ลิงค์ขิงตินที่ผ่านมาอยู่ คห ด้านล่างค่ะ
หนึ่งใจในแผ่นดิน
ตอนที่ ๒๑
เสียงห่าฝนที่ตกกระทบหลังคากระเบื้องห้องเช่าชั้นเดียวกลบเสียงเอะอะของชุมชนแห่งนี้ไปจนสิ้น หญิงสาวล้มตัวเอนกายบนเตียงแล้วหลับตาลง
เพื่อจินตนาการให้ตัวเองกลับยังบ้านเก่าในวัยเด็ก เธอปล่อยเท้าเปล่าเปลือยเหยียบย่ำลงดินชื้นแล้วก้าวเดินไปยังบ้านไม้สองชั้นหลังเก่าที่ปรากฏต่อสายตา
ผิวกายของหญิงสาวสัมผัสกับสายลมสดชื่นและละอองฝนเบาบางกำลังโปรยปรายลงมา ใบสีน้ำตาลแดงของต้นหูกวางต้นใหญ่ปลิดปลิวตามแรงลม เธอ
เห็นน้องชายและน้องสาวตัวจ้อยกำลังวิ่งเล่นย่ำดินที่เปียกชื้นกลางสายฝน เธอได้ยินเสียงเอ็ดตะโรของแม่ที่กำลังเรียกน้องๆให้ขึ้นบ้าน กลิ่นเผ็ดร้อนของ
เครื่องแกงผสานกลิ่นหอมของกะทิในหม้อใบใหญ่ลอยเข้ามาแตะจมูก
เอื้อยก้าวไปตามบันไดไม้ที่มีแต่รอยขูดขีดของเด็กวัยซน ภาพแผ่นหลังของหญิงร่างอวบกำลังสาละวนกับหม้อใบใหญ่ที่มีไออุ่นลอยฟุ้งในอากาศ
เธอเดินย่องเข้าไปใกล้แล้วอ้าแขนโอบกอดเอวผู้หญิงที่ตัวอุ่นและนุ่มที่สุดในโลกจากด้านหลังไว้แน่น เอื้อยแนบตัวเองกับแผ่นหลังสูดดมความหอมกลิ่น
จากกายมารดาจนอยากอยู่แบบนี้ไปตลอดชีวิต
“กลับมาแล้วเหรอลูก ไปอาบน้ำแล้วมากินข้าวเร็ว กับข้าวจะเสร็จแล้ว”
“พี่เอื้อย พี่เอื้อยกลับมาแล้ว”
“อย่าเพิ่งไปกวนพี่เขา พวกเราก็เหมือนกันไปเล่นน้ำฝนจนตัวเปียกโชกแบบนี้ เป็นหวัดกันไปจะเปลืองค่าหมอ รีบไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้”
“ของฝาก ของฝาก”
“เอ๊ะ บอกว่าอย่าเพิ่งกวนพี่เขา พี่เขากลับมาเหนื่อยๆ”
“หนูไม่เหนื่อยหรอกจ้ะแม่ ถ้าเพื่อแม่กับน้อง ต่อให้ลำบากแค่ไหนก็ไม่มีทางบ่นว่าเหนื่อย” เธอหลับตารำพึงออกมาเป็นคำพูด
เสียงฝนยังคงตกลงมาไม่หยุดและเธอก็ไม่ได้อยากให้มันหยุดเพราะเสียงแห่งสายฝนเป็นสิ่งที่ทำให้ระลึกบ้านไม้หลังเดิมอีกครั้ง เธอจำกลิ่นดินที่
เปียกชื้นยามฝนตกได้ดี เธอจำความนุ่มของผืนดินป่าหลังหมู่บ้านได้ดี แต่ความทรงจำเหล่านั้นถูกกักเก็บไว้ในห้วงคำนึง การลืมตารับความจริงที่ไม่ตรงกับ
ภาพฝันช่างเจ็บปวดเมื่อรับรู้ว่าเธอไม่ได้อยู่ที่บ้านไม้ ไม่ได้อยู่ที่ทองผาภูมิ และไม่ได้อยู่กับคนที่เธอรัก
เอื้อยมองหลอดฉีดยาว่างเปล่าในมือ น่าขำนักที่เธอเคยคิดว่ามันคือมัจจุราชส่งคนให้ลงนรก แต่ในวันนี้เธอกลับใช้มันเป็นเครื่องนำพาสู่สวรรค์และเธอกำลัง
