันมองยังไงก็เลือนราง
บางครั้งเหมือนจะใกล้แค่มือเอื้อมถึงได้ แต่พอเดินเข้าไปมันก็ถอยห่างไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ไกลออกไปจนมองไม่เห็น เหมือนงานที่เขาลาออกมาเมื่อปีที่แล้ว หกเดือนแรกเงินเดือนขึ้นทุกเดือนจนเขาแทบไม่อยากจะหยุดงาน ยิ่งทำยิ่งสนุก ได้เงินมากก็ยิ่งมีแรง มันคึกคักและฮึกเหิมอย่างบอกไม่ถูก
พอลูกน้อยได้สองขวบ ทุกอย่างในที่ทำงานก็หยุดนิ่ง เงินเดือนไม่ขึ้น โบนัสไม่มี ตรุษจีน ปีใหม่ ไม่มีงานเลี้ยง ไม่มีของขวัญ มีแต่งานที่มากขึ้น การประชุมให้เพิ่มยอดขายมีแทบทุกเดือน ในขณะที่คนงานเริ่มน้อยลง เพราะทยอยกันลาออก รวมทั้งเขาที่อยู่ไม่ได้เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ
มีเงินเก็บอยู่นิดหน่อย เลยคิดจะค้าขาย คิดดูแล้วก็ดีไปอย่าง จะได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น ไม่ต้องรอวันหยุด ที่นาน ๆ จะมีสักวัน ตัดสินใจได้ดังนั้นก็หาเช่าห้อง แล้วซื้อของมาลง แรก ๆ ก็ขายได้พอกินพอใช้ แต่ยังไม่มีเก็บ คิดว่าทนไประยะยาว อะไรคงจะดีขึ้น
แต่พอเข้าหน้าฝนลูกค้าก็น้อยลงอย่างน่าใจหาย ต้องเบิกเงินที่พอมีเหลืออยู่มั่งมาเป็นค่ากินและค่าเช่า ฝนปีนี้ยืดเยื้อมาก พายุก็เข้าบ่อย แถมเข้าหน้าหนาวยังมีฝนตกมาอีกหลายรอบ เพิ่มความเหนื่อยยาก ความทุกข์ให้มากขึ้น แต่เมื่อมองเห็นหน้าลูกเมีย ก็ทำให้มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป
วันนี้เธอเดินจากไป ทิ้งลูกน้อยไว้ จะด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ รู้อย่างเดียวเขาต้องการเธอกลับคืนมา และออกตามหาในที่ ๆ คิดว่ากานดาจะไป หรือได้ยินว่าเธออยู่ที่ไหน แต่เวลาผ่านไปหลายวันก็ยังไร้วี่แวว เรื่องที่เข้าหูก็เริ่มเป็นเรื่องเดิม ๆ วนซ้ำไปซ้ำมา จะมีที่เป็นข่าวใหม่ก็คือ คนรู้จัก เห็นเธอไปไหนมาไหนกับผู้ชายคนนึง เห็นกันหลายคน และหลายครั้ง ในที่ต่าง ๆ กัน
