ุ
ตอนก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ตอน 1
https://ppantip.com/topic/36536928
ตอน 2
https://ppantip.com/topic/36589707
ตอน 3
https://ppantip.com/topic/36598370
ตอนที่ 4
https://ppantip.com/topic/36606578
ตอนที่ 4
https://ppantip.com/topic/36619262
มายาพิศวาส
โดย ล. วิลิศมาหรา
6.
เธอกำลังฝันร้ายอีกแล้ว...มันต้องเป็นความฝันสิ ในเมื่อจู่ๆ ตัวเองก็โผล่เข้ามายืนอยู่ในที่ซึ่งมีแต่ความมืดห่อหุ้มปกคลุมอยู่โดยรอบ เหลือแสงสว่างไว้ตรงจุดที่เธอยืนอยู่เท่านั้น แต่ความสว่างนี้ก็ช่างแปลกประหลาด เพราะมันเหมือนถูกส่องลงมาจากข้างบน...ซึ่งเจ้าข้างบนนั่นเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร รู้เพียงแต่ว่าแสงสว่างที่ส่องลงมากระทบร่างนั้น มันสว่างแจ้งผิดปกติ รอบตัวเธอที่ลำแสงส่องไปถึงก็ดูขาวโพลนแปลกๆ ห่างออกไปภายใต้เงามืดก็ช่างเงียบเชียบ เงียบจนน่าขนลุก ไร้ซึ่งผู้คนหรือสิ่งของอย่างอื่น มีแต่เพียงตัวเธอที่ยืนโด่เด่อยู่กลางลำแสงเจิดจ้านี้เท่านั้น
“ลิล...ลิล”
ได้ยินเสียงเรียกชื่อเธอของผู้หญิง น้ำเสียงคุ้นหูแต่ยังนึกไม่ออกว่าเป็นเสียงเรียกของใคร
“ใคร...ใครเรียกฉัน”
“ฉันเอง”
ร่างสันทัดผมซอยสั้นเดินเข้ามาหาจากเงามืด รอยยิ้มละไมบนเรียวหน้าหมดจดของเพื่อนสาวดูสดใส
“อ้อ แกเองเหรอดา”กานดานั่นเอง ลลินียิ้มตอบเพื่อนรัก ยื่นสองมือออกไปกระชับกับมือเพื่อน
“เราอยู่ที่ไหนกันล่ะนี่”
หญิงสาวถามพลางหันมองไปรอบตัว สรรพสิ่งยังนิ่งสงบอยู่ในความมืดซึ่งเธอไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามีอะไรอยู่ข้างในเงามืดดำนั้นบ้าง เพราะนอกจากมืดแล้วมันยังเงียบ ไม่ได้ยินเสียงอะไรอื่นอีก ได้ยินเพียงเสียงพูดกับเสียงหายใจแรงๆ ของตัวเองกับเพื่อนเท่านั้น
“แกกลัวเหรอ”
แทนคำตอบ กานดาย้อนถามกลับ ลลินีหันมองซ้ายขวาอีกครั้งแล้วหันมาพยักหน้ารับกับเพื่อน นึกแปลกใจที่กานดาไม่ได้มีท่าทางสงสัยอะไรกับเหตุการณ์พิลึกนี่เลย หล่อนเดินออกมาจากข้างนอกนั่น...ใช่ ลลินีรู้สึกว่าหากพ้นไปจากแสงสว่างตรงนี้ ก็คล้ายกับหลุดออกไปข้างนอกที่ดำมืด ส่วนข้างในก็คือตรงที่เธอยืนอยู่ตรงนี้ ซึ่งขณะที่ตัวเองกำลังนึกประหวั่นพรั่นพรึง แต่ใบหน้าขาวสะอาดของเพื่อนรักกลับมองตอบมายิ้มๆ เหมือนเดิม
“กลัวสิแก ที่นี่มันคือที่ไหนกันแน่”
“เราอยู่ในความฝันของแก” หญิงสาวเบิกตาโตจ้องหน้าเพื่อน
“แกว่าไงนะดา แกว่าเราสองคนอยู่ในความฝันอย่างนั้นเหรอ”
อุทานถามสียงดัง กานดาพยักหน้ารับ น้ำเสียงแปลกขัดหูของเพื่อนทำให้หญิงสาวยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีก ท่าทีสดใสของกานดาเปลี่ยนเป็นสงบนิ่งและพูดด้วยเสียงราบเรียบต่อไปว่า
“ใช่ แกกำลังฝันอยู่ ลิล”
“พูดเป็นเล่นน่า ฝันอะไรกัน ก็เรากำลังยืนคุยกันอยู่นี่ แล้วฉันจะฝันได้ยังไง...” ค้านเพื่อนทั้งที่ใจหนึ่งก็ยอมรับเช่นกันว่าตัวเองคงกำลังฝันร้ายอีกแล้ว
“เราอยู่ที่ไหนล่ะ ลิล มองดูรอบๆ สิ ใช่ที่ ๆ แกเคยรู้จักหรือเปล่า”
