47
ทางเดินสายเปลี่ยว
โดย ฮาร์โมนิก้า
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าจนมืดมิดเหนือที่ราบมาราโธนาสแลเห็นได้จากหน้าต่างห้องนอนบานยาว
สรรพสิ่งดูจะเงียบงันไปพร้อมกับเสียงหายใจแผ่วที่เลือนหายไปพร้อมกับร่างที่แม้จะยังอุ่นแต่ไร้ชีวิตและกำลังค่อยๆ
เย็นชืดลงทุกขณะ เสียงสะอื้นเบาๆ ที่ดังพอได้ยินยามเงี่ยหูแนบกับประตูห้องนอนขนาดกว้างใหญ่นั้นบอกถึงความเศร้า
เสทือนใจอย่างสุดแสนของผู้ที่รับภาระอยู่เบื้องหลัง
ลียานเดอร์เดินเข้ามาในห้องที่เวลานี้ปกคลุมด้วยความมืดมีเพียงแสงสลัวหม่นจากทางเดินหน้าห้องน้ำส่องให้เห็นภาพ
ตะคุ่มที่นิ่งสนิทของปู่หลานต่างเชื้อชาติ หลานชายวัยย่างสามสิบเจ็ดปีนั่งเฝ้าร่างที่ไร้วิญญาณของปู่ต่างสายเลือดและ
ต่างเชื้อชาติหากแต่ดวงใจผูกพันกันเหนียวแน่นด้วยสายสัมพันธ์ฉันปู่หลานมาร่วมสามสิบเอ็ดปี
พ่อบ้านเก่าแก่เดินเข้ามายืนที่เบื้องหลังเจ้านายหนุ่มเงียบๆ คอยจนชายหนุ่มรู้สึกตัวและเก็บกลั้นสะอื้นได้เมื่อรู้ว่ามีผู้อื่น
อยู่ในที่นั้นด้วยนั่นล่ะ ลียานเดอร์จึงยกมือขึ้นแตะเบาๆ ที่ไหล่อย่างปลอบประโลม
“เราคงต้องแจ้งแพทย์ให้กลับมาดูแล้วครับคิริโยส จะได้ระบุเวลาที่ท่านเสียอย่างแน่ชัดในใบมรณะ” คำพูดที่แม้จะกล่าว
ด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นเห็นใจหากเนื้อความเป็นงานเป็นการนั้นดึงสติของกฤชให้กลับคืนมาอีกครั้ง ชายหนุ่มพยักหน้าช้าๆ
ใช้มือปาดน้ำตาออกจากใบหน้าเร็วๆ
“ขอเวลาฉันอยู่กับปู่จนกว่าหมอจะมาแล้วกันลียานเดอร์” เสียงพูดแม้จะเข้มแข็งทว่าเนื้อเสียงสั่นเสทือนขึ้นมาก บ่งบอก
อารมณ์อ่อนไหวไม่ปกติของเจ้านายหนุ่มที่มีเหลืออยู่เพียงคนเดียวของบ้านอนาโตลาคิส
“ได้ครับ จะให้ผมแจ้งมาดามคาร์ล่าด้วยมั้ยครับ”
กฤชลังเลนิดหนึ่งก่อนพยักหน้า “ได้ แต่รอให้หมอมาก่อน ค่อยบอกก็ได้ ตอนนี้ขอฉันอยู่เงียบๆ กับปู่ก่อน”
“ครับ คิริโยส” ลียานเดอร์กล่าว เขาเปิดไฟหรี่ไว้อ่อนๆ พอให้มองเห็นภายในห้อง ก่อนจะถอยออกจากห้องและปิดประตู
ทิ้งชายหนุ่มให้จมอยู่กับความโศกเศร้าตามลำพัง
กฤชยกมือขึ้นลูบเปลือกตาของปู่เบาๆ ก้มลงจุมพิตที่หน้าผากก่อนจะวางมือที่บัดนี้เย็นชืดของปู่ซึ่งเขาอาศัยเกาะกุมไว้อยู่
