ตอนที่ผ่านมาอยู่ คห สุดท้ายค่ะ
แจ้งให้ทราบค่ะ
เนื่องจากว่าผู้เขียนรีไรท์เรื่องราวโดยการตัดทอนความยาวแต่ละตอนให้กระชับ และมีการยกเนื้อหาไปขึ้นตอนถัดไป
ทำให้ลำดับตอนเลื่อนออกค่ะ แค่เลขลำดับเลื่อนค่ะ แต่เนื้อหาต่อกัน
หนึ่งใจในแผ่นดิน
ตอนที่ 40
“อีนังผู้หญิงเลี้ยงเสียข้าวสุก !” เสียงเสี่ยบัญชาตะโกนลั่นห้องทำงานหลังจากกลับมาจากโรงพยาบาลเพื่อทำแผลแตกที่ศีรษะ เจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจที่โดน
เอื้อยตีหัวด้วยเก้าอี้เต็มแรงเสียจนเขาล้มลงไปกองกับพื้น
“ที่มันกล้าทำขนาดนี้แสดงว่าต้องมันต้องมีคนคอยหนุนอยู่นะเสี่ย” ลูกน้องคุณนายดาราเอ่ยความเห็นแต่นึกเสียดายที่นังเอื้อยน่าจะลงมือหนักกว่านี้ เอาให
ตายหรือไม่ก็พิการไปเลย
“เอ็งหมายถึงใครกัน”
“ก็ใครกันล่ะที่กล้ามายุ่งกับเด็กของเสี่ย” เขาพูดเสียงลอย
“คอยดูนะ ถ้าข้าเจอมันเมื่อไหร่ข้าจะซ้อมให้หยอดน้ำข้าวต้ม !”
“เสี่ยหมายถึงหมายถึงนังเอื้อยหรือคนที่มัน...”
“ทั้งสองคนนั้นแหละ ! ทั้งนังเอื้อยทั้งไอ้เวรนั่น โดยเฉพาะนังเอื้อย ข้าจะเอามันให้ปางตาย” เสี่ยบัญชากำหมัดแน่น ถึงจะพูดแบบนั้นแต่หญิงสาวคนก่อ
เหตุคงไม่มีทางกลับมาง่ายๆ และวันนี้มันก็คงไม่กล้ามาทำงาน
ลูกน้องดาราแสยะยิ้มอย่างเย้ยหยัน เขารู้สึกสมเพชชายแก่ร่างท้วมคนนี้ยิ่งนัก ยิ่งมองก็ยิ่งไม่มีราศีสมกับการเป็นเจ้านายของใครเลยสักคน วันหนึ่งๆ ของ
เสี่ยบัญชาหมดไปกับการหมกมุ่นในกามารมณ์และสิ่งเสพติดสารพัดรูปแบบ เสี่ยบัญชาผิดกับนายคนเดิมของเขามากมายนัก เจ้าป่าเป็นบุรุษที่โหดเหี้ยม
และน่าเกรงขามที่สุด เพียงแค่เอ่ยนามเท่านั้นคนที่ได้ยินก็ขาสั่นกันไปหมด แต่อำนาจบารมีที่นายพนาสั่งสมมากลับสั่นคลอนเพราะผู้หญิงเพียงคน
เดียว ‘ดวงแข สาวงามผู้เลื่องลือ’
“คุณนายของเอ็งหายไปไหน ทำไมถึงยังไม่กลับมา นี่คุณนายของเอ็งจะปล่อยให้ข้านั่งเฝ้าผับทุกวันหรือไง !”
“คุณนายมีธุระต้องจัดการ เสี่ยเองก็ไม่ได้ทำอะไร เพราะทุกอย่างผมที่มูนไลท์ผมกับลูกน้องก็ดูแลให้อยู่แล้ว” เขาเอ่ยกับชายอาวุโสที่มีท่าท่างกระฟัด
กระเฟียด
“แต่ผมจะไม่อยู่สักพัก คุณนายให้ผมไปทำธุระที่ต่างจังหวัด อาจจะไม่กลับมาสักพัก”
“เฮ้ย ถ้าเอ็งไม่อยู่แล้วแล้วข้าจะเอายาจากที่ไหน !”
