หนึ่งใจในแผ่นดิน ตอนที่ 21

กระทู้สนทนา
ลิงค์ขิงตินที่ผ่านมาอยู่ คห ด้านล่างค่ะ



หนึ่งใจในแผ่นดิน
ตอนที่ ๒๑



          เสียงห่าฝนที่ตกกระทบหลังคากระเบื้องห้องเช่าชั้นเดียวกลบเสียงเอะอะของชุมชนแห่งนี้ไปจนสิ้น หญิงสาวล้มตัวเอนกายบนเตียงแล้วหลับตาลง

เพื่อจินตนาการให้ตัวเองกลับยังบ้านเก่าในวัยเด็ก เธอปล่อยเท้าเปล่าเปลือยเหยียบย่ำลงดินชื้นแล้วก้าวเดินไปยังบ้านไม้สองชั้นหลังเก่าที่ปรากฏต่อสายตา

ผิวกายของหญิงสาวสัมผัสกับสายลมสดชื่นและละอองฝนเบาบางกำลังโปรยปรายลงมา ใบสีน้ำตาลแดงของต้นหูกวางต้นใหญ่ปลิดปลิวตามแรงลม เธอ

เห็นน้องชายและน้องสาวตัวจ้อยกำลังวิ่งเล่นย่ำดินที่เปียกชื้นกลางสายฝน เธอได้ยินเสียงเอ็ดตะโรของแม่ที่กำลังเรียกน้องๆให้ขึ้นบ้าน กลิ่นเผ็ดร้อนของ

เครื่องแกงผสานกลิ่นหอมของกะทิในหม้อใบใหญ่ลอยเข้ามาแตะจมูก

          เอื้อยก้าวไปตามบันไดไม้ที่มีแต่รอยขูดขีดของเด็กวัยซน ภาพแผ่นหลังของหญิงร่างอวบกำลังสาละวนกับหม้อใบใหญ่ที่มีไออุ่นลอยฟุ้งในอากาศ

เธอเดินย่องเข้าไปใกล้แล้วอ้าแขนโอบกอดเอวผู้หญิงที่ตัวอุ่นและนุ่มที่สุดในโลกจากด้านหลังไว้แน่น เอื้อยแนบตัวเองกับแผ่นหลังสูดดมความหอมกลิ่น

จากกายมารดาจนอยากอยู่แบบนี้ไปตลอดชีวิต

    “กลับมาแล้วเหรอลูก ไปอาบน้ำแล้วมากินข้าวเร็ว กับข้าวจะเสร็จแล้ว”
          
    “พี่เอื้อย พี่เอื้อยกลับมาแล้ว”

    “อย่าเพิ่งไปกวนพี่เขา พวกเราก็เหมือนกันไปเล่นน้ำฝนจนตัวเปียกโชกแบบนี้ เป็นหวัดกันไปจะเปลืองค่าหมอ รีบไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้”

    “ของฝาก ของฝาก”

    “เอ๊ะ บอกว่าอย่าเพิ่งกวนพี่เขา พี่เขากลับมาเหนื่อยๆ”
    
    “หนูไม่เหนื่อยหรอกจ้ะแม่ ถ้าเพื่อแม่กับน้อง ต่อให้ลำบากแค่ไหนก็ไม่มีทางบ่นว่าเหนื่อย” เธอหลับตารำพึงออกมาเป็นคำพูด

          เสียงฝนยังคงตกลงมาไม่หยุดและเธอก็ไม่ได้อยากให้มันหยุดเพราะเสียงแห่งสายฝนเป็นสิ่งที่ทำให้ระลึกบ้านไม้หลังเดิมอีกครั้ง เธอจำกลิ่นดินที่

เปียกชื้นยามฝนตกได้ดี เธอจำความนุ่มของผืนดินป่าหลังหมู่บ้านได้ดี แต่ความทรงจำเหล่านั้นถูกกักเก็บไว้ในห้วงคำนึง การลืมตารับความจริงที่ไม่ตรงกับ

ภาพฝันช่างเจ็บปวดเมื่อรับรู้ว่าเธอไม่ได้อยู่ที่บ้านไม้ ไม่ได้อยู่ที่ทองผาภูมิ และไม่ได้อยู่กับคนที่เธอรัก

เอื้อยมองหลอดฉีดยาว่างเปล่าในมือ น่าขำนักที่เธอเคยคิดว่ามันคือมัจจุราชส่งคนให้ลงนรก แต่ในวันนี้เธอกลับใช้มันเป็นเครื่องนำพาสู่สวรรค์และเธอกำลัง