นานลงบนอกของท่าน จัดผ้าห่มให้จนถึงไหล่ยืนขึ้นทอดสายตามองร่างที่เคยสง่างามแต่บัดนี้กลับไร้ชีวิตนั้นอย่างแสนเศร้า
สร้อย ความรู้สึกเปลี่ยวเหงาอ้างว้างกำลังจู่โจมจิตใจที่เคยเข้มแข็งของชายหนุ่มอย่างรุนแรง
“ลาก่อนครับปู่”
เขายกมือขึ้นป้ายน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาอีกครั้งก่อนจะตัดใจเดินผละจากปู่ออกจากห้องนั้นไปในที่สุด
กฤชจมอยู่กับความทุกข์และความรู้สึกไร้จุดหมายในชีวิตอยู่ตลอดวันเต็มๆ ไม่มีอารมณ์จะทำอะไร ไม่รู้ว่าทรัพย์สมบัติที่มี
ทั้งหมดนี้จะมีไว้เพื่ออะไร ในเมื่อเวลานี้ไม่มีใครในตระกูลซึ่งเขาเคยใช้เป็นหลักพึ่งพิงทางใจมาตลอดชีวิตเหลืออยู่อีกแล้ว
แม่เวลานี้ก็เป็นของคนอื่นไปแล้ว อเล็กซิสก็ไม่รู้อยู่ที่ไหน และอนาสเตเซียผู้เป็นที่รักก็เสียชีวิตไปอย่างน่าเวทนา
จริงสิ เขายังต้องสะสางชำระหนี้แค้นให้อนาสเตเซีย จะปล่อยให้คนชั่วลอยนวลไปไม่ได้ แต่แม้จะคิดได้แบบนั้นเวลานี้เขา
ก็รู้สึกอ่อนแอและอ้างว้างเหลือเกิน
ชายหนุ่มกระดกบรั่นดีเพียวๆ เป็นแก้วที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ เขากำลังนั่งจมกับความเศร้าอยู่ตามลำพังในช่วงหัวค่ำหลังจาก
ปฏิเสธดินเนอร์ที่ลียานเดอร์เข้ามาเรียก ปล่อยให้กมลารับประทานตามลำพังคนเดียว กมลารับปากแล้วว่าหลังพิธีศพของ
สตีลียานอสหล่อนจะไปเข้ารับการบำบัดจากการติดยาเสพย์ติดและการพนัน และจะไม่อยู่ร่วมพิธีฝังซึ่งยังต้องรออีกสี่สิบวัน
กฤชรู้ว่ายังมีอะไรที่เขาต้องจัดการสะสางอีกมากเพราะแม้ปู่จะจากไปแต่ชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาและคนอื่นๆ ยังต้องดำเนิน
ต่อไป หากแต่เวลานี้เขาอยากจะปล่อยใจให้จมอยู่กับความทุกข์เศร้าส่วนตัว ขอเพียงวันนี้ที่จะขออ่อนแอเป็นคนธรรมดาที่
สูญเสียหลักยึดในชีวิตไปสักครั้ง
“ดื่มด้วยได้มั้ยคะ” เสียงคุ้นหูดังขึ้นเบื้องหลังทำให้กฤชหันไปมอง
ดาฟเน่เดินเข้ามารินบรั่นดีใส่แก้วแล้วนั่งลงดื่มข้างๆ “รับไม่ได้หรือคะคริส ที่เหมือนจะได้เห็นความล่มสลายของตระกูลอนา
โตลาคิสและคิริยาคอส”
กฤชนิ่วหน้ากับคำกล่าวนั้น
“ตระกูลอนาโตลาคิสยังมีคุณอยู่ ไม่ล่มสลายไปไหนหรอกค่ะเว้นแต่คุณจะอ่อนแอจมอยู่กับความเศร้าจากการสูญเสียหลักยึด