“ผมว่าช่วงนี้เราต้องหยุดขายก่อน ดูเหมือนว่าตำรวจกำลังตามดมกลิ่นพวกเราอยู่” เขาพูดเตือนคนที่ไม่มีหัวคิดสมกับทำงานด้านมืด เพราะเสียเป็นแบบนี้นี่
เอง กิจการเดิมถึงเจ๊งไม่เป็นท่าแล้วยังเสียรู้โดนคุณนายดาราหลอกใช้
“ข้าหมายถึงของข้า ไม่ได้หมายถึงที่จะเอาไว้ขาย”
ลูกน้องดาราแค่นหัวเราะ “เสี่ยไปเอากับไอ้ตี๋ร้านยาได้เลย ผมจะเขียนใบสั่งให้ แต่ผมขอเตือนเสียก่อนว่าไอ้ตี๋มันมักจะพูดไม่รู้เรื่อง”
“เอ็งก็เขียนใบสั่งให้มันชัดเจนสิวะ ข้าจะไม่พูดอะไรกับมันทั้งนั้น” เสี่ยพูดอย่างหัวเสีย
“ได้เสี่ย แล้วผมจะเขียนให้...ชัดเจน” เขาส่งยิ้มที่แสนเยือกเย็น ไอ้อำพันมันก็ตายไปแล้ว คนที่รู้วิธีอ่านใบสั่งของเวสต์วูดได้ในตอนนี้เหลือเพียงแค่เขา ไอ้
ตี๋ร้านยา และคุณนายเท่านั้น เว้นเสียแต่ว่าความลับนี้มันยังไม่ถูกเปิดเผย
******************
พนักงานบริษัทขนส่งประกาศเรียกให้ผู้โดยสารที่รอรถสายกรุงเทพฯ ทองผาภูมิเตรียมตัวให้พร้อมเมื่อได้เวลาที่รถโดยสารจะต้องอออกจาท่า ธิดาสะกิด
เอื้อยที่นั่งเหม่อลอยให้เธอรู้ตัว แต่ดูเหมือนกับเอื้อยไม่อยากที่จะขยับลุกขึ้นแม้แต่น้อย
“ยังไงเราก็ต้องเชื่อว่า เขายังไม่ตาย” ธิดาพูดปลอบใจหญิงสาวและตัวเธอเองด้วยเช่นกัน
เอื้อยทอดถอนลมหายใจแล้วหยิบกระเป๋าสัมภาระขึ้นสะพาย เธอเดินตามธิดาไปด้วยหัวใจล่องลอย ใช่ เธอห่วงชะตาชีวิตของชายหนุ่มคนนั้น แต่อีก
สิ่งที่ทำให้หัวของเธอคิดวนไปเวียนมาคือเรื่องที่มีชื่อของพ่อเธอและคุณนายดาราอยู่ในกระดาษห่อหมากฝรั่งแผ่นนั้น สองหญิงสาวก้าวขึ้นรถขนส่งมวลชน
และนั่งบนเก้าอี้ที่ตรงกับหมายเลขของตัวเอง
เสียงสายเรียกเขาดังจากโทรศัพท์ของธิดา และหญิงสาวลังเลที่จะรีบมัน หากเป็นสายของพี่ชายเธอล่ะก็เธอจะยังไม่รับหรอกแต่นี่มันสายจากพี่
ปราณนี่สิ แล้วเขารู้เรื่องวีรกรรมของเธอจากใครแล้วหรือยัง ถ้ารู้แล้วมีหวังโดนผู้ชายคนนี้ดุจนเธอหงอแน่ๆ ธิดาตัดสินใจทำเป็นไมได้ยินจนคนที่โทรมาล้ม
เลิกความพยายาม
“ทำไมไม่รับล่ะ” เสียงของเอื้อยถามไถ่อย่างสงสัยที่เห็นหญิงสาวจ้องมองที่ชื่อสายเรียกเข้าแต่ไม่ยอมรับสายเสียที