คำพูดของเพื่อนตอกย้ำสิ่งที่ใจหนึ่งแอบคิด หญิงสาวหันไปมองรอบตัวใหม่แล้วก็เริ่มตัวสั่นเมื่อเห็นจริงอย่างที่เพื่อนว่า ที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนของเธอ ไม่ใช่บ้าน และไม่ใช่ที่ไหนสักที่ซึ่งเธอเคยผ่านตามาทั้งสิ้น ลลินีหันมาถามกานดาอย่างแตกตื่น
“ฉันคงกำลังฝันอยู่จริงๆ ดา แล้วถ้าฉันกำลังฝันอยู่ แล้ว...แล้วฉันจะออกจากความฝันได้ไหม ทำยังไงดี”
“แกตามฉันมาทางนี้”กานดาดึงมือเธอให้เดินตามออกมาจากใจกลางแสงสว่างประหลาด หล่อนกำลังจะพาเธอเดินเข้าสู่เงามืดข้างนอกนั้น
“อย่าไป คุณลิล”
นั่นเสียงใครอีกล่ะ...ลลินีหยุดฟัง ชะงักขืนตัวเอาไว้พลางหันไปมองตามเสียงห้าม
“หมอสันติ”เธอเรียกชื่อจิตแพทย์หนุ่มออกมาอย่างงุนงง ร่างผอมสูงในเครื่องแต่งกายของวันแรกที่พบกันยืนอยู่กลางแสงเจิดจ้านั่นตั้งแต่เมื่อไหร่เธอก็ไม่ทันสังเกตเห็น
“กลับมาครับ อย่าไปทางนั้น” น้ำเสียงจริงจังบอกเธอดังๆ ใบหน้าที่สวมแว่นสายตาพยักเรียก พร้อมยื่นมือข้างหนึ่งมาหาเหมือนรอรับ
“มาเถอะลิล อย่าเสียเวลาเลย”แต่กานดากลับไม่สนใจเขา พยายามดึงมือเธอให้เดินตามไป
“คุณลิล กลับมาครับ อย่าไปทางนั้น ไม่งั้นคุณจะหลงทาง”
ลลินีละล้าละลัง ความรู้สึกสับสนวุ่นวาย ข้างหน้าคือเพื่อนรักที่รักเธอมากและคอยช่วยเหลือดูแลเธอเสมอ ส่วนข้างหลังก็คือนายแพทย์ที่เธอเชื่อถือและไว้ใจ สองคนนี้กำลังชักชวนให้เธอไปคนละทาง หมอสันติยืนเด่นอยู่กลางแสงจ้า ส่วนกานดาชวนเธอให้เดินไปข้างหน้าเข้าสู่ความมืด
“ไปกันเถอะลิล ติดอยู่ตรงนั้นก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เสียเวลาเปล่าๆ ออกไปเผชิญหน้ากับความจริงให้มันรู้แล้วรู้รอด สิ้นสุดทุกอย่างด้วยตัวแกเองดีกว่า”
กานดากระตุกมือเธอเบาๆ เตือนให้ออกเดิน
“อ้าว แต่แกเป็นคนบอกให้ฉันไปหาหมอสันติเองนะ” ขืนตัวเอาไว้อีกครั้ง แล้วถามคนข้างหน้าอย่างคาใจ
“มันสายไปแล้วล่ะลิล แกไปไม่ทันเวลา ตอนนี้สิบหมอสันติก็ช่วยอะไรแกไม่ได้อีกแล้ว ต่อไปก็เป็นฉันนี่ล่ะจะช่วยแกเอง อย่ามัวชักช้าอยู่เลย มาเถอะ”
เมื่อถูกกานดาพูดกระตุ้นและดึงมืออีกครั้ง ลลินีจึงยอมออกก้าวเดินตามแต่โดยดี หญิงสาวหันกลับไปมองนายแพทย์ที่มองตามเธอมาอย่างสับสน แม้อยู่ไกลกันแต่ทำไมเธอถึงมองเห็นสายตาห่วงใยหลังกรอบแว่นนั้นได้อย่างชัดเจนก็ไม่รู้ ครั้นแล้วก็ต้องประหลาดใจที่อยู่ดีๆ ร่างของแพทย์หนุ่มก็เลือนหายไป
“ดา หมอหายไปแล้ว”
รีบกระตุกมือบอกเพื่อนพลางเหลียวเสาะหาร่างชายหนุ่มอย่างตื่นตะลึง แต่กานดาไม่โต้ตอบสักคำ หญิงสาวนึกเอะใจ จึงหันขวับกลับมาดูเพื่อน และแล้วก็ต้องใจหายวาบ เมื่อสิ่งที่เธอเจอนั้นมันคือความว่างเปล่า ร่างของกานดาเองก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย...นี่มันเกิดอะไรขึ้น