ใจที่แตกสลาย ร่างกายที่อ่อนล้า ยังคงเฝ้ารอการกลับมาอย่างมีความหวังผ่านไปเป็นเดือน ความคิดถึง ความอาลัยหา ยังวนเวียนอยู่ในใจ อย่างน้อยก็ขอแค่เห็นหน้าอีกสักครั้ง ถึงแม้ความเป็นไปได้จะน้อยเต็มที ก็ยังคอยวันนั้นอยู่ ส่วนร้านที่ขายดีมั่งไม่ดีมั่งก็ยังคงเปิดตามปกติ เพราะยังมีปากท้องที่ต้องดูแลอยู่ จะมีเป็นบางคราวที่ร้านปิดครึ่งวัน เมื่อมีข่าวเกี่ยวกับเธอแว่วเข้ามา และการกลับมาตัวเปล่าของเขา ก็เป็นเรื่องธรรมดา ที่เห็นจนชินตาทุกครั้งไป
กานดา นั่งอยู่ที่ร้านกาแฟเล็ก ๆ นี้ มาเกือบชั่วโมงแล้ว เธอเลือกโต๊ะในสุด หันหลังให้ประตูทางเข้า สถานที่มิดชิด บรรยากาศสบายเป็นส่วนตัว คนไม่พลุกพล่าน จึงเป็นที่ ๆ เหมาะกับการที่เธอจะนัดเจอใครสักคน ซึ่งไม่นานนัก ชายร่างสูงโปร่งก็เข้ามาในร้าน เดินมาที่โต๊ะแล้วนั่งลงตรงข้ามเธอ
“พี่จักร” หญิงสาวทักขึ้นก่อน “กานดา มานานรึยัง” เขาถามพลางส่งยิ้มให้ เธอพยักหน้าเนือย ๆ “เป็นไงมั่ง” ชายหนุ่มพูดจบเสียงสะอื้นก็ดังขึ้น
“ฉันคิดถึงลูก” เขาปล่อยให้เธอซบหน้าลงกับฝ่ามือร้องไห้อยู่ครู่นึง จึงเอื้อมมือไปลูบหัวเบา ๆ
“คิดถึงก็กลับไปหาสิ” เสียงสะอื้นยิ่งดังขึ้นเมื่อได้ยินประโยคนี้ จนผ่านไปพักใหญ่ หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นมา ชายหนุ่มส่งผ้าเช็ดหน้าให้ เธอรับไปพูดขอบคุณเบา ๆ
“พี่จะกลับเดือนหน้าแล้วนะ ” เขามองเธอซึ่งนิ่งอยู่ไม่พูดอะไร “ไปอยู่เมืองนอกกับพี่มั๊ย” ไม่มีคำตอบจากปากที่ซีดเซียว แววตาที่อิดโรยมองสบตาชายหนุ่ม “ฉันขอบคุณพี่จักรมาก ตอนแรกก็ไม่รู้จะทำยังไง” หยุดพูดนิดนึง ถอนใจเบา ๆ “พอรู้ว่าพี่จะกลับจากนอก ก็เลยให้พี่ช่วยแกล้งเป็นแฟนใหม่ฉันนี่แหละ”
เขารับผ้าเช็ดหน้าคืนมองหน้าที่เศร้าสร้อยของเธอ “เรื่องจอประสาทตาเสื่อม หมอว่าไงมั่งล่ะ” เขาถามขึ้นมา “ฉันไปหาหมอช้าไปพี่ เดาเอาเองว่าไม่น่าจะเกินสองปีมันก็จะบอดสนิท” เสียงสะอื้นในอกขึ้นมาแทนคำพูดทำให้เงียบไป ครู่นึงกว่าจะเอ่ยคำใหม่ขึ้นมาได้ “แต่พี่ไม่ต้องห่วง ฉันมีที่อยู่ของฉัน” เธอก้มหน้า “พี่เชิดเค้าดูแลลูกคนเดียวก็หนักพอแล้ว ถ้ามีฉันอีกคนมันจะไปกันใหญ่” มองหน้าชายหนุ่มน้ำตาไหลเป็นทาง
“มันต้องมีทางแก้สิ พี่จะลองไปปรึกษากับคุณหมอให้ เดี๋ยวนี้น่าจะรักษาได้แล้ว” เขากุมมือหญิงสาวไว้ตบเบา ๆ เป็นเชิงปลอบใจ