“ยัง...ไม่อยากคุยตอนนี้” ธิดาตอบแล้วถอนหายใจ ถึงจะบอกว่ายังไม่อยากคุยก็เถอะแต่เธอยังจ้องมองชื่อของสายเรียกเข้าสายนั้นที่จำนวนสายที่ไม่
ได้รับนับได้เกือบครึ่งร้อย
“บางทีถ้าไม่คุยตอนนี้...อาจจะไม่ได้คุยกันอีกเลยนะ” เอื้อยพูดกับธิดาที่มีสีหน้าไม่ดี “ฉันเองถ้าย้อนเวลาได้...จะไม่มีวันเสียสักวินาทีที่จะให้กับคนที่
รักเลยล่ะ”
“เธอคงคิดถึงคนรักของเธอ...คนที่ตายไปแล้วคนนั้นมากเลยใช่ไหม” ธิดาหันไปมองใบหน้าของหญิงสาวที่อายุน้อยกว่าเธอ แต่เหมือนกับว่าเธอคนนี้
จะมีความคิดที่โตกว่าเสียด้วยซ้ำ
“ไม่มีวันไหนที่ฉันไม่คิดถึงเขา” เอื้อยตอบพร้อมกับรอยยิ้ม และเป็นรอยยิ้มที่ดูฝืนที่สุด “ฉันคิดถึงช่วงเวลาที่มีเขาอยู่ตลอด”
“เขากับเธอคงมีความทรงจำๆ ดีเก็บไว้เยอะเลยใช่ไหม”
“ใช่ แต่มันก็นานมากแล้วก่อนที่ฉันจะไปเป็น...เมียน้อยของเสี่ยบัญชา” เอื้อยไม่แน่ใจว่าจะให้ผู้หญิงคนนี้รู้เรื่องตื้นลึกหนาบางของเธอไปทุกเรื่องดี
หรือไม่ เธอยอมรับว่าเธออายเหลือเกินที่จะบอกใครต่อใครว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ไรศีลธรรมขนาดยอมเป็นชู้กับผู้ชายที่มีภรรยาแล้ว และถ้าบอกเหตุผลว่าเธอ
ทำไปเพราะความจำเป็น ใครเขาจะเชื่อ
“เธอคงไม่มีทางเลือกมากนักใช่ไหม”
เอื้อยมองหน้าหญิงสาวที่เอามือมากุมมือเธอไว้ด้วยความประหลาดใจ จริงอยู่ที่เธอไม่ต้องการให้ใครมาเห็นใจนักหรอกเพียงแต่บางครั้งหากมีคนฟัง
ความใจในที่อยากจะระบายบ้างก็คงดี และผู้หญิงที่ชื่อธิดาคนนี้กำลังฟังเธออย่างตั้งใจ
“ไม่รู้สิ...อาจจะมีทางอื่นที่ดีกว่า แต่ทำไมตอนนั้นฉันถึงเห็นแค่ทางนี้ทางเดียวก็ไม่รู้”
“คนรักของเธอเขาคงจะเสียใจมาก” ธิดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้า
ใช่ ธิดาพูดถูก และเธอก็เสียใจมากเช่นกัน ไม่ได้มีเพียงป๋องที่คร่ำครวญต่อการตัดสินใจของเธอ เขาพร่ำบอกตลอดว่าเขาสามารถหาเลี้ยงเธอได้แน่
ด้วยเงินจากงานพิเศษ และเพียงพอที่ทำให้เธอไม่ต้องไปเป็นเมียน้อยของใคร ความคิดนี้มันคงจะราบรื่นและไร้ปัญหาหากวันหนึ่งน้องชายของเธอไม่ไปติด
หนี้พนันบอลกับเสี่ย
ในเมื่อรักแท้อย่างเดียวไม่สามารถแก้ไขปัญหาการเงินได้ เอื้อยจึงตัดสินใจเด็ดขาด ไม่ใช่การตัดสินใจเพื่อตัวเอง แต่เป็นการตัดสินใจเพื่อแม่และน้อง ทาง