ต้องการมัน หญิงสาวลุกขึ้นเปิดลิ้นชักข้างเตียงเพื่อค้นหาสารเสพติดที่ยังอาจหลงเหลืออยู่แต่เธอก็ต้องพบกับความผิดหวัง จะรอจนกว่าเสี่ยมาหาเธอใน

วันนี้เธอคงรอไม่ไหว หญิงสาวลงจากเตียงเดินโซเซไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบกระป๋องขนมที่ทำด้วยสังกะสีออกมาแล้วแกะฝากระป๋องออกด้วยมือสั่น

ความอ่อนโรยของลำแขนทำให้เธอทำกระป๋องทั้งใบตกพื้นจนเศษเหรียญและธนบัตรหลายปึกกระจัดกระจายตามพื้นห้อง

          “แค่นิดเดียวนะ ขอใช้แค่นิดเดียว ซื้อความสุขแค่เข็มเดียวก็พอ” เธอบอกตัวเองพลางเก็บเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เธออุตส่าห์อดทนรวบรวมไว้เป็นแรมปี

          สายตาพลันเห็นห่อกระดาษหมากฝรั่งที่เธอแอบหยิบมาไว้เป็นสิ่งแทนตัวชายคนรัก เอื้อยหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาถือไว้ในมือพร้อมหยาดน้ำตาที่

ไหลออกมาโดยอัตโนมัติ

          ‘ป๋อง’ ภาพของร่างกายชายคนรักที่นอนนิ่งตัวเย็นเฉียบลอยเข้ามาอยู่ในหัว

    “เอื้อย”

    เธอเงยหน้าจากกระดาษแผ่นน้อยเพื่อเจ้าของน้ำเสียงอ่อนโยน เอื้อยยันตัวเองให้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินเหมือนละเมอเข้าไปหาร่างชายคนรัก ที่มีรอยยิ้มสดใส

         ใช่เขาตัวจริงใช่ไหม นี่เขายังไม่ตายหรือ เขากลับมาแล้ว และกำลังยืนอยู่หน้าเธอตรงนี้ เธอยิ้มด้วยความยินดี น้ำตาไหลจากดวงตาเป็นสายนั้นเกิด

จากความสุขที่ได้เห็นหน้าคนรักอีกครั้ง แต่ความสุขนั้นมันแน่นจนเธอเจ็บปวดไปทั่วหน้าอก เธอหายใจติดขัด ร่างกายสั่น มือเย็น และปวดหัวราวกับโดน

ทุบ   
        “เอื้อย ยังจำสัญญาของเราได้ไหม ถ้าป๋องเรียนจบแล้ว...”

    “...เราจะแต่งงานกัน”

        ใบหน้าที่สว่างสดใสของคนรักเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ แก้มที่อิ่มเอิบเปลี่ยนเป็นซูบตอบ ร่างที่ผึ่งผายกลายเป็นร่างผอมโซคล้ายกระดูกเดินได้นั้นเดินเข้า

มาหาเธอด้วยคราบเลือดที่ไหลเป็นทางจากขมับทั้งสอง หญิงสาวออกอาการหวาดผวา เธอก้าวถอยหลังให้ห่างจากร่างของศพเดินได้

    “เอื้อย...เราจะแต่งงานกัน”

        “อย่า อย่าเข้ามา” เธอเดินถอยหลังจนชิดขอบเตียง

        “เอื้อย...มาหาฉัน”

        ขาที่ก้าวไปด้านหลังจนสุดทางสะดุดกับเตียงจนหงายล้ม เอื้อยกระวีกระวาดลุกนั่งแล้วกระถดหนีให้ห่างร่างผอมคล้ำ

        “เอื้อย...เราจะแต่งงานกัน ฉันมารับเธอตามสัญญา”

    “ไม่ ไม่จริง  เธอตายไปแล้ว เธอไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว!”

    “ป๋อง เธอตายไปแล้ว เธอทิ้งฉันให้อยู่คนเดียว เธอทิ้งฉันไป !”