ฉับพลันรู้สึกผิดปกติขึ้นในร่างกาย มีบางอย่างกำลังเคลื่อนที่อยู่ในท้องของตัวเอง ลลินีก้มลงมองที่หน้าท้อง แล้วก็ต้องหวีดร้องออกมาจนสุดเสียง เมื่อเห็นบริเวณหน้าท้องโป่งนูนออก ยกมือตะปบไปที่หน้าท้องก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งข้างในนั้น ที่เหมือนกำลังจะดันตัวให้ทะลุหน้าท้องออกมา พลันก็เกิดอาการคลื่นเหียนอยากจะอาเจียน หญิงสาวพะอืดพะอมโก่งคออาเจียนออกมา แต่แล้วก็ต้องตกใจจนตาเหลือก เมื่อเห็นว่าตัวเองอาเจียนเป็นเลือดสดๆ กองใหญ่
“ไม่...ไม่จริง นี่มันเป็นแค่ความฝัน” ลลินีกรีดร้องดังลั่น
“ตื่นสิ ลิล ตื่นเสียที ตื่นจากฝันบ้าๆ นี่เดี๋ยวนี้”
ได้ยินเสียงกรีดร้องบอกตัวเองให้ตื่น แต่เลือดสดๆ ที่ทะลักออกมาจากปากอย่างไม่หยุดยั้งก็ทำให้เกิดสำลักขลุกขลัก
“ดา ดา แกอยู่ที่ไหน ช่วยฉันด้วย”
ซวนเซร่างไปมาพร้อมเปล่งเสียงร้องโหยหวนให้เพื่อนช่วยอีกครั้งก่อนล้มฟุบลงไป เลือดยังคงหลั่งไหลออกมาจากปาก รวมทั้งช่องทวารต่างๆของร่างกายทุกช่อง จนร่างเธอกลายเป็นก้อนเหลวจมอยู่ในกองเลือด เสียงกรีดร้องยังดังอยู่ไกลๆ ขณะที่เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมา!
ลลินีเดินเข้าห้องครัวมาหยุดยืนมองแผ่นหลังของเพื่อนสาวขยับเคลื่อนไหวขณะล้างจานชามที่แช่ค้างไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ถ้วยกาแฟควันกรุ่นตั้งรอพร้อมโดนัทสีสวย จานแอบเปิ้ลปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นพอคำ แล้วยังมีชามข้าวต้มส่งกลิ่นหอมฉุยวางเคียงกันอยู่บนโต๊ะทานข้าว
กานดาลงมือทำความสะอาดบ้านให้เธออีกตามเคย พร้อมทำอาหารเช้าให้เสร็จสรรพ เสียงลากเก้าอี้ออกนั่งทำให้ศีรษะที่มีผมซอยสั้นหันมามอง
“ตื่นแล้วเหรอแก เมื่อคืนเห็นหลับสนิทดีนี่ ฉันตื่นมาดูแกทีตอนประมาณตีสอง เห็นนอนหลับสบายกรนครอก ยาหมอสันติคงใช้ได้ดี”
ร่างในชุดเสื้อกางเกงนอนสีชมพูของเธอเองทักทาย กานดาไม่เคยนำเสื้อผ้าของตัวเองมาด้วยเวลามาค้างกับเธอที่นี่ หญิงสาวทั้งสองตัวเท่าๆ กัน จึงใส่เสื้อผ้าของอีกฝ่ายได้ แต่เห็นจะเป็นแค่ชุดนอนเท่านั้น ส่วนเสื้อผ้าอาภรณ์อื่นๆ เธอกับเพื่อนคนละรสนิยมกัน กานดาไม่มีวันยืมชุดกระโปรงหรือเสื้อยืดเข้ารูปของเธอใส่เด็ดขาด เพื่อนสาวห้าวถนัดใส่แต่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนส์แบบผู้ชาย
ลลินีพยักหน้ารับ แต่ก็บ่นถึงฝันร้ายเมื่อครู่
“แต่เมื่อกี้ฉันสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายอีกแล้ว พึ่งมาฝันเอาตอนใกล้แจ้ง”
เล่าให้เพื่อนฟังเพลียๆ ยกสองมือลูบใบหน้าตัวเองราวจะยืนยันว่าได้ตื่นจากความฝันนั้นแล้วจริงๆ
“หือ...งั้นยาก็ไม่ได้ผลละซี”
กานดาล้างจานใบสุดท้ายแล้วเช็ดมือเข้ากับผ้ากันเปื้อนก่อนปลดมันออก เดินถือถ้วยกาแฟที่ยังมีน้ำคาเฟอีนอยู่เต็มถ้วยมานั่งด้วย
“วันนี้ฉันว่าจะไปหาหมออีกที”ลลินีปรารภ
“ให้ฉันไปส่งมั้ยแก”