ทางใจที่คุณแอบใช้เป็นที่พึ่งพิงมาแต่เด็ก”
ดาฟเน่กล่าวพร้อมกับเอื้อมมือมาจับมือที่เตรียมกระดกเหล้าในแก้วเข้าปากอีกครั้ง “หยุดเถอะค่ะคริส คุณดื่มเยอะแล้ว คุณอาจ
คิดว่าคุณกำลังเสียใจและต้องการมันเพียงช่วงไม่กี่วัน แต่มันจะทำให้คุณติดและหากเป็นแบบนี้ต่อไปคุณจะเริ่มดื่มไปเรื่อยๆ ใน
ปริมาณที่มากขึ้น และจะเริ่มผลัดวันที่จะหยุดดื่มไปเรื่อยๆ ด้วย”
คำพูดเตือนสติของดาฟเน่สร้างความประหลาดใจแกมงุนงงให้กฤช จริงของเธอ เขาดื่มหนักมาตลอดทั้งคืน แม้จะคิดว่าพรุ่งนี้จะ
ไม่ดื่มแล้วแต่ใครจะรับประกันได้ว่าเขาจะเลิกได้จริง คนติดเหล้ามากมายที่เริ่มต้นไม่ต่างจากเขา ดื่มให้ลืมความทุกข์แค่ชั่วครู่แล้ว
ก็กลายเป็นหยุดไม่ได้จนต้องตกเป็นทาสของน้ำเมา
กฤชตัดสินใจในวินาทีนั้นวางเหล้าแก้วนั้นลงด้วยมือที่แม้จะสั่นนิดๆ แต่มั่นคง เขายิ้มหยันให้กับเหล้าแก้วนั้น ก่อนจะหันมาสบตา
ดาฟเน่เพื่อกล่าวขอบคุณที่เตือนสติ ตาสบตาในระยะประชิด ดวงตาสีน้ำเงินเข้มประดับบนใบหน้าสวยคม ประกายตาบางอย่างดึงให้
กฤชสะดุดมอง เขาหรี่ตาลงนิดหนึ่งก่อนที่อารมณ์บางอย่างในตัวจะผลักดันให้ก้มลงประทับจุมพิตบนเรียวปากแดงของหญิงสาวข้างๆ
ราวกับไฟที่ทิ้งลงบนน้ำมัน อารมณ์พิศวาสของทั้งคู่ลุกพรึ่บ กฤชรับรู้ถึงการตอบสนองที่ร้อนแรงพอกันของดาฟเน่ ร่างสูงใหญ่ของเขา
กอดกระชับร่างสูงเพรียวของเธอไว้ และเริ่มดันให้เอนลงนอนกับโซฟายาวที่นั่งอยู่ด้วยกัน ริมฝีปากประทับจุมพิตร้อนแรงดูดดื่มด้วย
แรงอารมณ์อย่างยากจะไถ่ถอน ชายหนุ่มหอบหายใจกระเส่าเมื่อถอนจุมพิตออกจากริมฝีปากเรียวบางนั้น ก่อนจะเลื่อนไปหยุดที่ริมหู
กระซิบแผ่วด้วยน้ำเสียงแหบพร่าที่ฟังราวกับวิงวอน
“อัณญ่า ผมรักคุณ อย่าจากผมไปไหนอีกนะผมรักคุณ อัณญ่า”
ดาฟเน่ผลักกฤชออกทันทีก่อนจะรีบลุกขึ้นนั่งตัวตรง ใบหน้าเธอซีดขาวราวกับเห็นผี อัณญ่างั้นหรือ หญิงสาวอิตาลีกวาดตามองใบหน้า
งุนงงของกฤชอย่างตกใจ ริมฝีปากสั่นขณะถาม “คุณรักอนาสเตเซียงั้นหรือคะ”
กฤชได้สติ เริ่มรับรู้ช้าๆ ว่าหญิงตรงหน้าไม่ใช่อนาสเตเซีย จริงสิ เธอผู้นั้นได้ตายจากโลกนี้ไปแล้วอย่างน่าเศร้า ทิ้งให้เขาผจญโลกที่