ต้องการมัน หญิงสาวลุกขึ้นเปิดลิ้นชักข้างเตียงเพื่อค้นหาสารเสพติดที่ยังอาจหลงเหลืออยู่แต่เธอก็ต้องพบกับความผิดหวัง จะรอจนกว่าเสี่ยมาหาเธอใน
วันนี้เธอคงรอไม่ไหว หญิงสาวลงจากเตียงเดินโซเซไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบกระป๋องขนมที่ทำด้วยสังกะสีออกมาแล้วแกะฝากระป๋องออกด้วยมือสั่น
ความอ่อนโรยของลำแขนทำให้เธอทำกระป๋องทั้งใบตกพื้นจนเศษเหรียญและธนบัตรหลายปึกกระจัดกระจายตามพื้นห้อง
“แค่นิดเดียวนะ ขอใช้แค่นิดเดียว ซื้อความสุขแค่เข็มเดียวก็พอ” เธอบอกตัวเองพลางเก็บเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เธออุตส่าห์อดทนรวบรวมไว้เป็นแรมปี
สายตาพลันเห็นห่อกระดาษหมากฝรั่งที่เธอแอบหยิบมาไว้เป็นสิ่งแทนตัวชายคนรัก เอื้อยหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาถือไว้ในมือพร้อมหยาดน้ำตาที่
ไหลออกมาโดยอัตโนมัติ
‘ป๋อง’ ภาพของร่างกายชายคนรักที่นอนนิ่งตัวเย็นเฉียบลอยเข้ามาอยู่ในหัว
“เอื้อย”
เธอเงยหน้าจากกระดาษแผ่นน้อยเพื่อเจ้าของน้ำเสียงอ่อนโยน เอื้อยยันตัวเองให้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินเหมือนละเมอเข้าไปหาร่างชายคนรัก ที่มีรอยยิ้มสดใส
ใช่เขาตัวจริงใช่ไหม นี่เขายังไม่ตายหรือ เขากลับมาแล้ว และกำลังยืนอยู่หน้าเธอตรงนี้ เธอยิ้มด้วยความยินดี น้ำตาไหลจากดวงตาเป็นสายนั้นเกิด
จากความสุขที่ได้เห็นหน้าคนรักอีกครั้ง แต่ความสุขนั้นมันแน่นจนเธอเจ็บปวดไปทั่วหน้าอก เธอหายใจติดขัด ร่างกายสั่น มือเย็น และปวดหัวราวกับโดน
ทุบ
“เอื้อย ยังจำสัญญาของเราได้ไหม ถ้าป๋องเรียนจบแล้ว...”
“...เราจะแต่งงานกัน”
ใบหน้าที่สว่างสดใสของคนรักเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ แก้มที่อิ่มเอิบเปลี่ยนเป็นซูบตอบ ร่างที่ผึ่งผายกลายเป็นร่างผอมโซคล้ายกระดูกเดินได้นั้นเดินเข้า
มาหาเธอด้วยคราบเลือดที่ไหลเป็นทางจากขมับทั้งสอง หญิงสาวออกอาการหวาดผวา เธอก้าวถอยหลังให้ห่างจากร่างของศพเดินได้
“เอื้อย...เราจะแต่งงานกัน”
“อย่า อย่าเข้ามา” เธอเดินถอยหลังจนชิดขอบเตียง
“เอื้อย...มาหาฉัน”
ขาที่ก้าวไปด้านหลังจนสุดทางสะดุดกับเตียงจนหงายล้ม เอื้อยกระวีกระวาดลุกนั่งแล้วกระถดหนีให้ห่างร่างผอมคล้ำ
“เอื้อย...เราจะแต่งงานกัน ฉันมารับเธอตามสัญญา”
“ไม่ ไม่จริง เธอตายไปแล้ว เธอไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว!”
“ป๋อง เธอตายไปแล้ว เธอทิ้งฉันให้อยู่คนเดียว เธอทิ้งฉันไป !”