        เอื้อยกรีดร้องลั่นห้องเช่าพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรู หญิงสาวผวาคุ้มคลั่งและร่ำไห้จนสุดเสียงแข่งกับเสียงของห่าฝน เขารีบโผถลาเข้าหา

เธอพร้อมกับการปิดปากเธอไว้เพื่อกลบเสียงร้องไม่ให้ใครอื่นได้ยิน เธอพยายามผลักร่างศพเดินได้ที่คร่อมตัวเธออยู่ให้ออกห่างด้วยแรงแขนเท่าที่มี แต่ยิ่ง

ดิ้นก็ยิ่งโดนกอดรัดไว้จนแน่นด้วยกำลังกายที่มีมากกว่า

    “เอื้อย นี่ฉันเอง” เขาพูดให้เธอได้สติ หญิงสาวร้องไห้จนตัวโยนในวงแขนของชายหนุ่ม น้ำตาที่ไหลอาบแก้มเปียกชื้นมือที่กำลังปิดปากเธอไว้แน่น

แต่กระนั้นเสียงสะอื้นก็ยังเล็ดลอดออกมาให้เขาได้ยิน  

        “เอื้อย” เขาเรียกชื่อของเธออีกครั้ง

        “ฉัน... ไม่ได้ทิ้งเธอ” เมื่อหอบสั่นและเสียงสะอื้นเบาลง เขาจึงคลายมือจากการปิดปากของหญิงสาว

       “เธอตายไปแล้ว ตายไปแล้ว เธอทิ้งฉันไป” หญิงสาวพูดพลางสะอื้นไห้ไม่หยุด

    “เอื้อย ตั้งสติแล้วมองหน้าฉัน” ชายหนุ่มจ้องแววตาของหญิงสาวที่เหมือนเหม่อลอย เขายกมือหนาขึ้นโอบแก้มทั้งสองเธอไว้

    ความอุ่นจากมือของเขาถ่ายทอดสู่ผิวแก้มของหญิงสาว ใบหน้าคล้ำดำซูบซีดของร่างที่อยู่ตรงหน้าแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าของผู้ชายที่มีดวงตาสดใส

และรอยยิ้มที่เจิดจ้าราวกับแสงตะวัน

        “ดูให้ดีว่าฉันเป็นใคร” เขาพูดเสียงหนักแน่นเพื่อเรียกสติเธอให้กลับคืนมา

       “คุณกลาง...” เธอเปรยชื่อของชายหนุ่มเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง

       “ใช่คุณ...จริงหรือเปล่า” เอื้อยยกมือของเธอทั้งสองข้างสัมผัสมือของเขาที่กอบกุมใบหน้าของเธอ กายหยาบของมนุษย์และลมหายใจอุ่นนี้คือตัวเขา

จริงหรือเป็นแค่ความฝันที่เกิดจากฤทธิ์ของยา

       “ใช่คุณจริงใช่ไหม...” คำถามย้ำเตือนสายตาตัวเองของเธอ กับดวงตาที่ชื้นด้วยหยดน้ำทำความสงสารแล่นขึ้นมาในหัวใจของชายหนุ่ม

       “จะพิสูจน์ให้ดูว่าเป็นฉันจริงๆ” มือหนารั้งศีรษะหญิงสาวให้เข้าใกล้จนเธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น

       เอื้อยสะดุ้งเมื่อการพิสูจน์ตัวตนจากคำพูดแปรเปลี่ยนการกระทำทันที ชายหนุ่มกลบเสียงสะอื้นให้หายไปพร้อมกับซับคราบน้ำตาที่เปรอะเปื้อนกลีบ

ปากนุ่มด้วยเรียวปากของเขาเอง ความอบอุ่นที่ส่งผ่านจากรางกายเขาแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของหญิงสาว สัมผัสอ่อนโยนสลับการปลุกเร้าจิตใจของเอื้อยให้

กระเจิดกระเจิงไปตามน้ำหนักของเรียวปาก อุณหภูมิในกายสูงขึ้นจนเธอร้อนไปทั่วร่าง อัตราการเต้นของหัวใจเร็วกว่าการฉีดยาเข้าเส้น เธอโอบกอดร่าง

กายของชายหนุ่มแน่นเพื่อเบียดตัวเองให้ฝังกับแผงอกกว้างอย่างเผลอไผลและปล่อยใจให้รับรสแห่งความสุขจากสัมผัสเคล้าคลึงที่ชักพาตัวเธอให้ลอยสูง

ขึ้น สูงขึ้นจนเธอรู้สึกวาบที่ท้องน้อย ถ้าผงขาวออกฤทธิ์ให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นโดรฟินได้เร็วสุดภายในเจ็ดวินาที เขาคนนี้ก็สามารถทำให้เธอรับรสแห่ง

ความสุขได้เพียงแค่วินาแรกของการสัมผัส
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่