หนึ่งใจในแผ่นดิน ตอนที่ 40

กระทู้สนทนา
ตอนที่ผ่านมาอยู่ คห สุดท้ายค่ะ




แจ้งให้ทราบค่ะ
เนื่องจากว่าผู้เขียนรีไรท์เรื่องราวโดยการตัดทอนความยาวแต่ละตอนให้กระชับ และมีการยกเนื้อหาไปขึ้นตอนถัดไป
ทำให้ลำดับตอนเลื่อนออกค่ะ  แค่เลขลำดับเลื่อนค่ะ แต่เนื้อหาต่อกัน




หนึ่งใจในแผ่นดิน
ตอนที่ 40




“อีนังผู้หญิงเลี้ยงเสียข้าวสุก !” เสียงเสี่ยบัญชาตะโกนลั่นห้องทำงานหลังจากกลับมาจากโรงพยาบาลเพื่อทำแผลแตกที่ศีรษะ เจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจที่โดน

เอื้อยตีหัวด้วยเก้าอี้เต็มแรงเสียจนเขาล้มลงไปกองกับพื้น

“ที่มันกล้าทำขนาดนี้แสดงว่าต้องมันต้องมีคนคอยหนุนอยู่นะเสี่ย” ลูกน้องคุณนายดาราเอ่ยความเห็นแต่นึกเสียดายที่นังเอื้อยน่าจะลงมือหนักกว่านี้ เอาให

ตายหรือไม่ก็พิการไปเลย

“เอ็งหมายถึงใครกัน”

“ก็ใครกันล่ะที่กล้ามายุ่งกับเด็กของเสี่ย” เขาพูดเสียงลอย

“คอยดูนะ ถ้าข้าเจอมันเมื่อไหร่ข้าจะซ้อมให้หยอดน้ำข้าวต้ม !”

“เสี่ยหมายถึงหมายถึงนังเอื้อยหรือคนที่มัน...”

“ทั้งสองคนนั้นแหละ !  ทั้งนังเอื้อยทั้งไอ้เวรนั่น  โดยเฉพาะนังเอื้อย ข้าจะเอามันให้ปางตาย” เสี่ยบัญชากำหมัดแน่น ถึงจะพูดแบบนั้นแต่หญิงสาวคนก่อ

เหตุคงไม่มีทางกลับมาง่ายๆ และวันนี้มันก็คงไม่กล้ามาทำงาน

ลูกน้องดาราแสยะยิ้มอย่างเย้ยหยัน เขารู้สึกสมเพชชายแก่ร่างท้วมคนนี้ยิ่งนัก ยิ่งมองก็ยิ่งไม่มีราศีสมกับการเป็นเจ้านายของใครเลยสักคน วันหนึ่งๆ ของ

เสี่ยบัญชาหมดไปกับการหมกมุ่นในกามารมณ์และสิ่งเสพติดสารพัดรูปแบบ เสี่ยบัญชาผิดกับนายคนเดิมของเขามากมายนัก เจ้าป่าเป็นบุรุษที่โหดเหี้ยม

และน่าเกรงขามที่สุด เพียงแค่เอ่ยนามเท่านั้นคนที่ได้ยินก็ขาสั่นกันไปหมด แต่อำนาจบารมีที่นายพนาสั่งสมมากลับสั่นคลอนเพราะผู้หญิงเพียงคน

เดียว ‘ดวงแข สาวงามผู้เลื่องลือ’

“คุณนายของเอ็งหายไปไหน ทำไมถึงยังไม่กลับมา นี่คุณนายของเอ็งจะปล่อยให้ข้านั่งเฝ้าผับทุกวันหรือไง !”

“คุณนายมีธุระต้องจัดการ เสี่ยเองก็ไม่ได้ทำอะไร เพราะทุกอย่างผมที่มูนไลท์ผมกับลูกน้องก็ดูแลให้อยู่แล้ว” เขาเอ่ยกับชายอาวุโสที่มีท่าท่างกระฟัด

กระเฟียด

“แต่ผมจะไม่อยู่สักพัก คุณนายให้ผมไปทำธุระที่ต่างจังหวัด อาจจะไม่กลับมาสักพัก”

“เฮ้ย ถ้าเอ็งไม่อยู่แล้วแล้วข้าจะเอายาจากที่ไหน !”