เอื้อยกรีดร้องลั่นห้องเช่าพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรู หญิงสาวผวาคุ้มคลั่งและร่ำไห้จนสุดเสียงแข่งกับเสียงของห่าฝน เขารีบโผถลาเข้าหา
เธอพร้อมกับการปิดปากเธอไว้เพื่อกลบเสียงร้องไม่ให้ใครอื่นได้ยิน เธอพยายามผลักร่างศพเดินได้ที่คร่อมตัวเธออยู่ให้ออกห่างด้วยแรงแขนเท่าที่มี แต่ยิ่ง
ดิ้นก็ยิ่งโดนกอดรัดไว้จนแน่นด้วยกำลังกายที่มีมากกว่า
“เอื้อย นี่ฉันเอง” เขาพูดให้เธอได้สติ หญิงสาวร้องไห้จนตัวโยนในวงแขนของชายหนุ่ม น้ำตาที่ไหลอาบแก้มเปียกชื้นมือที่กำลังปิดปากเธอไว้แน่น
แต่กระนั้นเสียงสะอื้นก็ยังเล็ดลอดออกมาให้เขาได้ยิน
“เอื้อย” เขาเรียกชื่อของเธออีกครั้ง
“ฉัน... ไม่ได้ทิ้งเธอ” เมื่อหอบสั่นและเสียงสะอื้นเบาลง เขาจึงคลายมือจากการปิดปากของหญิงสาว
“เธอตายไปแล้ว ตายไปแล้ว เธอทิ้งฉันไป” หญิงสาวพูดพลางสะอื้นไห้ไม่หยุด
“เอื้อย ตั้งสติแล้วมองหน้าฉัน” ชายหนุ่มจ้องแววตาของหญิงสาวที่เหมือนเหม่อลอย เขายกมือหนาขึ้นโอบแก้มทั้งสองเธอไว้
ความอุ่นจากมือของเขาถ่ายทอดสู่ผิวแก้มของหญิงสาว ใบหน้าคล้ำดำซูบซีดของร่างที่อยู่ตรงหน้าแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าของผู้ชายที่มีดวงตาสดใส
และรอยยิ้มที่เจิดจ้าราวกับแสงตะวัน
“ดูให้ดีว่าฉันเป็นใคร” เขาพูดเสียงหนักแน่นเพื่อเรียกสติเธอให้กลับคืนมา
“คุณกลาง...” เธอเปรยชื่อของชายหนุ่มเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“ใช่คุณ...จริงหรือเปล่า” เอื้อยยกมือของเธอทั้งสองข้างสัมผัสมือของเขาที่กอบกุมใบหน้าของเธอ กายหยาบของมนุษย์และลมหายใจอุ่นนี้คือตัวเขา
จริงหรือเป็นแค่ความฝันที่เกิดจากฤทธิ์ของยา
“ใช่คุณจริงใช่ไหม...” คำถามย้ำเตือนสายตาตัวเองของเธอ กับดวงตาที่ชื้นด้วยหยดน้ำทำความสงสารแล่นขึ้นมาในหัวใจของชายหนุ่ม
“จะพิสูจน์ให้ดูว่าเป็นฉันจริงๆ” มือหนารั้งศีรษะหญิงสาวให้เข้าใกล้จนเธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น
เอื้อยสะดุ้งเมื่อการพิสูจน์ตัวตนจากคำพูดแปรเปลี่ยนการกระทำทันที ชายหนุ่มกลบเสียงสะอื้นให้หายไปพร้อมกับซับคราบน้ำตาที่เปรอะเปื้อนกลีบ
ปากนุ่มด้วยเรียวปากของเขาเอง ความอบอุ่นที่ส่งผ่านจากรางกายเขาแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของหญิงสาว สัมผัสอ่อนโยนสลับการปลุกเร้าจิตใจของเอื้อยให้
กระเจิดกระเจิงไปตามน้ำหนักของเรียวปาก อุณหภูมิในกายสูงขึ้นจนเธอร้อนไปทั่วร่าง อัตราการเต้นของหัวใจเร็วกว่าการฉีดยาเข้าเส้น เธอโอบกอดร่าง