ซึ่งเพื่อนรักก็ถามทันที เธอเหลือบมองหน้าเพื่อนพร้อมอุ่นวาบขึ้นในใจ กานดาดีกับเธอเสมอต้นเสมอปลาย แรกรู้จักกันเคยดูแลใส่ใจอย่างไร ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม ในยามทุกข์ใจถ้าไม่มีเพื่อนคนนี้เธอก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร เพื่อนฝูงคนอื่นล้วนห่างเหินเพราะหลังแต่งงานตัวเองแทบจะไม่ติดต่อกับใครเลย รู้สึกเหมือนกับคนรู้จักทุกคนจะรู้เรื่องน่าอนาถต่างๆ ของเธอกันหมด และคงทนไม่ได้ถ้าหากจะมีใครพูดถึงมันขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องถูกพ่อเลี้ยงย่ำยี เรื่องเลิศภพกับวัลภา หรือเรื่องของแม่เธอ
ยกเว้นก็แต่กานดา...นี่ถ้าหากสลับร่างกันได้ระหว่างสาวทอมกับสามีเธอก็คงจะดีไม่น้อย ขณะนี้ลลินีเกิดความคิดแบบนี้ขึ้นมาจริงๆ เลิศภพไม่กลับมานอนที่บ้านตามคาด ซึ่งถ้าเมื่อคืนนี้ไม่ได้กานดามาอยู่เป็นเพื่อน เธอจะทำอย่างไรกัน ในสภาพที่จิตใจระทมทุกข์จนขาดวิ่น ปวดร้าวเจียนแหลกสลายแบบนั้น เผลอๆ อาจคิดกลับไปทำร้ายตัวเองเข้าอีกรอบก็ได้ แต่ถ้าเธอเกิดทำแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ แน่หรือว่าเลิศภพจะรู้สึกเสียใจเหมือนกับแต่ก่อน บางทีสามีเธออาจอยากให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นมาอีกเสียด้วยซ้ำไป เขาถึงได้ปล่อยเธอไว้ตามลำพังอย่างไม่นึกเป็นห่วงเช่นนี้ คิดขึ้นมาแล้วก็น้ำตาคลอ
“ท่าทางแกไม่ดีเลยนะลิล ปวดหัวหรือเปล่า”
อีกฝ่ายก็คงสังเกตเห็นจึงวางถ้วยกาแฟลง โดยยังไม่ได้จิบมันแม้สักอึกเดียว มือนุ่มยื่นมากุมมือเธอไว้อย่างห่วงใย รับรู้ถึงกำลังใจที่แล่นผ่านมือนั้นจนถึงตัวเธอ ส่ายหน้าปฏิเสธแล้วฝืนยิ้ม กานดาก็ยิ้มตอบ ชะโงกหน้าเข้ามาจนใกล้ ดวงตาเปล่งประกายกล้าขณะจ้องเข้าไปในตาเธอ
“แกต้องเข้มแข็งนะ นังลิล ฉันเชื่อว่าเราจะผ่านเรื่องร้ายๆ นี้ไปได้ จริงไหม”
“ช่วยกอดฉันที” กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่กับท่าทีแบบนั้นของเพื่อน สองแขนชูอ้าออกอย่างโหยหา
“กอดฉันให้แน่นๆนะดา”
บอกทั้งสะอื้นไห้ รู้ว่าเพื่อนจะต้องเดินอ้อมโต๊ะมาหาแล้วโอบกอดเธอไว้ในวงแขน กดศีรษะให้แนบกับอกอุ่น ซึมซับน้ำตาเธอด้วยผิวกายที่ระอุไปด้วยความรักที่แล่นไปตามกระแสโลหิต
“นิ่งซะ ฉันอยู่นี่แล้ว ฉันจะช่วยแกเอง ไม่ต้องห่วงนะเพื่อน”
นิศานาถสังเกตสีหน้าท่าทางของหญิงสาวตรงหน้าอย่างนึกเห็นใจ ผู้หญิงตัวเล็กๆ บอบบาง ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารัก เว้นแต่มีดวงตากลมโตหวานซึ้งที่มักแฝงแววหม่นหมองอยู่เป็นนิจ วันนี้เธอมาพบจิตแพทย์เป็นครั้งที่สอง รับรู้จากการพูดคุยระหว่างซักประวัติว่าเธอยังเกิดฝันร้าย และปัญหาในชีวิตสมรสก็ยังไม่คลี่คลาย วันนี้สามีของเธอไปต่างจังหวัดกับคู่ขาอีกแล้ว ซึ่งคงเป็นเพราะสาเหตุนี้ ฝันร้ายของเธอเมื่อคืนจึงทวีความน่ากลัว เพราะกลไกปกป้องทางจิตทำหน้าที่อย่างหนัก เวลาขณะนี้ใกล้จะปิดคลินิกจึงไม่มีคนไข้คนอื่นเหลืออีก ผู้ช่วยสาวรุ่นอีกคนกำลังลุกไปตรวจตราความเรียบร้อยข้างในห้องตรวจและสนทนากับจิตแพทย์
(มีต่อ)
มายาพิศวาส ตอนที่ 6
ตอนก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
โดย ล. วิลิศมาหรา
6.