โหดร้ายนี้เพียงลำพัง น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินออกมาช้าๆ ชายหนุ่มก้มหน้าเบือนหนีสายตาจับจ้องของหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะยก
มือขึ้นปาดน้ำตาออก “ขอโทษนะดาฟเน่ ผมคงเพ้อไป ขอผมอยู่คนเดียวเถอะนะ”
“คุณรักกับอนาสเตเซียอย่างนั้นหรือคะ” ดาฟเน่ไม่ยอมจากไปง่ายๆ เธอต้องการคำตอบและถามซ้ำอีกครั้ง
กฤชป้ายน้ำตาออกแล้ว หันกลับมามองสบตาสีน้ำเงินนั้นด้วยดวงตาที่เจ็บปวดรวดร้าวเหลือประมาณ ไม่มีน้ำตาในดวงตาคู่นั้นแล้ว
แต่มีความโศกเศร้ามากมายที่ฝังลึกอยู่ในดวงตาดำ ดวงตาของชายที่หัวใจสลายจากการสูญเสียหญิงคนรัก
“ใช่ หากคุณอยากรู้นักล่ะก็ เธอเป็นรักแรก และรักเดียวของผม”
“และเธอก็ถูกพรากไปจากคุณอย่างโหดร้าย” เสียงนั้นหลุดรอดจากริมฝีปากดาฟเน่มาอย่างแผ่วเบา เธอมองสบตาเขาอย่างจริงจัง
แววตาเต็มไปด้วยความเสียใจ “ฉันเสียใจด้วยจริงๆ ค่ะคริส ฉันเสียใจ ฉัน…”
ราวกับเธอไม่อาจสะกดอารมณ์ตัวเองไว้ได้อีกต่อไป ดาฟเน่ลุกขึ้นหมุนตัวออกจากห้องนั่งเล่นนั้นไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้กฤชมึนงงกับ
ปฏิกิริยาแปลกๆ ของเธอ
ปมรัก รอยอดีต Book III เงาใจ บทที่ 47 ทางเดินสายเปลี่ยว
ทางเดินสายเปลี่ยว
โดย ฮาร์โมนิก้า
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าจนมืดมิดเหนือที่ราบมาราโธนาสแลเห็นได้จากหน้าต่างห้องนอนบานยาว
สรรพสิ่งดูจะเงียบงันไปพร้อมกับเสียงหายใจแผ่วที่เลือนหายไปพร้อมกับร่างที่แม้จะยังอุ่นแต่ไร้ชีวิตและกำลังค่อยๆ
เย็นชืดลงทุกขณะ เสียงสะอื้นเบาๆ ที่ดังพอได้ยินยามเงี่ยหูแนบกับประตูห้องนอนขนาดกว้างใหญ่นั้นบอกถึงความเศร้า
เสทือนใจอย่างสุดแสนของผู้ที่รับภาระอยู่เบื้องหลัง
ลียานเดอร์เดินเข้ามาในห้องที่เวลานี้ปกคลุมด้วยความมืดมีเพียงแสงสลัวหม่นจากทางเดินหน้าห้องน้ำส่องให้เห็นภาพ
ตะคุ่มที่นิ่งสนิทของปู่หลานต่างเชื้อชาติ หลานชายวัยย่างสามสิบเจ็ดปีนั่งเฝ้าร่างที่ไร้วิญญาณของปู่ต่างสายเลือดและ
ต่างเชื้อชาติหากแต่ดวงใจผูกพันกันเหนียวแน่นด้วยสายสัมพันธ์ฉันปู่หลานมาร่วมสามสิบเอ็ดปี
พ่อบ้านเก่าแก่เดินเข้ามายืนที่เบื้องหลังเจ้านายหนุ่มเงียบๆ คอยจนชายหนุ่มรู้สึกตัวและเก็บกลั้นสะอื้นได้เมื่อรู้ว่ามีผู้อื่น