กายของชายหนุ่มแน่นเพื่อเบียดตัวเองให้ฝังกับแผงอกกว้างอย่างเผลอไผลและปล่อยใจให้รับรสแห่งความสุขจากสัมผัสเคล้าคลึงที่ชักพาตัวเธอให้ลอยสูง
ขึ้น สูงขึ้นจนเธอรู้สึกวาบที่ท้องน้อย ถ้าผงขาวออกฤทธิ์ให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นโดรฟินได้เร็วสุดภายในเจ็ดวินาที เขาคนนี้ก็สามารถทำให้เธอรับรสแห่ง
ความสุขได้เพียงแค่วินาแรกของการสัมผัส
หนึ่งใจในแผ่นดิน ตอนที่ 21
หนึ่งใจในแผ่นดิน
ตอนที่ ๒๑
เสียงห่าฝนที่ตกกระทบหลังคากระเบื้องห้องเช่าชั้นเดียวกลบเสียงเอะอะของชุมชนแห่งนี้ไปจนสิ้น หญิงสาวล้มตัวเอนกายบนเตียงแล้วหลับตาลง
เพื่อจินตนาการให้ตัวเองกลับยังบ้านเก่าในวัยเด็ก เธอปล่อยเท้าเปล่าเปลือยเหยียบย่ำลงดินชื้นแล้วก้าวเดินไปยังบ้านไม้สองชั้นหลังเก่าที่ปรากฏต่อสายตา
ผิวกายของหญิงสาวสัมผัสกับสายลมสดชื่นและละอองฝนเบาบางกำลังโปรยปรายลงมา ใบสีน้ำตาลแดงของต้นหูกวางต้นใหญ่ปลิดปลิวตามแรงลม เธอ
เห็นน้องชายและน้องสาวตัวจ้อยกำลังวิ่งเล่นย่ำดินที่เปียกชื้นกลางสายฝน เธอได้ยินเสียงเอ็ดตะโรของแม่ที่กำลังเรียกน้องๆให้ขึ้นบ้าน กลิ่นเผ็ดร้อนของ
เครื่องแกงผสานกลิ่นหอมของกะทิในหม้อใบใหญ่ลอยเข้ามาแตะจมูก
เอื้อยก้าวไปตามบันไดไม้ที่มีแต่รอยขูดขีดของเด็กวัยซน ภาพแผ่นหลังของหญิงร่างอวบกำลังสาละวนกับหม้อใบใหญ่ที่มีไออุ่นลอยฟุ้งในอากาศ
เธอเดินย่องเข้าไปใกล้แล้วอ้าแขนโอบกอดเอวผู้หญิงที่ตัวอุ่นและนุ่มที่สุดในโลกจากด้านหลังไว้แน่น เอื้อยแนบตัวเองกับแผ่นหลังสูดดมความหอมกลิ่น
จากกายมารดาจนอยากอยู่แบบนี้ไปตลอดชีวิต
“กลับมาแล้วเหรอลูก ไปอาบน้ำแล้วมากินข้าวเร็ว กับข้าวจะเสร็จแล้ว”
“พี่เอื้อย พี่เอื้อยกลับมาแล้ว”
“อย่าเพิ่งไปกวนพี่เขา พวกเราก็เหมือนกันไปเล่นน้ำฝนจนตัวเปียกโชกแบบนี้ เป็นหวัดกันไปจะเปลืองค่าหมอ รีบไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้”
“ของฝาก ของฝาก”
“เอ๊ะ บอกว่าอย่าเพิ่งกวนพี่เขา พี่เขากลับมาเหนื่อยๆ”
“หนูไม่เหนื่อยหรอกจ้ะแม่ ถ้าเพื่อแม่กับน้อง ต่อให้ลำบากแค่ไหนก็ไม่มีทางบ่นว่าเหนื่อย” เธอหลับตารำพึงออกมาเป็นคำพูด
เสียงฝนยังคงตกลงมาไม่หยุดและเธอก็ไม่ได้อยากให้มันหยุดเพราะเสียงแห่งสายฝนเป็นสิ่งที่ทำให้ระลึกบ้านไม้หลังเดิมอีกครั้ง เธอจำกลิ่นดินที่
เปียกชื้นยามฝนตกได้ดี เธอจำความนุ่มของผืนดินป่าหลังหมู่บ้านได้ดี แต่ความทรงจำเหล่านั้นถูกกักเก็บไว้ในห้วงคำนึง การลืมตารับความจริงที่ไม่ตรงกับ
ภาพฝันช่างเจ็บปวดเมื่อรับรู้ว่าเธอไม่ได้อยู่ที่บ้านไม้ ไม่ได้อยู่ที่ทองผาภูมิ และไม่ได้อยู่กับคนที่เธอรัก
