หนึ่งใจในแผ่นดิน ตอนที่ 39

กระทู้สนทนา
ตอนที่ผ่านมาอยู่ คห สุดท้ายค่ะ




แจ้งให้ทราบค่ะ
เนื่องจากว่าผู้เขียนรีไรท์เรื่องราวโดยการตัดทอนความยาวแต่ละตอนให้กระชับ และมีการยกเนื้อหาไปขึ้นตอนถัดไป
ทำให้ลำดับตอนเลื่อนออกค่ะ  แค่เลขลำดับเลื่อนค่ะ แต่เนื้อหาต่อกัน




หนึ่งใจในแผ่นดิน
ตอนที่ 39




ตั้งแต่วิ่งออกจากห้องเช่า เอื้อยก็เกิดอาการสับสนหลังจากที่ธิดาพูดถึงชื่อของพ่อและชื่อของคุณนายที่ปรากฏในกระดาษแผ่นเล็กใบนั้น คนที่เธอรู้จักถึง

สองคนมีความเกี่ยวข้องอะไรกันอย่างนั้นหรือ แล้วชื่อของคนอีกสามคนนั้นเล่าพวกเขาเป็นใครกัน แล้วทำไมป๋องถึงถูกฆ่าเอาชีวิต ไม่สิไม่ใช่แค่ป๋องคน

เดียว พ่อขอเธอด้วยเช่นกัน พ่อของเธอก็อาจจะโดนฆาตกรรมในเรือนจำด้วยโดนปกปิดด้วยสาเหตุการเสพยาเกินขนาด คำถามต่างมากมายนี้มันอัดแน่นใน

หัวของเธอจนเธอปวดร้าวไปทั่วศีรษะ  

ธิดาเฝ้ามองหญิงสาวที่มีใบหน้าคร่ำเครียดจนพื้นที่ตรงระหว่างคิ้วทั้งสองข้างเกิดเป็นรอยย่นจนเธออยากจะเอานิ้วไปคลี่มันออก หากถามเรื่องเกี่ยวกับพ่อ

ของเธอตอนนี้คงไม่ดีแน่

“เธออาบน้ำแล้วนอนเถอะ ตอนนี้มันตีหนึ่งกว่าแล้วก็จริง แต่เราไม่ต้องรีบไปทองผาภูมิแต่เช้าก็ได้ เธอนอนให้เต็มอิ่มไปเลย” สาวสวยนัยน์ตากลมเอ่ยพร้อม

ยื่นผ้าขนหนูผืนนุ่มกับชุดนอนสีหวานให้เอื้อย

“ตอนนี้จะให้นอนยังไงฉันก็นอนไม่หลับหรอก”

“แค่หลับตาก็พอ ขอบตาของเธอคล้ำเกินไปแล้วนะ นอนไม่พอจะยิ่งคล้ำกว่านี่อีก แล้วจะหาว่าเป็นผู้หญิงด้วยกันทำไมไม่เตือน” ธิดาเอียงคอพูดกับหญิง

สาว


“ช่างฉันเถอะ หน้าของฉันคงไม่ทางดีขึ้นไปกว่านี้หรอก ดีเสียอีก ยิ่งโทรมเท่าไหร่ฉันจะได้ลงจากตำเหน่งยายเอื้อย ดาวเด่นของมูนไลท์เสียที”

“เธอเต้นได้เยี่ยมมาก มันสุดยอดมาจริงๆ จนฉันคิดว่าเธอเกิดมาเพื่อการเต้น ฉันพูดจริงนะ ฉันเห็นเธอเต้นแล้วอยากเต้นเก่งแบบเธอบ้างจัง” แต่หญิงสาวดู

เหมือนจะไม่ได้ฟังในสิ่งที่เอื้อยพูด ธิดามองเอื้อยด้วยแววตาแห่งความชื่นชม

เอื้อยมองธิดาที่ส่งยิ้มให้เธอ ผู้หญิงคนนี้เดิมทีก็สวยอยู่แล้ว แต่พอเธอยิ้มยิ่งส่งให้เธอสวยงามขึ้นอีกหลายเท่า เอื้อยอิจฉาเธอเสียจริง อิจฉาทั้งใบหน้างาม