“น้องสาวพี่ทั้งคน พี่ไม่ยอมให้เป็นอะไรหรอก” เธอมองหน้าเขาฝืนยิ้มทั้งน้ำตา “แต่กานดาต้องช่วยอะไรพี่เรื่องนึง” เขายิ้มให้หญิงสาวที่จ้องมองด้วยความสงสัย ชายหนุ่มปล่อยมือ พร้อมลุกขึ้นจากโต๊ะ ตาพร่าเลือนของหญิงสาว ทำให้หันไปมองเห็นหลังเขาที่เดินไปทางประตูแค่เพียงลาง ๆ เธอจึงหันกลับมามองแก้วกาแฟตรงหน้าแทน ใจครุ่นคิดไปต่าง ๆ นานา และก็วนกลับมาที่ลูกน้อย น้ำตาคลอทั้งสองตา
การทิ้งทุกอย่างมามันเป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก มันแน่นอยู่ในอกพูดมาเป็นคำพูดยังไงก็ไม่หมด แต่ภาพของชายคนนึง กับเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ต้องคอยดูแลหญิงตาบอดไปตลอดชีวิต มันทำให้เธอต้องเลือกที่จะเก็บความเจ็บปวดนี้ไว้คนเดียว เสียงเปิดประตูพร้อมเสียงเดินเข้ามาของคนมากกว่าหนึ่งคน น่าจะเป็นลูกค้าของทางร้าน หญิงสาวคิดโดยไม่หันไปมอง ใจจดจ่อรอแค่พี่ชายเท่านั้นเอง
เสียงเดินใกล้เข้ามาด้านหลังเรื่อย ๆ และจังหวะการเดินก็ถี่ขึ้น จนเป็นวิ่งในที่สุด เธอแปลกใจหันกลับไปมอง ตาพร่ามัวทำให้เห็นภาพไม่ชัด แต่ก็ยังรับรู้ว่าตรงหน้านั้นคือเด็กชายคนนึง และเมื่อได้รับสัมผัสจากการโผเข้ากอดของเด็กน้อย เธอก็ปล่อยโฮออกมาทันที
ใกล้ค่ำแล้ว ฟ้าสีหม่นเริ่มคลุมเข้มขึ้น จนรอบบริเวณอยู่ในความมืดมิด ความดำสนิทที่แผ่ไปในราตรีนี้ เป็นสีเดียวกับทุก ๆ คืน และได้รับรู้กันถ้วนทั่วทุกคน แต่ในความรู้สึกของแต่ละคนในแต่ละคืนย่อมแตกต่างกันไป
ฟ้ายามค่ำคืนในวันนั้นเหมือนกับท้องฟ้าที่ไร้ดาว ทำให้ครอบครัวนึงต้องหลั่งน้ำตาออกมาจากใจที่มืดมน วนเวียนหาทางออกไม่เจอ แต่ฟ้าคืนนี้ ได้สร้างรอยยิ้มทั้งน้ำตา และในหัวใจของเขาเหล่านั้น สว่างจ้าเหมือนกับดวงดาวทั้งหมด ได้เข้าไปอยู่กลางใจ ของทุกคน ..........@@
ลุงแผน
๙ มกราคม ๒๕๖๒
..........เรื่องนี้เขียนขึ้นเพื่อมอบเป็นกำลังใจให้กับน้องคนนึงครับ ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอเป็นยังไงมั่ง ไม่ได้ติดตามมาระยะนึงแล้ว........
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://ppantip.com/topic/38046912/comment13
..........ขอบพระคุณ สำหรับกำลังใจจากทุกท่าน ที่มีให้ มาโดยตลอด ขอบคุณมาก ๆ ครับ........
........................................