เอื้อยมองหลอดฉีดยาว่างเปล่าในมือ น่าขำนักที่เธอเคยคิดว่ามันคือมัจจุราชส่งคนให้ลงนรก แต่ในวันนี้เธอกลับใช้มันเป็นเครื่องนำพาสู่สวรรค์และเธอกำลัง
ต้องการมัน หญิงสาวลุกขึ้นเปิดลิ้นชักข้างเตียงเพื่อค้นหาสารเสพติดที่ยังอาจหลงเหลืออยู่แต่เธอก็ต้องพบกับความผิดหวัง จะรอจนกว่าเสี่ยมาหาเธอใน
วันนี้เธอคงรอไม่ไหว หญิงสาวลงจากเตียงเดินโซเซไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบกระป๋องขนมที่ทำด้วยสังกะสีออกมาแล้วแกะฝากระป๋องออกด้วยมือสั่น
ความอ่อนโรยของลำแขนทำให้เธอทำกระป๋องทั้งใบตกพื้นจนเศษเหรียญและธนบัตรหลายปึกกระจัดกระจายตามพื้นห้อง
“แค่นิดเดียวนะ ขอใช้แค่นิดเดียว ซื้อความสุขแค่เข็มเดียวก็พอ” เธอบอกตัวเองพลางเก็บเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เธออุตส่าห์อดทนรวบรวมไว้เป็นแรมปี
สายตาพลันเห็นห่อกระดาษหมากฝรั่งที่เธอแอบหยิบมาไว้เป็นสิ่งแทนตัวชายคนรัก เอื้อยหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาถือไว้ในมือพร้อมหยาดน้ำตาที่
ไหลออกมาโดยอัตโนมัติ
‘ป๋อง’ ภาพของร่างกายชายคนรักที่นอนนิ่งตัวเย็นเฉียบลอยเข้ามาอยู่ในหัว
“เอื้อย”
เธอเงยหน้าจากกระดาษแผ่นน้อยเพื่อเจ้าของน้ำเสียงอ่อนโยน เอื้อยยันตัวเองให้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินเหมือนละเมอเข้าไปหาร่างชายคนรัก ที่มีรอยยิ้มสดใส
ใช่เขาตัวจริงใช่ไหม นี่เขายังไม่ตายหรือ เขากลับมาแล้ว และกำลังยืนอยู่หน้าเธอตรงนี้ เธอยิ้มด้วยความยินดี น้ำตาไหลจากดวงตาเป็นสายนั้นเกิด
จากความสุขที่ได้เห็นหน้าคนรักอีกครั้ง แต่ความสุขนั้นมันแน่นจนเธอเจ็บปวดไปทั่วหน้าอก เธอหายใจติดขัด ร่างกายสั่น มือเย็น และปวดหัวราวกับโดน
ทุบ
“เอื้อย ยังจำสัญญาของเราได้ไหม ถ้าป๋องเรียนจบแล้ว...”
“...เราจะแต่งงานกัน”
ใบหน้าที่สว่างสดใสของคนรักเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ แก้มที่อิ่มเอิบเปลี่ยนเป็นซูบตอบ ร่างที่ผึ่งผายกลายเป็นร่างผอมโซคล้ายกระดูกเดินได้นั้นเดินเข้า
มาหาเธอด้วยคราบเลือดที่ไหลเป็นทางจากขมับทั้งสอง หญิงสาวออกอาการหวาดผวา เธอก้าวถอยหลังให้ห่างจากร่างของศพเดินได้
“เอื้อย...เราจะแต่งงานกัน”
“อย่า อย่าเข้ามา” เธอเดินถอยหลังจนชิดขอบเตียง
“เอื้อย...มาหาฉัน”
ขาที่ก้าวไปด้านหลังจนสุดทางสะดุดกับเตียงจนหงายล้ม เอื้อยกระวีกระวาดลุกนั่งแล้วกระถดหนีให้ห่างร่างผอมคล้ำ
“เอื้อย...เราจะแต่งงานกัน ฉันมารับเธอตามสัญญา”
“ไม่ ไม่จริง เธอตายไปแล้ว เธอไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว!”
“ป๋อง เธอตายไปแล้ว เธอทิ้งฉันให้อยู่คนเดียว เธอทิ้งฉันไป !”