หมดจด อิจฉาทั้งความสุขที่มันแสดงออกมาทางรอยยิ้มนั้น อิจฉาทุกอย่างที่เธอมี บ้านหลังใหญ่ ห้องนอนแสนน่ารักกับเตียงหลังนุ่มที่เธอกำลังนั่งอยู่ ธิดา

เป็นผู้หญิงที่ทุกคนอยากจะเป็นได้อย่างเธอ

“อย่ามาอิจฉาฉันเลย ฉันมันก็แค่โคโยตี้ที่เต้นยั่วผู้ชายแลกเงินเท่านั้น”

“มันเป็นศิลปะ ที่เธอเต้นมันเป็นศิลปะ” ธิดารีบเขยิบเข้ามาใกล้เอื้อยจนเธอผงะ

“ลีลาของเธอ ท่าทางการขยับร่างกายของเธอ สีหน้า แววตาของเธอ ยามที่เธออยู่บนเวทีนั่น เธอคือศิลปินที่กำลังสร้างงานศิลปะ !” คราวนี้ธิดาไม่พูด

เฉยๆ เธอใช้สองมือจับต้นแขนของเอื้อยแล้วบีบเบาๆ

“มันมีพลังมาก”

“มี...พลัง ?” เอื้อยรำพึงตามคำพูดของธิดา

“ใช่ มีพลังดึงดูดใจคนให้จ้องมองแต่เธอ” ธิดาปล่อยแขนจากเอื้อยแล้ววางผ้าขนหนูกับชุดนอนบนหน้าตัก “และตอนนี้พลังเธอกำลังจะหมด ดังนั้นเธอต้อง

การชาร์จพลัง โดยการไปอาบน้ำแล้วนอนซะ”

เอื้อยยิ้มกับคำพูดของหญิงสาว และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่เธออิจฉาธิดา สิ่งนี้สินะที่เป็นผลจากชีวิตที่เปี่ยมสุขของแม่สาวโลกสวยคนนี้ เธอมองทุกอย่าง

เป็นบวกไปหมด

แต่ธิดาพูดไม่ผิดเรื่องที่เธอเกิดมาเพื่อการเต้น อย่างน้อยสวรรค์ก็ไม่ได้ใจร้ายกับเธอไปเสียทุกอย่าง เพราะสวรรค์ยังมอบสิ่งที่ทำให้เธอมีความสุขกับมันบ้าง

ท่ามกลางชีวิตที่หมองหม่น แต่เธออยากขออะไรสวรรค์สักข้อ หากคนธรรมดาที่มีบาปติดตัวอย่างเธอสามารถขอได้ เธอจะขอให้เขาปลอดภัย ขอให้ชาย

หนุ่มเจ้าของรอยยิ้มที่สดใสคนนั้นปลอดภัย

ธิดาต้องจัดกระเป๋าแทนใบเดิมที่ติดไปกับรถคันนั้น นึกเสียดายข้าวของทุกอย่างที่เธอใส่มันลงไป ทั้งเสื้อผ้าและชุดนอนตัวโปรดอยู่ในนั้นหมด แต่สิ่งที่เธอ

ห่วงไม่ใช่กระเป๋าหรอก มันเป็นกระดาษแผ่นสำคัญแผ่นจิ๋วแผ่นนั้นต่างหาก แล้วยังกระดาษจดหมายของคุณดวงแขที่เธอเก็บไว้ที่ช่องเก็บของในรถอีกเล่า

ขอให้มันยังอยู่เถอะ โดยเฉพาะเจ้ากระดาษห่อหมากฝรั่งนั่น ถ้ามันหายไปล่ะก็ เธอคงโดนเพื่อนชายโกรธจนง้อยังไงก็ไม่หายแน่ๆ

พรุ่งนี้เธอจะไปทองผาภูมิกับเอื้อยและช่างบังเอิญเสียจริงที่จุดนัดพบตามแผนนั้นเป็นหมู่บ้านของหญิงสาวคนนี้  ธิดาบิดขี้เกียจล้มตัวลงนอน เธอพยายาม

ทบทวนความจำถึงข้อความที่อยู่ในกระดาษแผ่นนั้นอีกครั้ง

“ชื่อของคนห้าคน...ผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่บ้าน มีผู้ใหญ่บ้านด้วย อำพัน ที่อาจเป็นพ่อของเอื้อย มีชื่อคุณดวงแข ดังนั้นผู้ใหญ่บ้านที่ว่าก็คือผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้าน