เธอกำลังฝันร้ายอีกแล้ว...มันต้องเป็นความฝันสิ ในเมื่อจู่ๆ ตัวเองก็โผล่เข้ามายืนอยู่ในที่ซึ่งมีแต่ความมืดห่อหุ้มปกคลุมอยู่โดยรอบ เหลือแสงสว่างไว้ตรงจุดที่เธอยืนอยู่เท่านั้น แต่ความสว่างนี้ก็ช่างแปลกประหลาด เพราะมันเหมือนถูกส่องลงมาจากข้างบน...ซึ่งเจ้าข้างบนนั่นเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร รู้เพียงแต่ว่าแสงสว่างที่ส่องลงมากระทบร่างนั้น มันสว่างแจ้งผิดปกติ รอบตัวเธอที่ลำแสงส่องไปถึงก็ดูขาวโพลนแปลกๆ ห่างออกไปภายใต้เงามืดก็ช่างเงียบเชียบ เงียบจนน่าขนลุก ไร้ซึ่งผู้คนหรือสิ่งของอย่างอื่น มีแต่เพียงตัวเธอที่ยืนโด่เด่อยู่กลางลำแสงเจิดจ้านี้เท่านั้น
“ลิล...ลิล”
ได้ยินเสียงเรียกชื่อเธอของผู้หญิง น้ำเสียงคุ้นหูแต่ยังนึกไม่ออกว่าเป็นเสียงเรียกของใคร
“ใคร...ใครเรียกฉัน”
“ฉันเอง”
ร่างสันทัดผมซอยสั้นเดินเข้ามาหาจากเงามืด รอยยิ้มละไมบนเรียวหน้าหมดจดของเพื่อนสาวดูสดใส
“อ้อ แกเองเหรอดา”กานดานั่นเอง ลลินียิ้มตอบเพื่อนรัก ยื่นสองมือออกไปกระชับกับมือเพื่อน
“เราอยู่ที่ไหนกันล่ะนี่”
หญิงสาวถามพลางหันมองไปรอบตัว สรรพสิ่งยังนิ่งสงบอยู่ในความมืดซึ่งเธอไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามีอะไรอยู่ข้างในเงามืดดำนั้นบ้าง เพราะนอกจากมืดแล้วมันยังเงียบ ไม่ได้ยินเสียงอะไรอื่นอีก ได้ยินเพียงเสียงพูดกับเสียงหายใจแรงๆ ของตัวเองกับเพื่อนเท่านั้น
“แกกลัวเหรอ”
แทนคำตอบ กานดาย้อนถามกลับ ลลินีหันมองซ้ายขวาอีกครั้งแล้วหันมาพยักหน้ารับกับเพื่อน นึกแปลกใจที่กานดาไม่ได้มีท่าทางสงสัยอะไรกับเหตุการณ์พิลึกนี่เลย หล่อนเดินออกมาจากข้างนอกนั่น...ใช่ ลลินีรู้สึกว่าหากพ้นไปจากแสงสว่างตรงนี้ ก็คล้ายกับหลุดออกไปข้างนอกที่ดำมืด ส่วนข้างในก็คือตรงที่เธอยืนอยู่ตรงนี้ ซึ่งขณะที่ตัวเองกำลังนึกประหวั่นพรั่นพรึง แต่ใบหน้าขาวสะอาดของเพื่อนรักกลับมองตอบมายิ้มๆ เหมือนเดิม
“กลัวสิแก ที่นี่มันคือที่ไหนกันแน่”
“เราอยู่ในความฝันของแก” หญิงสาวเบิกตาโตจ้องหน้าเพื่อน
“แกว่าไงนะดา แกว่าเราสองคนอยู่ในความฝันอย่างนั้นเหรอ”
อุทานถามสียงดัง กานดาพยักหน้ารับ น้ำเสียงแปลกขัดหูของเพื่อนทำให้หญิงสาวยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีก ท่าทีสดใสของกานดาเปลี่ยนเป็นสงบนิ่งและพูดด้วยเสียงราบเรียบต่อไปว่า
“ใช่ แกกำลังฝันอยู่ ลิล”
“พูดเป็นเล่นน่า ฝันอะไรกัน ก็เรากำลังยืนคุยกันอยู่นี่ แล้วฉันจะฝันได้ยังไง...” ค้านเพื่อนทั้งที่ใจหนึ่งก็ยอมรับเช่นกันว่าตัวเองคงกำลังฝันร้ายอีกแล้ว
“เราอยู่ที่ไหนล่ะ ลิล มองดูรอบๆ สิ ใช่ที่ ๆ แกเคยรู้จักหรือเปล่า”
คำพูดของเพื่อนตอกย้ำสิ่งที่ใจหนึ่งแอบคิด หญิงสาวหันไปมองรอบตัวใหม่แล้วก็เริ่มตัวสั่นเมื่อเห็นจริงอย่างที่เพื่อนว่า ที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนของเธอ ไม่ใช่บ้าน และไม่ใช่ที่ไหนสักที่ซึ่งเธอเคยผ่านตามาทั้งสิ้น ลลินีหันมาถามกานดาอย่างแตกตื่น