เลือกทางเดียวคือ เป็นเมียน้อยเสี่ยตามที่คุณนายดาราเสนอ
“เขาเสียใจมากที่สุดเลยล่ะ ฉันยังจำใบหน้าและแววตาของเขาได้ดีในวันที่ฉันบอกเขาว่าฉันจะเป็นเมียน้อยเสี่ย”
หญิงสาวขยับขาเปลี่ยนท่านั่ง เสียงกระพรวนจากสร้อยข้อเท้าดังกรุ๋งกริ๋งทำให้เธอยกปลายขาขึ้นดู “สร้อยข้อเท้าเส้นนี้ ป๋องซื้อให้ฉันในวันที่เราตกลงคบ
กันเป็นแฟน เขาบอกว่าเวลาที่ฉันเดิน เสียงกระพรวนมันจะดังทำให้ฉันไม่เหงาหากว่าต้องอยู่คนเดียว”
และเธอไม่เคยคิดเลยว่าวันนั้นจะเกิดขึ้นจริง และคนล่าสุดที่เพิ่งใส่สร้อยกระพรวนเส้นนี้ให้เธอ เขาก็ทิ้งเธอให้อยู่คนเดียว
“ฟังดูเหมือนนิยายโรแมนติคเลยนะ”
เอื้อยหัวเราะกับคำพูดของธิดา เธอส่ายหน้าแล้วเอ่ยบอกผู้หญิงโลกสวย “แย่หน่อยที่หนังเรื่องนี้มันคงจะจบไม่สวย”
เพราะว่าเธอไม่ได้เป็นนางเอกน่ะสิ เอื้อยบอกตัวเองว่าเธอเป็นแค่ตัวประกอบในหนังชีวิตของทุกคน ไม่มีใครให้ความสำคัญอะไรทั้งสิ้น แม้แต่การเป็นดาว
เด่นของมูนไลท์ก็เป็นเพียงแค่ตุ๊กตาชักใยเรียกแขกให้มาเที่ยวผับเท่านั้น ใครล่ะที่สนใจห่วงใยเธอจริงๆ
หนึ่งใจในแผ่นดิน ตอนที่ 40
แจ้งให้ทราบค่ะ
เนื่องจากว่าผู้เขียนรีไรท์เรื่องราวโดยการตัดทอนความยาวแต่ละตอนให้กระชับ และมีการยกเนื้อหาไปขึ้นตอนถัดไป
ทำให้ลำดับตอนเลื่อนออกค่ะ แค่เลขลำดับเลื่อนค่ะ แต่เนื้อหาต่อกัน
หนึ่งใจในแผ่นดิน
ตอนที่ 40
“อีนังผู้หญิงเลี้ยงเสียข้าวสุก !” เสียงเสี่ยบัญชาตะโกนลั่นห้องทำงานหลังจากกลับมาจากโรงพยาบาลเพื่อทำแผลแตกที่ศีรษะ เจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจที่โดน
เอื้อยตีหัวด้วยเก้าอี้เต็มแรงเสียจนเขาล้มลงไปกองกับพื้น
“ที่มันกล้าทำขนาดนี้แสดงว่าต้องมันต้องมีคนคอยหนุนอยู่นะเสี่ย” ลูกน้องคุณนายดาราเอ่ยความเห็นแต่นึกเสียดายที่นังเอื้อยน่าจะลงมือหนักกว่านี้ เอาให
ตายหรือไม่ก็พิการไปเลย
“เอ็งหมายถึงใครกัน”
“ก็ใครกันล่ะที่กล้ามายุ่งกับเด็กของเสี่ย” เขาพูดเสียงลอย
“คอยดูนะ ถ้าข้าเจอมันเมื่อไหร่ข้าจะซ้อมให้หยอดน้ำข้าวต้ม !”
“เสี่ยหมายถึงหมายถึงนังเอื้อยหรือคนที่มัน...”