ช้างแน่ๆ แล้วเจ้าป่าล่ะ เจ้าป่าคนนี้คือใครกัน... หักหลัง มีคำว่าหักหลังด้วยใช่ไหม...นางลาโพตาย นายทรงชัย...แค้น...ดารา พราวรัตติกาล”

เธอพยายามลำดับเหตุการณ์คล้ายว่ากำลังเล่นเกมนำคำมาสร้างประโยคให้ได้ใจความ เธอต้องนึกมันให้ออกเพราะอย่างน้อยถ้ากระดาษแผ่นนั้นหายไปเธอ

ก็ยังพอมีความทรงจำอยู่บ้าง

ธิดาคิดวนไปเวียนมาจนเธอเผลอหลับไป ในฝันนั้นเธอเห็นหญิงงามสะพรั่งคนหนึ่งกำลังส่งยิ้มให้เธอ

“มาเต้นรำกับฉันไหม”

“ไม่ค่ะ คุณดวงแข หนูดูคุณเต้นดีกว่า แต่ทำไมคุณดวงแขเต้นรำเก่งจัง”

“ฉันชอบเต้นรำ และฉันคือนักเต้น” สาวงามตอบแล้วเริงระบำรอบตัวของสาวน้อย ทุกย่างก้าวและการเคลื่อนไหวมีแสงระยิบระยับส่องประกายราวกับเธอ

เป็นนางฟ้า

“คุณดวงแขเป็นนางพยาบาลไม่ใช่หรือคะ”

“ไม่ ฉันชอบเต้นรำ และฉันเป็นนักเต้น”

  แล้วนักเต้นรำสาวงามคนนั้นค่อยๆ เลือนหายไปจากนิมิตของเธอ


******************



“ตกลงนายน้อยก็อยากรู้เรื่องของ...นายพนาด้วยหรือครับ” เพลงพิณถามพลางมัดปากกับมือและเท้าของทวีรัตน์ให้แน่นแล้วจับตัวประกันยัดใส่รถของธิดา

นึกยินดีที่ตรีรัตน์เลือกที่จะเอามอเตอร์ไซค์ไปแล้วทิ้งรถยนต์ไว้ แต่คนที่ไม่ยินดีด้วยคงเป็นชายหนุ่มหน้าหยกคนนั้นคนเดียวเสียกระมัง ก็เขาเห็นเฮียแกนั่ง

กับพื้นมองจอโทรศัพท์หน้านิ่งและสูบบุหรี่มวนต่อมวนแบบนั้นนานแล้ว

“จริงๆแล้ว ข้าอยากรู้เรื่องของคุณดวงแขมากกว่า แต่ถ้ารู้เรื่องเกี่ยวกับนายพนาด้วยก็อาจช่วยให้รู้จักคุณดวงแขมากขึ้น” ก้องปฐพีพูดพลางพ่นควันสีทุยไม่

ต่างจากผู้ชายที่ชื่อตฤณเลย

“แล้วเอ็งจะทำยังไงกับทวีรัตน์” นายน้อยพูดพลางพยักเพลิดไปทางตัวประกันของลูกน้อง ดูท่าทางมันอ่อนเปลี้ยเพลียแรงจนเขาอดสงสารไม่ได้

“ผมจะใช้มันเป็นตัวประกันจนกว่าเราจะถึงทองผาภูมิ พวกมันยังคงตามไล่ล่าผมอยู่ แล้วยิ่งถ้านายน้อยให้ผมเดินทางไปด้วยต้องยิ่งมีมันไว้กันภัย”

“ข้าว่ามันจะนำภัยมากกว่ากันภัยน่ะสิ เอ็งก็รู้ว่ามันเป็นลูกนายทรงชัย ข้ามีประเด็นกับทั้งพ่อและพี่ชายมันอยู่” ก้องปฐพีออกจะไม่เห็นด้วยที่ต้องลากทวีรัตน์

ไปไหนมาไหน แต่ถ้ามองในอีกมุม ทวีรัตน์ก็เป็นพยานปากเอกได้ในเรื่องอุบัติเหตุที่นายทรงชัยจงใจสร้างขึ้นมาเพื่อให้รถคนงานของชลธารคว่ำจนพนักงาน