“ฉันคงกำลังฝันอยู่จริงๆ ดา แล้วถ้าฉันกำลังฝันอยู่ แล้ว...แล้วฉันจะออกจากความฝันได้ไหม ทำยังไงดี”
“แกตามฉันมาทางนี้”กานดาดึงมือเธอให้เดินตามออกมาจากใจกลางแสงสว่างประหลาด หล่อนกำลังจะพาเธอเดินเข้าสู่เงามืดข้างนอกนั้น
“อย่าไป คุณลิล”
นั่นเสียงใครอีกล่ะ...ลลินีหยุดฟัง ชะงักขืนตัวเอาไว้พลางหันไปมองตามเสียงห้าม
“หมอสันติ”เธอเรียกชื่อจิตแพทย์หนุ่มออกมาอย่างงุนงง ร่างผอมสูงในเครื่องแต่งกายของวันแรกที่พบกันยืนอยู่กลางแสงเจิดจ้านั่นตั้งแต่เมื่อไหร่เธอก็ไม่ทันสังเกตเห็น
“กลับมาครับ อย่าไปทางนั้น” น้ำเสียงจริงจังบอกเธอดังๆ ใบหน้าที่สวมแว่นสายตาพยักเรียก พร้อมยื่นมือข้างหนึ่งมาหาเหมือนรอรับ
“มาเถอะลิล อย่าเสียเวลาเลย”แต่กานดากลับไม่สนใจเขา พยายามดึงมือเธอให้เดินตามไป
“คุณลิล กลับมาครับ อย่าไปทางนั้น ไม่งั้นคุณจะหลงทาง”
ลลินีละล้าละลัง ความรู้สึกสับสนวุ่นวาย ข้างหน้าคือเพื่อนรักที่รักเธอมากและคอยช่วยเหลือดูแลเธอเสมอ ส่วนข้างหลังก็คือนายแพทย์ที่เธอเชื่อถือและไว้ใจ สองคนนี้กำลังชักชวนให้เธอไปคนละทาง หมอสันติยืนเด่นอยู่กลางแสงจ้า ส่วนกานดาชวนเธอให้เดินไปข้างหน้าเข้าสู่ความมืด
“ไปกันเถอะลิล ติดอยู่ตรงนั้นก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เสียเวลาเปล่าๆ ออกไปเผชิญหน้ากับความจริงให้มันรู้แล้วรู้รอด สิ้นสุดทุกอย่างด้วยตัวแกเองดีกว่า”
กานดากระตุกมือเธอเบาๆ เตือนให้ออกเดิน
“อ้าว แต่แกเป็นคนบอกให้ฉันไปหาหมอสันติเองนะ” ขืนตัวเอาไว้อีกครั้ง แล้วถามคนข้างหน้าอย่างคาใจ
“มันสายไปแล้วล่ะลิล แกไปไม่ทันเวลา ตอนนี้สิบหมอสันติก็ช่วยอะไรแกไม่ได้อีกแล้ว ต่อไปก็เป็นฉันนี่ล่ะจะช่วยแกเอง อย่ามัวชักช้าอยู่เลย มาเถอะ”
เมื่อถูกกานดาพูดกระตุ้นและดึงมืออีกครั้ง ลลินีจึงยอมออกก้าวเดินตามแต่โดยดี หญิงสาวหันกลับไปมองนายแพทย์ที่มองตามเธอมาอย่างสับสน แม้อยู่ไกลกันแต่ทำไมเธอถึงมองเห็นสายตาห่วงใยหลังกรอบแว่นนั้นได้อย่างชัดเจนก็ไม่รู้ ครั้นแล้วก็ต้องประหลาดใจที่อยู่ดีๆ ร่างของแพทย์หนุ่มก็เลือนหายไป
“ดา หมอหายไปแล้ว”
รีบกระตุกมือบอกเพื่อนพลางเหลียวเสาะหาร่างชายหนุ่มอย่างตื่นตะลึง แต่กานดาไม่โต้ตอบสักคำ หญิงสาวนึกเอะใจ จึงหันขวับกลับมาดูเพื่อน และแล้วก็ต้องใจหายวาบ เมื่อสิ่งที่เธอเจอนั้นมันคือความว่างเปล่า ร่างของกานดาเองก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย...นี่มันเกิดอะไรขึ้น
ฉับพลันรู้สึกผิดปกติขึ้นในร่างกาย มีบางอย่างกำลังเคลื่อนที่อยู่ในท้องของตัวเอง ลลินีก้มลงมองที่หน้าท้อง แล้วก็ต้องหวีดร้องออกมาจนสุดเสียง เมื่อเห็นบริเวณหน้าท้องโป่งนูนออก ยกมือตะปบไปที่หน้าท้องก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งข้างในนั้น ที่เหมือนกำลังจะดันตัวให้ทะลุหน้าท้องออกมา พลันก็เกิดอาการคลื่นเหียนอยากจะอาเจียน หญิงสาวพะอืดพะอมโก่งคออาเจียนออกมา แต่แล้วก็ต้องตกใจจนตาเหลือก เมื่อเห็นว่าตัวเองอาเจียนเป็นเลือดสดๆ กองใหญ่