“ผมว่าช่วงนี้เราต้องหยุดขายก่อน ดูเหมือนว่าตำรวจกำลังตามดมกลิ่นพวกเราอยู่” เขาพูดเตือนคนที่ไม่มีหัวคิดสมกับทำงานด้านมืด เพราะเสียเป็นแบบนี้นี่

เอง กิจการเดิมถึงเจ๊งไม่เป็นท่าแล้วยังเสียรู้โดนคุณนายดาราหลอกใช้

“ข้าหมายถึงของข้า ไม่ได้หมายถึงที่จะเอาไว้ขาย”

ลูกน้องดาราแค่นหัวเราะ “เสี่ยไปเอากับไอ้ตี๋ร้านยาได้เลย ผมจะเขียนใบสั่งให้ แต่ผมขอเตือนเสียก่อนว่าไอ้ตี๋มันมักจะพูดไม่รู้เรื่อง”

“เอ็งก็เขียนใบสั่งให้มันชัดเจนสิวะ ข้าจะไม่พูดอะไรกับมันทั้งนั้น” เสี่ยพูดอย่างหัวเสีย

“ได้เสี่ย แล้วผมจะเขียนให้...ชัดเจน” เขาส่งยิ้มที่แสนเยือกเย็น ไอ้อำพันมันก็ตายไปแล้ว คนที่รู้วิธีอ่านใบสั่งของเวสต์วูดได้ในตอนนี้เหลือเพียงแค่เขา ไอ้

ตี๋ร้านยา และคุณนายเท่านั้น เว้นเสียแต่ว่าความลับนี้มันยังไม่ถูกเปิดเผย


******************


พนักงานบริษัทขนส่งประกาศเรียกให้ผู้โดยสารที่รอรถสายกรุงเทพฯ ทองผาภูมิเตรียมตัวให้พร้อมเมื่อได้เวลาที่รถโดยสารจะต้องอออกจาท่า ธิดาสะกิด

เอื้อยที่นั่งเหม่อลอยให้เธอรู้ตัว แต่ดูเหมือนกับเอื้อยไม่อยากที่จะขยับลุกขึ้นแม้แต่น้อย

    “ยังไงเราก็ต้องเชื่อว่า เขายังไม่ตาย” ธิดาพูดปลอบใจหญิงสาวและตัวเธอเองด้วยเช่นกัน

    เอื้อยทอดถอนลมหายใจแล้วหยิบกระเป๋าสัมภาระขึ้นสะพาย เธอเดินตามธิดาไปด้วยหัวใจล่องลอย ใช่ เธอห่วงชะตาชีวิตของชายหนุ่มคนนั้น แต่อีก

สิ่งที่ทำให้หัวของเธอคิดวนไปเวียนมาคือเรื่องที่มีชื่อของพ่อเธอและคุณนายดาราอยู่ในกระดาษห่อหมากฝรั่งแผ่นนั้น สองหญิงสาวก้าวขึ้นรถขนส่งมวลชน

และนั่งบนเก้าอี้ที่ตรงกับหมายเลขของตัวเอง

    เสียงสายเรียกเขาดังจากโทรศัพท์ของธิดา และหญิงสาวลังเลที่จะรีบมัน หากเป็นสายของพี่ชายเธอล่ะก็เธอจะยังไม่รับหรอกแต่นี่มันสายจากพี่

ปราณนี่สิ แล้วเขารู้เรื่องวีรกรรมของเธอจากใครแล้วหรือยัง ถ้ารู้แล้วมีหวังโดนผู้ชายคนนี้ดุจนเธอหงอแน่ๆ ธิดาตัดสินใจทำเป็นไมได้ยินจนคนที่โทรมาล้ม

เลิกความพยายาม

    “ทำไมไม่รับล่ะ” เสียงของเอื้อยถามไถ่อย่างสงสัยที่เห็นหญิงสาวจ้องมองที่ชื่อสายเรียกเข้าแต่ไม่ยอมรับสายเสียที

    “ยัง...ไม่อยากคุยตอนนี้” ธิดาตอบแล้วถอนหายใจ ถึงจะบอกว่ายังไม่อยากคุยก็เถอะแต่เธอยังจ้องมองชื่อของสายเรียกเข้าสายนั้นที่จำนวนสายที่ไม่

ได้รับนับได้เกือบครึ่งร้อย

    “บางทีถ้าไม่คุยตอนนี้...อาจจะไม่ได้คุยกันอีกเลยนะ” เอื้อยพูดกับธิดาที่มีสีหน้าไม่ดี “ฉันเองถ้าย้อนเวลาได้...จะไม่มีวันเสียสักวินาทีที่จะให้กับคนที่

รักเลยล่ะ”

    “เธอคงคิดถึงคนรักของเธอ...คนที่ตายไปแล้วคนนั้นมากเลยใช่ไหม” ธิดาหันไปมองใบหน้าของหญิงสาวที่อายุน้อยกว่าเธอ แต่เหมือนกับว่าเธอคนนี้

จะมีความคิดที่โตกว่าเสียด้วยซ้ำ

    “ไม่มีวันไหนที่ฉันไม่คิดถึงเขา” เอื้อยตอบพร้อมกับรอยยิ้ม และเป็นรอยยิ้มที่ดูฝืนที่สุด “ฉันคิดถึงช่วงเวลาที่มีเขาอยู่ตลอด”