ของเขาหลายคนได้รับบาดเจ็บเพียงแค่ต้องการฆ่าเพลงพิณคนเดียว

“เมื่อเราถึงทองผาภูมิเมื่อไหร่ เราจะส่งตัวมันให้ตำรวจ” ตฤณเอ่ยขึ้น เขาลุกขึ้นจากการพื้น


“เอ็งยังไม่ได้บอกข้าเลยว่า เอ็งจะไปทองผาภูมิทำไม” ก้องปฐพีถามคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบตั้งแต่เมื่อคืน

“ผมนัดกลางไว้ที่นั่น ที่หมู่บ้านของผู้หญิงที่ชื่อเอื้อย” เขาตอบแล้วเดินเข้าไปในรถเพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ ชายหนุ่มไม่วายมองหาเศษกระดาษแผ่นนั้น เผื่อ

ว่ามันจะตกอยู่ตามซอกหลืบที่ไหนสักแห่ง แม้แต่ช่องเก็บของก็มีเพียงแค่กระดาษแผ่นใหญ่หลายใบเท่านั้น  


“เอื้อย... ใช่เอื้อยคนที่เป็นโคโยตี้หรือเปล่า” เพลงพิณรีบถามด้วยความสนใจ

“ใช่ โคโยตี้สุดฮอตแห่งมูนไลท์ผับ”

“มูนไลท์ ?” เพลงพิณย่นคิ้ว เขาล้วงเอาไฟแช็คที่ยืมจากนายน้อยขึ้นมาดู แต่กลับโดนตฤณฉวยเอาไปจากมือ


“เอ็งเคยไปที่นี่ด้วยหรือ ทำไมมีไฟแช็คของผับ” เขาถามทันทีที่เห็นโลโกของผับดังกล่าว

“เปล่า ผมเคยไปที่นี่ แต่อันนี้พี่ธิดาเก็บได้ที่หลุมฝังศพของคุณดวงแข”


“เอ็งบอกว่าเจอคนที่มาไหว้หลุมฝังศพของคุณดวงแขใช่ไหม” ก้องปฐพีรีบเดินเข้ามาร่วมวง

“ใช่ เป็นผู้หญิงที่สวยมาก” เด็กหนุ่มตอบคำถามเจ้านายของเขา        

ก้องปฐพีนึกถึงเรืองที่เตชินพูด คุณดวงแขมีฝาแฝด และถ้าผู้หญิงคนนั้นคือฝาแฝดของคุณดวงแขล่ะ ถ้าจะให้รู้ก็ต้องถามไหมแก้วสินะ แต่เขายังย้อนกลับ


ไปหมู่บ้านช้างตอนนี้ไม่ได้แน่ แล้วเธอคนนั้นจะย้อนกลับมาที่หมู่บ้านช้างอีกเมื่อไหร่


“แล้วเขาก็มีไฟแช็คแบบเดียวกับอันนี้ด้วย”

“อะไรนะ !” สองชายหนุ่มพูดประสานเสียงแล้วมองหน้ากัน

ทั้งสองคนต่างมีคำถามที่เกิดขึ้นในใจแตกต่างกันไป สำหรับตฤณ มีคนที่มูนไลท์เดินทางไปที่หมู่บ้านช้างด้วยเหตุผลอะไร แต่สำหรับก้องปฐพี มูนไลท์คือ

สถานที่ที่เขาจะได้พบกับผู้หญิงที่เชื่อว่าเป็นแฝดกับดวงแข

ชายหนุ่มหยิบกระดาษที่เขาจดชื่อของฝาแฝดอีกคนที่เตชนเพิ่งให้ข้อมูลเมื่อคืน “ดุจดาว ทะหมุคู”

“แล้วคนไหนที่มีหัวใจด้านขวาวะ”

นี่ล่ะเป็นคำถามที่แม้แต่คุณอาเตชินก็ให้ข้อมูลไม่ได้ แต่เขาขอพับเรื่องนี้ก่อนตอนนี้คือต้องออกเดินทางไปทองผาภูมิเสียที อย่างน้อยก็คสดว่าเมื่อเขาถึง

ทองผาภูมิแล้ว เขาจะได้รู้เรื่องราวของนายพนาที่อาจทำให้รู้จักคุณดวงแขมากขึ้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่