อยู่ในที่นั้นด้วยนั่นล่ะ ลียานเดอร์จึงยกมือขึ้นแตะเบาๆ ที่ไหล่อย่างปลอบประโลม
“เราคงต้องแจ้งแพทย์ให้กลับมาดูแล้วครับคิริโยส จะได้ระบุเวลาที่ท่านเสียอย่างแน่ชัดในใบมรณะ” คำพูดที่แม้จะกล่าว
ด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นเห็นใจหากเนื้อความเป็นงานเป็นการนั้นดึงสติของกฤชให้กลับคืนมาอีกครั้ง ชายหนุ่มพยักหน้าช้าๆ
ใช้มือปาดน้ำตาออกจากใบหน้าเร็วๆ
“ขอเวลาฉันอยู่กับปู่จนกว่าหมอจะมาแล้วกันลียานเดอร์” เสียงพูดแม้จะเข้มแข็งทว่าเนื้อเสียงสั่นเสทือนขึ้นมาก บ่งบอก
อารมณ์อ่อนไหวไม่ปกติของเจ้านายหนุ่มที่มีเหลืออยู่เพียงคนเดียวของบ้านอนาโตลาคิส
“ได้ครับ จะให้ผมแจ้งมาดามคาร์ล่าด้วยมั้ยครับ”
กฤชลังเลนิดหนึ่งก่อนพยักหน้า “ได้ แต่รอให้หมอมาก่อน ค่อยบอกก็ได้ ตอนนี้ขอฉันอยู่เงียบๆ กับปู่ก่อน”
“ครับ คิริโยส” ลียานเดอร์กล่าว เขาเปิดไฟหรี่ไว้อ่อนๆ พอให้มองเห็นภายในห้อง ก่อนจะถอยออกจากห้องและปิดประตู
ทิ้งชายหนุ่มให้จมอยู่กับความโศกเศร้าตามลำพัง
กฤชยกมือขึ้นลูบเปลือกตาของปู่เบาๆ ก้มลงจุมพิตที่หน้าผากก่อนจะวางมือที่บัดนี้เย็นชืดของปู่ซึ่งเขาอาศัยเกาะกุมไว้อยู่
นานลงบนอกของท่าน จัดผ้าห่มให้จนถึงไหล่ยืนขึ้นทอดสายตามองร่างที่เคยสง่างามแต่บัดนี้กลับไร้ชีวิตนั้นอย่างแสนเศร้า
สร้อย ความรู้สึกเปลี่ยวเหงาอ้างว้างกำลังจู่โจมจิตใจที่เคยเข้มแข็งของชายหนุ่มอย่างรุนแรง
“ลาก่อนครับปู่”
เขายกมือขึ้นป้ายน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาอีกครั้งก่อนจะตัดใจเดินผละจากปู่ออกจากห้องนั้นไปในที่สุด
กฤชจมอยู่กับความทุกข์และความรู้สึกไร้จุดหมายในชีวิตอยู่ตลอดวันเต็มๆ ไม่มีอารมณ์จะทำอะไร ไม่รู้ว่าทรัพย์สมบัติที่มี
ทั้งหมดนี้จะมีไว้เพื่ออะไร ในเมื่อเวลานี้ไม่มีใครในตระกูลซึ่งเขาเคยใช้เป็นหลักพึ่งพิงทางใจมาตลอดชีวิตเหลืออยู่อีกแล้ว
แม่เวลานี้ก็เป็นของคนอื่นไปแล้ว อเล็กซิสก็ไม่รู้อยู่ที่ไหน และอนาสเตเซียผู้เป็นที่รักก็เสียชีวิตไปอย่างน่าเวทนา
จริงสิ เขายังต้องสะสางชำระหนี้แค้นให้อนาสเตเซีย จะปล่อยให้คนชั่วลอยนวลไปไม่ได้ แต่แม้จะคิดได้แบบนั้นเวลานี้เขา
ก็รู้สึกอ่อนแอและอ้างว้างเหลือเกิน