.....เรื่องสั้น........ เรื่อง......แสงสว่าง กลางใจ........@@ โดย ลุงแผน
.........."เราเลิกกันเถอะ" เสียงเบา ๆ แต่เย็นเฉียบ ทำเอาชายหนุ่มตัวชาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ “อะ อะ อะไรนะ” เขายังดึงสติกลับมาไม่หมด ถามออกไปด้วยน้ำเสียงแหบพร่า หญิงสาวมองหน้านิ่ง แววตาว่างเปล่าไม่มีความรู้สึก “ฉันเบื่อความจน และจะไม่ทนอีกต่อไป” เธอพูดจบพลางหันหลัง หิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อมออกจากห้องเช่าเดินไปในความมืด ไม่หันกลับมามองแม้แต่นิดเดียว
เขายังคงยืนนิ่งมองเธอไปจนลับตา คิดจะตามไปขาก็ก้าวไม่ออก ความรู้สึกสับสนปนเปจนทำอะไรไม่ถูก หันกลับไปมองลูกน้อยที่นอนหลับอยู่บนที่นอนเก่า ๆ กอดตุ๊กตามอมแมมตัวโปรดไว้ข้างตัวแน่น น้ำตามันก็ไหลออกมา ทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ เอามือลูบหัวหนูน้อยแล้วสะอื้นออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
หกปีเต็ม ที่อยู่กันมา กานดาไม่เคยเอ่ยปากบ่นถึงความยากเข็ญเลยแม้แต่น้อย บางครั้งเขานึกสงสารที่พาเธอมาเจอกับความลำบากไม่รู้จบ ถ้าโชคชะตาของมนุษย์ทุกคน ต้องเจอกับสุขและทุกข์ปะปนกันไป ทำไมเขาจึงต่อแถวเข้ารับกับความผิดหวังได้ทุกรอบเลย ทางที่ไปสู่ความสำเร็จนั้น มันมองยังไงก็เลือนราง
บางครั้งเหมือนจะใกล้แค่มือเอื้อมถึงได้ แต่พอเดินเข้าไปมันก็ถอยห่างไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ไกลออกไปจนมองไม่เห็น เหมือนงานที่เขาลาออกมาเมื่อปีที่แล้ว หกเดือนแรกเงินเดือนขึ้นทุกเดือนจนเขาแทบไม่อยากจะหยุดงาน ยิ่งทำยิ่งสนุก ได้เงินมากก็ยิ่งมีแรง มันคึกคักและฮึกเหิมอย่างบอกไม่ถูก
พอลูกน้อยได้สองขวบ ทุกอย่างในที่ทำงานก็หยุดนิ่ง เงินเดือนไม่ขึ้น โบนัสไม่มี ตรุษจีน ปีใหม่ ไม่มีงานเลี้ยง ไม่มีของขวัญ มีแต่งานที่มากขึ้น การประชุมให้เพิ่มยอดขายมีแทบทุกเดือน ในขณะที่คนงานเริ่มน้อยลง เพราะทยอยกันลาออก รวมทั้งเขาที่อยู่ไม่ได้เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ
มีเงินเก็บอยู่นิดหน่อย เลยคิดจะค้าขาย คิดดูแล้วก็ดีไปอย่าง จะได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น ไม่ต้องรอวันหยุด ที่นาน ๆ จะมีสักวัน ตัดสินใจได้ดังนั้นก็หาเช่าห้อง แล้วซื้อของมาลง แรก ๆ ก็ขายได้พอกินพอใช้ แต่ยังไม่มีเก็บ คิดว่าทนไประยะยาว อะไรคงจะดีขึ้น
แต่พอเข้าหน้าฝนลูกค้าก็น้อยลงอย่างน่าใจหาย ต้องเบิกเงินที่พอมีเหลืออยู่มั่งมาเป็นค่ากินและค่าเช่า ฝนปีนี้ยืดเยื้อมาก พายุก็เข้าบ่อย แถมเข้าหน้าหนาวยังมีฝนตกมาอีกหลายรอบ เพิ่มความเหนื่อยยาก ความทุกข์ให้มากขึ้น แต่เมื่อมองเห็นหน้าลูกเมีย ก็ทำให้มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป
วันนี้เธอเดินจากไป ทิ้งลูกน้อยไว้ จะด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ รู้อย่างเดียวเขาต้องการเธอกลับคืนมา และออกตามหาในที่ ๆ คิดว่ากานดาจะไป หรือได้ยินว่าเธออยู่ที่ไหน แต่เวลาผ่านไปหลายวันก็ยังไร้วี่แวว เรื่องที่เข้าหูก็เริ่มเป็นเรื่องเดิม ๆ วนซ้ำไปซ้ำมา จะมีที่เป็นข่าวใหม่ก็คือ คนรู้จัก เห็นเธอไปไหนมาไหนกับผู้ชายคนนึง เห็นกันหลายคน และหลายครั้ง ในที่ต่าง ๆ กัน
ใจที่แตกสลาย ร่างกายที่อ่อนล้า ยังคงเฝ้ารอการกลับมาอย่างมีความหวังผ่านไปเป็นเดือน ความคิดถึง ความอาลัยหา ยังวนเวียนอยู่ในใจ อย่างน้อยก็ขอแค่เห็นหน้าอีกสักครั้ง ถึงแม้ความเป็นไปได้จะน้อยเต็มที ก็ยังคอยวันนั้นอยู่ ส่วนร้านที่ขายดีมั่งไม่ดีมั่งก็ยังคงเปิดตามปกติ เพราะยังมีปากท้องที่ต้องดูแลอยู่ จะมีเป็นบางคราวที่ร้านปิดครึ่งวัน เมื่อมีข่าวเกี่ยวกับเธอแว่วเข้ามา และการกลับมาตัวเปล่าของเขา ก็เป็นเรื่องธรรมดา ที่เห็นจนชินตาทุกครั้งไป
กานดา นั่งอยู่ที่ร้านกาแฟเล็ก ๆ นี้ มาเกือบชั่วโมงแล้ว เธอเลือกโต๊ะในสุด หันหลังให้ประตูทางเข้า สถานที่มิดชิด บรรยากาศสบายเป็นส่วนตัว คนไม่พลุกพล่าน จึงเป็นที่ ๆ เหมาะกับการที่เธอจะนัดเจอใครสักคน ซึ่งไม่นานนัก ชายร่างสูงโปร่งก็เข้ามาในร้าน เดินมาที่โต๊ะแล้วนั่งลงตรงข้ามเธอ
“พี่จักร” หญิงสาวทักขึ้นก่อน “กานดา มานานรึยัง” เขาถามพลางส่งยิ้มให้ เธอพยักหน้าเนือย ๆ “เป็นไงมั่ง” ชายหนุ่มพูดจบเสียงสะอื้นก็ดังขึ้น
“ฉันคิดถึงลูก” เขาปล่อยให้เธอซบหน้าลงกับฝ่ามือร้องไห้อยู่ครู่นึง จึงเอื้อมมือไปลูบหัวเบา ๆ
“คิดถึงก็กลับไปหาสิ” เสียงสะอื้นยิ่งดังขึ้นเมื่อได้ยินประโยคนี้ จนผ่านไปพักใหญ่ หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นมา ชายหนุ่มส่งผ้าเช็ดหน้าให้ เธอรับไปพูดขอบคุณเบา ๆ
“พี่จะกลับเดือนหน้าแล้วนะ ” เขามองเธอซึ่งนิ่งอยู่ไม่พูดอะไร “ไปอยู่เมืองนอกกับพี่มั๊ย” ไม่มีคำตอบจากปากที่ซีดเซียว แววตาที่อิดโรยมองสบตาชายหนุ่ม “ฉันขอบคุณพี่จักรมาก ตอนแรกก็ไม่รู้จะทำยังไง” หยุดพูดนิดนึง ถอนใจเบา ๆ “พอรู้ว่าพี่จะกลับจากนอก ก็เลยให้พี่ช่วยแกล้งเป็นแฟนใหม่ฉันนี่แหละ”