“ไม่...ไม่จริง นี่มันเป็นแค่ความฝัน” ลลินีกรีดร้องดังลั่น
“ตื่นสิ ลิล ตื่นเสียที ตื่นจากฝันบ้าๆ นี่เดี๋ยวนี้”
ได้ยินเสียงกรีดร้องบอกตัวเองให้ตื่น แต่เลือดสดๆ ที่ทะลักออกมาจากปากอย่างไม่หยุดยั้งก็ทำให้เกิดสำลักขลุกขลัก
“ดา ดา แกอยู่ที่ไหน ช่วยฉันด้วย”
ซวนเซร่างไปมาพร้อมเปล่งเสียงร้องโหยหวนให้เพื่อนช่วยอีกครั้งก่อนล้มฟุบลงไป เลือดยังคงหลั่งไหลออกมาจากปาก รวมทั้งช่องทวารต่างๆของร่างกายทุกช่อง จนร่างเธอกลายเป็นก้อนเหลวจมอยู่ในกองเลือด เสียงกรีดร้องยังดังอยู่ไกลๆ ขณะที่เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมา!
ลลินีเดินเข้าห้องครัวมาหยุดยืนมองแผ่นหลังของเพื่อนสาวขยับเคลื่อนไหวขณะล้างจานชามที่แช่ค้างไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ถ้วยกาแฟควันกรุ่นตั้งรอพร้อมโดนัทสีสวย จานแอบเปิ้ลปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นพอคำ แล้วยังมีชามข้าวต้มส่งกลิ่นหอมฉุยวางเคียงกันอยู่บนโต๊ะทานข้าว
กานดาลงมือทำความสะอาดบ้านให้เธออีกตามเคย พร้อมทำอาหารเช้าให้เสร็จสรรพ เสียงลากเก้าอี้ออกนั่งทำให้ศีรษะที่มีผมซอยสั้นหันมามอง
“ตื่นแล้วเหรอแก เมื่อคืนเห็นหลับสนิทดีนี่ ฉันตื่นมาดูแกทีตอนประมาณตีสอง เห็นนอนหลับสบายกรนครอก ยาหมอสันติคงใช้ได้ดี”
ร่างในชุดเสื้อกางเกงนอนสีชมพูของเธอเองทักทาย กานดาไม่เคยนำเสื้อผ้าของตัวเองมาด้วยเวลามาค้างกับเธอที่นี่ หญิงสาวทั้งสองตัวเท่าๆ กัน จึงใส่เสื้อผ้าของอีกฝ่ายได้ แต่เห็นจะเป็นแค่ชุดนอนเท่านั้น ส่วนเสื้อผ้าอาภรณ์อื่นๆ เธอกับเพื่อนคนละรสนิยมกัน กานดาไม่มีวันยืมชุดกระโปรงหรือเสื้อยืดเข้ารูปของเธอใส่เด็ดขาด เพื่อนสาวห้าวถนัดใส่แต่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนส์แบบผู้ชาย
ลลินีพยักหน้ารับ แต่ก็บ่นถึงฝันร้ายเมื่อครู่
“แต่เมื่อกี้ฉันสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายอีกแล้ว พึ่งมาฝันเอาตอนใกล้แจ้ง”
เล่าให้เพื่อนฟังเพลียๆ ยกสองมือลูบใบหน้าตัวเองราวจะยืนยันว่าได้ตื่นจากความฝันนั้นแล้วจริงๆ
“หือ...งั้นยาก็ไม่ได้ผลละซี”
กานดาล้างจานใบสุดท้ายแล้วเช็ดมือเข้ากับผ้ากันเปื้อนก่อนปลดมันออก เดินถือถ้วยกาแฟที่ยังมีน้ำคาเฟอีนอยู่เต็มถ้วยมานั่งด้วย
“วันนี้ฉันว่าจะไปหาหมออีกที”ลลินีปรารภ
“ให้ฉันไปส่งมั้ยแก”