ชายหนุ่มกระดกบรั่นดีเพียวๆ เป็นแก้วที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ เขากำลังนั่งจมกับความเศร้าอยู่ตามลำพังในช่วงหัวค่ำหลังจาก
ปฏิเสธดินเนอร์ที่ลียานเดอร์เข้ามาเรียก ปล่อยให้กมลารับประทานตามลำพังคนเดียว กมลารับปากแล้วว่าหลังพิธีศพของ
สตีลียานอสหล่อนจะไปเข้ารับการบำบัดจากการติดยาเสพย์ติดและการพนัน และจะไม่อยู่ร่วมพิธีฝังซึ่งยังต้องรออีกสี่สิบวัน
กฤชรู้ว่ายังมีอะไรที่เขาต้องจัดการสะสางอีกมากเพราะแม้ปู่จะจากไปแต่ชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาและคนอื่นๆ ยังต้องดำเนิน
ต่อไป หากแต่เวลานี้เขาอยากจะปล่อยใจให้จมอยู่กับความทุกข์เศร้าส่วนตัว ขอเพียงวันนี้ที่จะขออ่อนแอเป็นคนธรรมดาที่
สูญเสียหลักยึดในชีวิตไปสักครั้ง
“ดื่มด้วยได้มั้ยคะ” เสียงคุ้นหูดังขึ้นเบื้องหลังทำให้กฤชหันไปมอง
ดาฟเน่เดินเข้ามารินบรั่นดีใส่แก้วแล้วนั่งลงดื่มข้างๆ “รับไม่ได้หรือคะคริส ที่เหมือนจะได้เห็นความล่มสลายของตระกูลอนา
โตลาคิสและคิริยาคอส”
กฤชนิ่วหน้ากับคำกล่าวนั้น
“ตระกูลอนาโตลาคิสยังมีคุณอยู่ ไม่ล่มสลายไปไหนหรอกค่ะเว้นแต่คุณจะอ่อนแอจมอยู่กับความเศร้าจากการสูญเสียหลักยึด
ทางใจที่คุณแอบใช้เป็นที่พึ่งพิงมาแต่เด็ก”
ดาฟเน่กล่าวพร้อมกับเอื้อมมือมาจับมือที่เตรียมกระดกเหล้าในแก้วเข้าปากอีกครั้ง “หยุดเถอะค่ะคริส คุณดื่มเยอะแล้ว คุณอาจ
คิดว่าคุณกำลังเสียใจและต้องการมันเพียงช่วงไม่กี่วัน แต่มันจะทำให้คุณติดและหากเป็นแบบนี้ต่อไปคุณจะเริ่มดื่มไปเรื่อยๆ ใน
ปริมาณที่มากขึ้น และจะเริ่มผลัดวันที่จะหยุดดื่มไปเรื่อยๆ ด้วย”
คำพูดเตือนสติของดาฟเน่สร้างความประหลาดใจแกมงุนงงให้กฤช จริงของเธอ เขาดื่มหนักมาตลอดทั้งคืน แม้จะคิดว่าพรุ่งนี้จะ
ไม่ดื่มแล้วแต่ใครจะรับประกันได้ว่าเขาจะเลิกได้จริง คนติดเหล้ามากมายที่เริ่มต้นไม่ต่างจากเขา ดื่มให้ลืมความทุกข์แค่ชั่วครู่แล้ว
ก็กลายเป็นหยุดไม่ได้จนต้องตกเป็นทาสของน้ำเมา
กฤชตัดสินใจในวินาทีนั้นวางเหล้าแก้วนั้นลงด้วยมือที่แม้จะสั่นนิดๆ แต่มั่นคง เขายิ้มหยันให้กับเหล้าแก้วนั้น ก่อนจะหันมาสบตา
ดาฟเน่เพื่อกล่าวขอบคุณที่เตือนสติ ตาสบตาในระยะประชิด ดวงตาสีน้ำเงินเข้มประดับบนใบหน้าสวยคม ประกายตาบางอย่างดึงให้