เขารับผ้าเช็ดหน้าคืนมองหน้าที่เศร้าสร้อยของเธอ “เรื่องจอประสาทตาเสื่อม หมอว่าไงมั่งล่ะ” เขาถามขึ้นมา “ฉันไปหาหมอช้าไปพี่ เดาเอาเองว่าไม่น่าจะเกินสองปีมันก็จะบอดสนิท” เสียงสะอื้นในอกขึ้นมาแทนคำพูดทำให้เงียบไป ครู่นึงกว่าจะเอ่ยคำใหม่ขึ้นมาได้ “แต่พี่ไม่ต้องห่วง ฉันมีที่อยู่ของฉัน” เธอก้มหน้า “พี่เชิดเค้าดูแลลูกคนเดียวก็หนักพอแล้ว ถ้ามีฉันอีกคนมันจะไปกันใหญ่” มองหน้าชายหนุ่มน้ำตาไหลเป็นทาง
“มันต้องมีทางแก้สิ พี่จะลองไปปรึกษากับคุณหมอให้ เดี๋ยวนี้น่าจะรักษาได้แล้ว” เขากุมมือหญิงสาวไว้ตบเบา ๆ เป็นเชิงปลอบใจ
“น้องสาวพี่ทั้งคน พี่ไม่ยอมให้เป็นอะไรหรอก” เธอมองหน้าเขาฝืนยิ้มทั้งน้ำตา “แต่กานดาต้องช่วยอะไรพี่เรื่องนึง” เขายิ้มให้หญิงสาวที่จ้องมองด้วยความสงสัย ชายหนุ่มปล่อยมือ พร้อมลุกขึ้นจากโต๊ะ ตาพร่าเลือนของหญิงสาว ทำให้หันไปมองเห็นหลังเขาที่เดินไปทางประตูแค่เพียงลาง ๆ เธอจึงหันกลับมามองแก้วกาแฟตรงหน้าแทน ใจครุ่นคิดไปต่าง ๆ นานา และก็วนกลับมาที่ลูกน้อย น้ำตาคลอทั้งสองตา
การทิ้งทุกอย่างมามันเป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก มันแน่นอยู่ในอกพูดมาเป็นคำพูดยังไงก็ไม่หมด แต่ภาพของชายคนนึง กับเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ต้องคอยดูแลหญิงตาบอดไปตลอดชีวิต มันทำให้เธอต้องเลือกที่จะเก็บความเจ็บปวดนี้ไว้คนเดียว เสียงเปิดประตูพร้อมเสียงเดินเข้ามาของคนมากกว่าหนึ่งคน น่าจะเป็นลูกค้าของทางร้าน หญิงสาวคิดโดยไม่หันไปมอง ใจจดจ่อรอแค่พี่ชายเท่านั้นเอง
เสียงเดินใกล้เข้ามาด้านหลังเรื่อย ๆ และจังหวะการเดินก็ถี่ขึ้น จนเป็นวิ่งในที่สุด เธอแปลกใจหันกลับไปมอง ตาพร่ามัวทำให้เห็นภาพไม่ชัด แต่ก็ยังรับรู้ว่าตรงหน้านั้นคือเด็กชายคนนึง และเมื่อได้รับสัมผัสจากการโผเข้ากอดของเด็กน้อย เธอก็ปล่อยโฮออกมาทันที
ใกล้ค่ำแล้ว ฟ้าสีหม่นเริ่มคลุมเข้มขึ้น จนรอบบริเวณอยู่ในความมืดมิด ความดำสนิทที่แผ่ไปในราตรีนี้ เป็นสีเดียวกับทุก ๆ คืน และได้รับรู้กันถ้วนทั่วทุกคน แต่ในความรู้สึกของแต่ละคนในแต่ละคืนย่อมแตกต่างกันไป
ฟ้ายามค่ำคืนในวันนั้นเหมือนกับท้องฟ้าที่ไร้ดาว ทำให้ครอบครัวนึงต้องหลั่งน้ำตาออกมาจากใจที่มืดมน วนเวียนหาทางออกไม่เจอ แต่ฟ้าคืนนี้ ได้สร้างรอยยิ้มทั้งน้ำตา และในหัวใจของเขาเหล่านั้น สว่างจ้าเหมือนกับดวงดาวทั้งหมด ได้เข้าไปอยู่กลางใจ ของทุกคน ..........@@
ลุงแผน
๙ มกราคม ๒๕๖๒
..........เรื่องนี้เขียนขึ้นเพื่อมอบเป็นกำลังใจให้กับน้องคนนึงครับ ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอเป็นยังไงมั่ง ไม่ได้ติดตามมาระยะนึงแล้ว........
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
..........ขอบพระคุณ สำหรับกำลังใจจากทุกท่าน ที่มีให้ มาโดยตลอด ขอบคุณมาก ๆ ครับ........