ซึ่งเพื่อนรักก็ถามทันที เธอเหลือบมองหน้าเพื่อนพร้อมอุ่นวาบขึ้นในใจ กานดาดีกับเธอเสมอต้นเสมอปลาย แรกรู้จักกันเคยดูแลใส่ใจอย่างไร ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม ในยามทุกข์ใจถ้าไม่มีเพื่อนคนนี้เธอก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร เพื่อนฝูงคนอื่นล้วนห่างเหินเพราะหลังแต่งงานตัวเองแทบจะไม่ติดต่อกับใครเลย รู้สึกเหมือนกับคนรู้จักทุกคนจะรู้เรื่องน่าอนาถต่างๆ ของเธอกันหมด และคงทนไม่ได้ถ้าหากจะมีใครพูดถึงมันขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องถูกพ่อเลี้ยงย่ำยี เรื่องเลิศภพกับวัลภา หรือเรื่องของแม่เธอ
ยกเว้นก็แต่กานดา...นี่ถ้าหากสลับร่างกันได้ระหว่างสาวทอมกับสามีเธอก็คงจะดีไม่น้อย ขณะนี้ลลินีเกิดความคิดแบบนี้ขึ้นมาจริงๆ เลิศภพไม่กลับมานอนที่บ้านตามคาด ซึ่งถ้าเมื่อคืนนี้ไม่ได้กานดามาอยู่เป็นเพื่อน เธอจะทำอย่างไรกัน ในสภาพที่จิตใจระทมทุกข์จนขาดวิ่น ปวดร้าวเจียนแหลกสลายแบบนั้น เผลอๆ อาจคิดกลับไปทำร้ายตัวเองเข้าอีกรอบก็ได้ แต่ถ้าเธอเกิดทำแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ แน่หรือว่าเลิศภพจะรู้สึกเสียใจเหมือนกับแต่ก่อน บางทีสามีเธออาจอยากให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นมาอีกเสียด้วยซ้ำไป เขาถึงได้ปล่อยเธอไว้ตามลำพังอย่างไม่นึกเป็นห่วงเช่นนี้ คิดขึ้นมาแล้วก็น้ำตาคลอ
“ท่าทางแกไม่ดีเลยนะลิล ปวดหัวหรือเปล่า”
อีกฝ่ายก็คงสังเกตเห็นจึงวางถ้วยกาแฟลง โดยยังไม่ได้จิบมันแม้สักอึกเดียว มือนุ่มยื่นมากุมมือเธอไว้อย่างห่วงใย รับรู้ถึงกำลังใจที่แล่นผ่านมือนั้นจนถึงตัวเธอ ส่ายหน้าปฏิเสธแล้วฝืนยิ้ม กานดาก็ยิ้มตอบ ชะโงกหน้าเข้ามาจนใกล้ ดวงตาเปล่งประกายกล้าขณะจ้องเข้าไปในตาเธอ
“แกต้องเข้มแข็งนะ นังลิล ฉันเชื่อว่าเราจะผ่านเรื่องร้ายๆ นี้ไปได้ จริงไหม”
“ช่วยกอดฉันที” กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่กับท่าทีแบบนั้นของเพื่อน สองแขนชูอ้าออกอย่างโหยหา
“กอดฉันให้แน่นๆนะดา”
บอกทั้งสะอื้นไห้ รู้ว่าเพื่อนจะต้องเดินอ้อมโต๊ะมาหาแล้วโอบกอดเธอไว้ในวงแขน กดศีรษะให้แนบกับอกอุ่น ซึมซับน้ำตาเธอด้วยผิวกายที่ระอุไปด้วยความรักที่แล่นไปตามกระแสโลหิต
“นิ่งซะ ฉันอยู่นี่แล้ว ฉันจะช่วยแกเอง ไม่ต้องห่วงนะเพื่อน”
นิศานาถสังเกตสีหน้าท่าทางของหญิงสาวตรงหน้าอย่างนึกเห็นใจ ผู้หญิงตัวเล็กๆ บอบบาง ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารัก เว้นแต่มีดวงตากลมโตหวานซึ้งที่มักแฝงแววหม่นหมองอยู่เป็นนิจ วันนี้เธอมาพบจิตแพทย์เป็นครั้งที่สอง รับรู้จากการพูดคุยระหว่างซักประวัติว่าเธอยังเกิดฝันร้าย และปัญหาในชีวิตสมรสก็ยังไม่คลี่คลาย วันนี้สามีของเธอไปต่างจังหวัดกับคู่ขาอีกแล้ว ซึ่งคงเป็นเพราะสาเหตุนี้ ฝันร้ายของเธอเมื่อคืนจึงทวีความน่ากลัว เพราะกลไกปกป้องทางจิตทำหน้าที่อย่างหนัก เวลาขณะนี้ใกล้จะปิดคลินิกจึงไม่มีคนไข้คนอื่นเหลืออีก ผู้ช่วยสาวรุ่นอีกคนกำลังลุกไปตรวจตราความเรียบร้อยข้างในห้องตรวจและสนทนากับจิตแพทย์
(มีต่อ)