กฤชสะดุดมอง เขาหรี่ตาลงนิดหนึ่งก่อนที่อารมณ์บางอย่างในตัวจะผลักดันให้ก้มลงประทับจุมพิตบนเรียวปากแดงของหญิงสาวข้างๆ
ราวกับไฟที่ทิ้งลงบนน้ำมัน อารมณ์พิศวาสของทั้งคู่ลุกพรึ่บ กฤชรับรู้ถึงการตอบสนองที่ร้อนแรงพอกันของดาฟเน่ ร่างสูงใหญ่ของเขา
กอดกระชับร่างสูงเพรียวของเธอไว้ และเริ่มดันให้เอนลงนอนกับโซฟายาวที่นั่งอยู่ด้วยกัน ริมฝีปากประทับจุมพิตร้อนแรงดูดดื่มด้วย
แรงอารมณ์อย่างยากจะไถ่ถอน ชายหนุ่มหอบหายใจกระเส่าเมื่อถอนจุมพิตออกจากริมฝีปากเรียวบางนั้น ก่อนจะเลื่อนไปหยุดที่ริมหู
กระซิบแผ่วด้วยน้ำเสียงแหบพร่าที่ฟังราวกับวิงวอน
“อัณญ่า ผมรักคุณ อย่าจากผมไปไหนอีกนะผมรักคุณ อัณญ่า”
ดาฟเน่ผลักกฤชออกทันทีก่อนจะรีบลุกขึ้นนั่งตัวตรง ใบหน้าเธอซีดขาวราวกับเห็นผี อัณญ่างั้นหรือ หญิงสาวอิตาลีกวาดตามองใบหน้า
งุนงงของกฤชอย่างตกใจ ริมฝีปากสั่นขณะถาม “คุณรักอนาสเตเซียงั้นหรือคะ”
กฤชได้สติ เริ่มรับรู้ช้าๆ ว่าหญิงตรงหน้าไม่ใช่อนาสเตเซีย จริงสิ เธอผู้นั้นได้ตายจากโลกนี้ไปแล้วอย่างน่าเศร้า ทิ้งให้เขาผจญโลกที่
โหดร้ายนี้เพียงลำพัง น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินออกมาช้าๆ ชายหนุ่มก้มหน้าเบือนหนีสายตาจับจ้องของหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะยก
มือขึ้นปาดน้ำตาออก “ขอโทษนะดาฟเน่ ผมคงเพ้อไป ขอผมอยู่คนเดียวเถอะนะ”
“คุณรักกับอนาสเตเซียอย่างนั้นหรือคะ” ดาฟเน่ไม่ยอมจากไปง่ายๆ เธอต้องการคำตอบและถามซ้ำอีกครั้ง
กฤชป้ายน้ำตาออกแล้ว หันกลับมามองสบตาสีน้ำเงินนั้นด้วยดวงตาที่เจ็บปวดรวดร้าวเหลือประมาณ ไม่มีน้ำตาในดวงตาคู่นั้นแล้ว
แต่มีความโศกเศร้ามากมายที่ฝังลึกอยู่ในดวงตาดำ ดวงตาของชายที่หัวใจสลายจากการสูญเสียหญิงคนรัก
“ใช่ หากคุณอยากรู้นักล่ะก็ เธอเป็นรักแรก และรักเดียวของผม”
“และเธอก็ถูกพรากไปจากคุณอย่างโหดร้าย” เสียงนั้นหลุดรอดจากริมฝีปากดาฟเน่มาอย่างแผ่วเบา เธอมองสบตาเขาอย่างจริงจัง
แววตาเต็มไปด้วยความเสียใจ “ฉันเสียใจด้วยจริงๆ ค่ะคริส ฉันเสียใจ ฉัน…”
ราวกับเธอไม่อาจสะกดอารมณ์ตัวเองไว้ได้อีกต่อไป ดาฟเน่ลุกขึ้นหมุนตัวออกจากห้องนั่งเล่นนั้นไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้กฤชมึนงงกับ
ปฏิกิริยาแปลกๆ ของเธอ