เอื้อยกรีดร้องลั่นห้องเช่าพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรู หญิงสาวผวาคุ้มคลั่งและร่ำไห้จนสุดเสียงแข่งกับเสียงของห่าฝน เขารีบโผถลาเข้าหา
เธอพร้อมกับการปิดปากเธอไว้เพื่อกลบเสียงร้องไม่ให้ใครอื่นได้ยิน เธอพยายามผลักร่างศพเดินได้ที่คร่อมตัวเธออยู่ให้ออกห่างด้วยแรงแขนเท่าที่มี แต่ยิ่ง
ดิ้นก็ยิ่งโดนกอดรัดไว้จนแน่นด้วยกำลังกายที่มีมากกว่า
“เอื้อย นี่ฉันเอง” เขาพูดให้เธอได้สติ หญิงสาวร้องไห้จนตัวโยนในวงแขนของชายหนุ่ม น้ำตาที่ไหลอาบแก้มเปียกชื้นมือที่กำลังปิดปากเธอไว้แน่น
แต่กระนั้นเสียงสะอื้นก็ยังเล็ดลอดออกมาให้เขาได้ยิน
“เอื้อย” เขาเรียกชื่อของเธออีกครั้ง
“ฉัน... ไม่ได้ทิ้งเธอ” เมื่อหอบสั่นและเสียงสะอื้นเบาลง เขาจึงคลายมือจากการปิดปากของหญิงสาว
“เธอตายไปแล้ว ตายไปแล้ว เธอทิ้งฉันไป” หญิงสาวพูดพลางสะอื้นไห้ไม่หยุด
“เอื้อย ตั้งสติแล้วมองหน้าฉัน” ชายหนุ่มจ้องแววตาของหญิงสาวที่เหมือนเหม่อลอย เขายกมือหนาขึ้นโอบแก้มทั้งสองเธอไว้
ความอุ่นจากมือของเขาถ่ายทอดสู่ผิวแก้มของหญิงสาว ใบหน้าคล้ำดำซูบซีดของร่างที่อยู่ตรงหน้าแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าของผู้ชายที่มีดวงตาสดใส
และรอยยิ้มที่เจิดจ้าราวกับแสงตะวัน
“ดูให้ดีว่าฉันเป็นใคร” เขาพูดเสียงหนักแน่นเพื่อเรียกสติเธอให้กลับคืนมา
“คุณกลาง...” เธอเปรยชื่อของชายหนุ่มเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“ใช่คุณ...จริงหรือเปล่า” เอื้อยยกมือของเธอทั้งสองข้างสัมผัสมือของเขาที่กอบกุมใบหน้าของเธอ กายหยาบของมนุษย์และลมหายใจอุ่นนี้คือตัวเขา
จริงหรือเป็นแค่ความฝันที่เกิดจากฤทธิ์ของยา
“ใช่คุณจริงใช่ไหม...” คำถามย้ำเตือนสายตาตัวเองของเธอ กับดวงตาที่ชื้นด้วยหยดน้ำทำความสงสารแล่นขึ้นมาในหัวใจของชายหนุ่ม
“จะพิสูจน์ให้ดูว่าเป็นฉันจริงๆ” มือหนารั้งศีรษะหญิงสาวให้เข้าใกล้จนเธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น
เอื้อยสะดุ้งเมื่อการพิสูจน์ตัวตนจากคำพูดแปรเปลี่ยนการกระทำทันที ชายหนุ่มกลบเสียงสะอื้นให้หายไปพร้อมกับซับคราบน้ำตาที่เปรอะเปื้อนกลีบ
ปากนุ่มด้วยเรียวปากของเขาเอง ความอบอุ่นที่ส่งผ่านจากรางกายเขาแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของหญิงสาว สัมผัสอ่อนโยนสลับการปลุกเร้าจิตใจของเอื้อยให้
กระเจิดกระเจิงไปตามน้ำหนักของเรียวปาก อุณหภูมิในกายสูงขึ้นจนเธอร้อนไปทั่วร่าง อัตราการเต้นของหัวใจเร็วกว่าการฉีดยาเข้าเส้น เธอโอบกอดร่าง
กายของชายหนุ่มแน่นเพื่อเบียดตัวเองให้ฝังกับแผงอกกว้างอย่างเผลอไผลและปล่อยใจให้รับรสแห่งความสุขจากสัมผัสเคล้าคลึงที่ชักพาตัวเธอให้ลอยสูง
ขึ้น สูงขึ้นจนเธอรู้สึกวาบที่ท้องน้อย ถ้าผงขาวออกฤทธิ์ให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นโดรฟินได้เร็วสุดภายในเจ็ดวินาที เขาคนนี้ก็สามารถทำให้เธอรับรสแห่ง
ความสุขได้เพียงแค่วินาแรกของการสัมผัส