“ทั้งสองคนนั้นแหละ ! ทั้งนังเอื้อยทั้งไอ้เวรนั่น โดยเฉพาะนังเอื้อย ข้าจะเอามันให้ปางตาย” เสี่ยบัญชากำหมัดแน่น ถึงจะพูดแบบนั้นแต่หญิงสาวคนก่อ
เหตุคงไม่มีทางกลับมาง่ายๆ และวันนี้มันก็คงไม่กล้ามาทำงาน
ลูกน้องดาราแสยะยิ้มอย่างเย้ยหยัน เขารู้สึกสมเพชชายแก่ร่างท้วมคนนี้ยิ่งนัก ยิ่งมองก็ยิ่งไม่มีราศีสมกับการเป็นเจ้านายของใครเลยสักคน วันหนึ่งๆ ของ
เสี่ยบัญชาหมดไปกับการหมกมุ่นในกามารมณ์และสิ่งเสพติดสารพัดรูปแบบ เสี่ยบัญชาผิดกับนายคนเดิมของเขามากมายนัก เจ้าป่าเป็นบุรุษที่โหดเหี้ยม
และน่าเกรงขามที่สุด เพียงแค่เอ่ยนามเท่านั้นคนที่ได้ยินก็ขาสั่นกันไปหมด แต่อำนาจบารมีที่นายพนาสั่งสมมากลับสั่นคลอนเพราะผู้หญิงเพียงคน
เดียว ‘ดวงแข สาวงามผู้เลื่องลือ’
“คุณนายของเอ็งหายไปไหน ทำไมถึงยังไม่กลับมา นี่คุณนายของเอ็งจะปล่อยให้ข้านั่งเฝ้าผับทุกวันหรือไง !”
“คุณนายมีธุระต้องจัดการ เสี่ยเองก็ไม่ได้ทำอะไร เพราะทุกอย่างผมที่มูนไลท์ผมกับลูกน้องก็ดูแลให้อยู่แล้ว” เขาเอ่ยกับชายอาวุโสที่มีท่าท่างกระฟัด
กระเฟียด
“แต่ผมจะไม่อยู่สักพัก คุณนายให้ผมไปทำธุระที่ต่างจังหวัด อาจจะไม่กลับมาสักพัก”
“เฮ้ย ถ้าเอ็งไม่อยู่แล้วแล้วข้าจะเอายาจากที่ไหน !”
“ผมว่าช่วงนี้เราต้องหยุดขายก่อน ดูเหมือนว่าตำรวจกำลังตามดมกลิ่นพวกเราอยู่” เขาพูดเตือนคนที่ไม่มีหัวคิดสมกับทำงานด้านมืด เพราะเสียเป็นแบบนี้นี่
เอง กิจการเดิมถึงเจ๊งไม่เป็นท่าแล้วยังเสียรู้โดนคุณนายดาราหลอกใช้
“ข้าหมายถึงของข้า ไม่ได้หมายถึงที่จะเอาไว้ขาย”
ลูกน้องดาราแค่นหัวเราะ “เสี่ยไปเอากับไอ้ตี๋ร้านยาได้เลย ผมจะเขียนใบสั่งให้ แต่ผมขอเตือนเสียก่อนว่าไอ้ตี๋มันมักจะพูดไม่รู้เรื่อง”
“เอ็งก็เขียนใบสั่งให้มันชัดเจนสิวะ ข้าจะไม่พูดอะไรกับมันทั้งนั้น” เสี่ยพูดอย่างหัวเสีย
“ได้เสี่ย แล้วผมจะเขียนให้...ชัดเจน” เขาส่งยิ้มที่แสนเยือกเย็น ไอ้อำพันมันก็ตายไปแล้ว คนที่รู้วิธีอ่านใบสั่งของเวสต์วูดได้ในตอนนี้เหลือเพียงแค่เขา ไอ้
ตี๋ร้านยา และคุณนายเท่านั้น เว้นเสียแต่ว่าความลับนี้มันยังไม่ถูกเปิดเผย
พนักงานบริษัทขนส่งประกาศเรียกให้ผู้โดยสารที่รอรถสายกรุงเทพฯ ทองผาภูมิเตรียมตัวให้พร้อมเมื่อได้เวลาที่รถโดยสารจะต้องอออกจาท่า ธิดาสะกิด