    “เขากับเธอคงมีความทรงจำๆ ดีเก็บไว้เยอะเลยใช่ไหม”

    “ใช่ แต่มันก็นานมากแล้วก่อนที่ฉันจะไปเป็น...เมียน้อยของเสี่ยบัญชา” เอื้อยไม่แน่ใจว่าจะให้ผู้หญิงคนนี้รู้เรื่องตื้นลึกหนาบางของเธอไปทุกเรื่องดี

หรือไม่ เธอยอมรับว่าเธออายเหลือเกินที่จะบอกใครต่อใครว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ไรศีลธรรมขนาดยอมเป็นชู้กับผู้ชายที่มีภรรยาแล้ว และถ้าบอกเหตุผลว่าเธอ

ทำไปเพราะความจำเป็น ใครเขาจะเชื่อ

    “เธอคงไม่มีทางเลือกมากนักใช่ไหม”

    เอื้อยมองหน้าหญิงสาวที่เอามือมากุมมือเธอไว้ด้วยความประหลาดใจ จริงอยู่ที่เธอไม่ต้องการให้ใครมาเห็นใจนักหรอกเพียงแต่บางครั้งหากมีคนฟัง

ความใจในที่อยากจะระบายบ้างก็คงดี และผู้หญิงที่ชื่อธิดาคนนี้กำลังฟังเธออย่างตั้งใจ

    “ไม่รู้สิ...อาจจะมีทางอื่นที่ดีกว่า แต่ทำไมตอนนั้นฉันถึงเห็นแค่ทางนี้ทางเดียวก็ไม่รู้”

    “คนรักของเธอเขาคงจะเสียใจมาก” ธิดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้า

    ใช่ ธิดาพูดถูก และเธอก็เสียใจมากเช่นกัน ไม่ได้มีเพียงป๋องที่คร่ำครวญต่อการตัดสินใจของเธอ เขาพร่ำบอกตลอดว่าเขาสามารถหาเลี้ยงเธอได้แน่

ด้วยเงินจากงานพิเศษ และเพียงพอที่ทำให้เธอไม่ต้องไปเป็นเมียน้อยของใคร ความคิดนี้มันคงจะราบรื่นและไร้ปัญหาหากวันหนึ่งน้องชายของเธอไม่ไปติด

หนี้พนันบอลกับเสี่ย

ในเมื่อรักแท้อย่างเดียวไม่สามารถแก้ไขปัญหาการเงินได้ เอื้อยจึงตัดสินใจเด็ดขาด ไม่ใช่การตัดสินใจเพื่อตัวเอง แต่เป็นการตัดสินใจเพื่อแม่และน้อง ทาง

เลือกทางเดียวคือ เป็นเมียน้อยเสี่ยตามที่คุณนายดาราเสนอ

    “เขาเสียใจมากที่สุดเลยล่ะ ฉันยังจำใบหน้าและแววตาของเขาได้ดีในวันที่ฉันบอกเขาว่าฉันจะเป็นเมียน้อยเสี่ย”

หญิงสาวขยับขาเปลี่ยนท่านั่ง เสียงกระพรวนจากสร้อยข้อเท้าดังกรุ๋งกริ๋งทำให้เธอยกปลายขาขึ้นดู “สร้อยข้อเท้าเส้นนี้ ป๋องซื้อให้ฉันในวันที่เราตกลงคบ

กันเป็นแฟน เขาบอกว่าเวลาที่ฉันเดิน เสียงกระพรวนมันจะดังทำให้ฉันไม่เหงาหากว่าต้องอยู่คนเดียว”

และเธอไม่เคยคิดเลยว่าวันนั้นจะเกิดขึ้นจริง และคนล่าสุดที่เพิ่งใส่สร้อยกระพรวนเส้นนี้ให้เธอ เขาก็ทิ้งเธอให้อยู่คนเดียว

“ฟังดูเหมือนนิยายโรแมนติคเลยนะ”

เอื้อยหัวเราะกับคำพูดของธิดา เธอส่ายหน้าแล้วเอ่ยบอกผู้หญิงโลกสวย “แย่หน่อยที่หนังเรื่องนี้มันคงจะจบไม่สวย”

เพราะว่าเธอไม่ได้เป็นนางเอกน่ะสิ เอื้อยบอกตัวเองว่าเธอเป็นแค่ตัวประกอบในหนังชีวิตของทุกคน ไม่มีใครให้ความสำคัญอะไรทั้งสิ้น แม้แต่การเป็นดาว

เด่นของมูนไลท์ก็เป็นเพียงแค่ตุ๊กตาชักใยเรียกแขกให้มาเที่ยวผับเท่านั้น ใครล่ะที่สนใจห่วงใยเธอจริงๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่