เอื้อยที่นั่งเหม่อลอยให้เธอรู้ตัว แต่ดูเหมือนกับเอื้อยไม่อยากที่จะขยับลุกขึ้นแม้แต่น้อย
“ยังไงเราก็ต้องเชื่อว่า เขายังไม่ตาย” ธิดาพูดปลอบใจหญิงสาวและตัวเธอเองด้วยเช่นกัน
เอื้อยทอดถอนลมหายใจแล้วหยิบกระเป๋าสัมภาระขึ้นสะพาย เธอเดินตามธิดาไปด้วยหัวใจล่องลอย ใช่ เธอห่วงชะตาชีวิตของชายหนุ่มคนนั้น แต่อีก
สิ่งที่ทำให้หัวของเธอคิดวนไปเวียนมาคือเรื่องที่มีชื่อของพ่อเธอและคุณนายดาราอยู่ในกระดาษห่อหมากฝรั่งแผ่นนั้น สองหญิงสาวก้าวขึ้นรถขนส่งมวลชน
และนั่งบนเก้าอี้ที่ตรงกับหมายเลขของตัวเอง
เสียงสายเรียกเขาดังจากโทรศัพท์ของธิดา และหญิงสาวลังเลที่จะรีบมัน หากเป็นสายของพี่ชายเธอล่ะก็เธอจะยังไม่รับหรอกแต่นี่มันสายจากพี่
ปราณนี่สิ แล้วเขารู้เรื่องวีรกรรมของเธอจากใครแล้วหรือยัง ถ้ารู้แล้วมีหวังโดนผู้ชายคนนี้ดุจนเธอหงอแน่ๆ ธิดาตัดสินใจทำเป็นไมได้ยินจนคนที่โทรมาล้ม
เลิกความพยายาม
“ทำไมไม่รับล่ะ” เสียงของเอื้อยถามไถ่อย่างสงสัยที่เห็นหญิงสาวจ้องมองที่ชื่อสายเรียกเข้าแต่ไม่ยอมรับสายเสียที
“ยัง...ไม่อยากคุยตอนนี้” ธิดาตอบแล้วถอนหายใจ ถึงจะบอกว่ายังไม่อยากคุยก็เถอะแต่เธอยังจ้องมองชื่อของสายเรียกเข้าสายนั้นที่จำนวนสายที่ไม่
ได้รับนับได้เกือบครึ่งร้อย
“บางทีถ้าไม่คุยตอนนี้...อาจจะไม่ได้คุยกันอีกเลยนะ” เอื้อยพูดกับธิดาที่มีสีหน้าไม่ดี “ฉันเองถ้าย้อนเวลาได้...จะไม่มีวันเสียสักวินาทีที่จะให้กับคนที่
รักเลยล่ะ”
“เธอคงคิดถึงคนรักของเธอ...คนที่ตายไปแล้วคนนั้นมากเลยใช่ไหม” ธิดาหันไปมองใบหน้าของหญิงสาวที่อายุน้อยกว่าเธอ แต่เหมือนกับว่าเธอคนนี้
จะมีความคิดที่โตกว่าเสียด้วยซ้ำ
“ไม่มีวันไหนที่ฉันไม่คิดถึงเขา” เอื้อยตอบพร้อมกับรอยยิ้ม และเป็นรอยยิ้มที่ดูฝืนที่สุด “ฉันคิดถึงช่วงเวลาที่มีเขาอยู่ตลอด”
“เขากับเธอคงมีความทรงจำๆ ดีเก็บไว้เยอะเลยใช่ไหม”
“ใช่ แต่มันก็นานมากแล้วก่อนที่ฉันจะไปเป็น...เมียน้อยของเสี่ยบัญชา” เอื้อยไม่แน่ใจว่าจะให้ผู้หญิงคนนี้รู้เรื่องตื้นลึกหนาบางของเธอไปทุกเรื่องดี
หรือไม่ เธอยอมรับว่าเธออายเหลือเกินที่จะบอกใครต่อใครว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ไรศีลธรรมขนาดยอมเป็นชู้กับผู้ชายที่มีภรรยาแล้ว และถ้าบอกเหตุผลว่าเธอ
ทำไปเพราะความจำเป็น ใครเขาจะเชื่อ
“เธอคงไม่มีทางเลือกมากนักใช่ไหม”
เอื้อยมองหน้าหญิงสาวที่เอามือมากุมมือเธอไว้ด้วยความประหลาดใจ จริงอยู่ที่เธอไม่ต้องการให้ใครมาเห็นใจนักหรอกเพียงแต่บางครั้งหากมีคนฟัง
ความใจในที่อยากจะระบายบ้างก็คงดี และผู้หญิงที่ชื่อธิดาคนนี้กำลังฟังเธออย่างตั้งใจ
“ไม่รู้สิ...อาจจะมีทางอื่นที่ดีกว่า แต่ทำไมตอนนั้นฉันถึงเห็นแค่ทางนี้ทางเดียวก็ไม่รู้”
“คนรักของเธอเขาคงจะเสียใจมาก” ธิดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้า
ใช่ ธิดาพูดถูก และเธอก็เสียใจมากเช่นกัน ไม่ได้มีเพียงป๋องที่คร่ำครวญต่อการตัดสินใจของเธอ เขาพร่ำบอกตลอดว่าเขาสามารถหาเลี้ยงเธอได้แน่
ด้วยเงินจากงานพิเศษ และเพียงพอที่ทำให้เธอไม่ต้องไปเป็นเมียน้อยของใคร ความคิดนี้มันคงจะราบรื่นและไร้ปัญหาหากวันหนึ่งน้องชายของเธอไม่ไปติด
หนี้พนันบอลกับเสี่ย
ในเมื่อรักแท้อย่างเดียวไม่สามารถแก้ไขปัญหาการเงินได้ เอื้อยจึงตัดสินใจเด็ดขาด ไม่ใช่การตัดสินใจเพื่อตัวเอง แต่เป็นการตัดสินใจเพื่อแม่และน้อง ทาง
เลือกทางเดียวคือ เป็นเมียน้อยเสี่ยตามที่คุณนายดาราเสนอ
“เขาเสียใจมากที่สุดเลยล่ะ ฉันยังจำใบหน้าและแววตาของเขาได้ดีในวันที่ฉันบอกเขาว่าฉันจะเป็นเมียน้อยเสี่ย”
หญิงสาวขยับขาเปลี่ยนท่านั่ง เสียงกระพรวนจากสร้อยข้อเท้าดังกรุ๋งกริ๋งทำให้เธอยกปลายขาขึ้นดู “สร้อยข้อเท้าเส้นนี้ ป๋องซื้อให้ฉันในวันที่เราตกลงคบ
กันเป็นแฟน เขาบอกว่าเวลาที่ฉันเดิน เสียงกระพรวนมันจะดังทำให้ฉันไม่เหงาหากว่าต้องอยู่คนเดียว”
และเธอไม่เคยคิดเลยว่าวันนั้นจะเกิดขึ้นจริง และคนล่าสุดที่เพิ่งใส่สร้อยกระพรวนเส้นนี้ให้เธอ เขาก็ทิ้งเธอให้อยู่คนเดียว
“ฟังดูเหมือนนิยายโรแมนติคเลยนะ”
เอื้อยหัวเราะกับคำพูดของธิดา เธอส่ายหน้าแล้วเอ่ยบอกผู้หญิงโลกสวย “แย่หน่อยที่หนังเรื่องนี้มันคงจะจบไม่สวย”
เพราะว่าเธอไม่ได้เป็นนางเอกน่ะสิ เอื้อยบอกตัวเองว่าเธอเป็นแค่ตัวประกอบในหนังชีวิตของทุกคน ไม่มีใครให้ความสำคัญอะไรทั้งสิ้น แม้แต่การเป็นดาว
เด่นของมูนไลท์ก็เป็นเพียงแค่ตุ๊กตาชักใยเรียกแขกให้มาเที่ยวผับเท่านั้น ใครล่ะที่สนใจห่วงใยเธอจริงๆ