สาวน้อยแอนนา ใช้พลังจิตเป็น "เทเลพอร์เทชั่น" ส่งตัวเองจากบริเวณหน้าประตูบานที่สามซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของถ้ำ และสถาพร รัชนี และแอนดี้กำลังจะเปิดเข้าไป กลับมาปรากฏตัวต่อหน้ากัปตันวันชนะและคณะ ณ จุดเดิมที่เธอหายตัวไป อีกครั้ง!
ท่าทางของสาวน้อยดูระโหยโรยแรง อันเป็นผลเนื่องมาจากการใช้พลังไปมาก
"แอนนา!!" แทบทุกคนร้องเรียกเธอเมื่อเห็นเธอกลับมา
เอ็มม่าผู้เป็นแม่ปราดเข้าไปประคองกอดลูกสาวเอาไว้ และกัปตันก็ตามมาติดๆ
"เป็นไงบ้างลูก เหนื่อยมากล่ะสิเนี่ย" เขาพูดพลางเอามือลูบหัวลูกสาวด้วยความรักใคร่และห่วงใย
"นิดหน่อยค่ะคุณพ่อ พักสักครู่ เดี๋ยวก็หายค่ะ" สาวน้อยส่ายหน้าและตอบยิ้มๆ
"ไม่นิดหน่อยแล้วจ้ะ หน้าซีดออกอย่างนี้ หนูพักผ่อนก่อนดีกว่านะจ๊ะลูก" เอ็มม่าบอกกับลูกแล้วก็ไม่รอฟังเสียงใดๆ หล่อนอุ้มลูกขึ้นมาด้วยสองมือสองแขนแล้วพาไปนอนบนแท่นหินยาวห่างออกไปประมาณห้าสิบเมตร ซึ่งตรงนั้นหล่อนปูเตียงสุญญากาศไว้แล้ว
"นอนหลับพักผ่อนก่อนนะจ๊ะลูก" กัปตันวันชนะบอกกับลูกสาว "เติมพลังก่อนนะคนเก่ง หลับยาวๆได้เลย เรายังไม่รีบร้อนไปไหนจ้ะ"
"ค่ะคุณพ่อ" สาวน้อยตอบแล้วยิ้มให้กับทั้งพ่อและแม่ จากนั้นจึงหลับตาพริ้ม ไม่กี่นาทีก็หลับปุ๋ย
"เค้าไปทำอะไรมากันแน่นะ...ถึงได้กลับมาแบบหมดแรงหมดพลังแบบนี้" กัปตันเอ่ยขึ้นเบาๆ กับภรรยา
"คงจะไปช่วยพวกเราซึ่งอยู่ด้านใดด้านหนึ่งละค่ะ ถ้าไม่ใช่แอนดี้ คุณสถาพร และคุณรัชนี ก็ต้องเป็นทางด้านคุณเอก ต้องมีปัญหาอะไรสักอย่าง ต้องเป็นสถานการณ์ที่คับขันจริงๆ เธอจึงต้องไปช่วย" เอ็มม่าคาดเดา
"และการย้ายสสารทั้งร่างกายของตัวเองจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งแบบนั้น ต้องใช้พลังจิตที่สูงมากทีเดียว เอาไว้เธอตื่นขึ้นมาเมื่อไร ค่อยถามเธอดูอีกทีก็แล้วกันค่ะ"
"ถ้างั้น ตอนนี้เราก็ปล่อยให้เธอหลับให้เต็มที่ ไปปรึกษาหารือกับพวกเรากันต่อเถอะครับ"
"ค่ะที่รัก" เอ็มม่าตอบรับสามี
จากนั้น ทั้งสองคนก็กลับไปรวมกลุ่มกับชาวคณะที่เหลือ และปรึกษาหาทางออกกันต่อไป เพราะทำอะไรไม่ได้นอกจากนี้แล้ว...
***************************************************************
ทางด้านเอกและรัชนก...
ทั้งสองเดินไปสำรวจหาหนทางออกบริเวณด้านขวามือไปเรื่อยๆ และทางที่เดินไปก็เริ่มตีวงโค้ง แล้วหักเลี้ยวขวา ซึ่งทำให้ทั้งคู่จำเป็นต้องเดินไปตามทางนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ พอเดินกันไปจนสุดทางก็ถูกบังคับให้เลี้ยวขวาอีกครั้ง!
รัชนกใจเต้นระทึก! เพราะถ้าไปถึงสุดทางฟากโน้น ก็จะต้องเลี้ยวขวาอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นการเลี้ยวขวาครั้งสุดท้าย และมันจะนำไปสู่บริเวณที่เทวรูปตั้งอยู่อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ !!
จะให้คุณเอกไปเห็นเทวรูปนั้นไม่ได้ ! ไม่ได้เด็ดขาด ยังไม่ใช่ตอนนี้ !! หล่อนบอกกับตัวเองในใจ...
รู้สึกเลือดสูบฉีดไปทั่วกายขึ้นมาจนถึงใบหน้าจนแดงซ่าน หญิงสาวหยุดเดินแล้วก้มหน้า ตอนนี้หล่อนอยู่ข้างหน้าอดีตมหาเปรียญเพียงสองสามก้าว!
"อ้าว ทำไมหยุดเดินครับคุณนก ?" เอกเอ่ยถามเมื่อเดินมาอยู่เคียงข้างหล่อน ตอนนี้เขาเปลี่ยนคำเรียกหาเธอจาก "คุณรัช" เป็น "คุณนก" แล้ว ซึ่งแฝดผู้พี่ก็ยอมรับคำเรียกหานั้นด้วยความเต็มใจ
"หยุดพักกันสักแป๊บนึงนะคะ คุณเอก" หล่อนยิ้มให้เขานิดหนึ่งแล้วนั่งลงบนโขดหินด้านข้าง
"เหนื่อยหรือครับ ?"
"ค่ะ รู้สึกเวียนหัวขึ้นมา.." หล่อนตอบเขา แล้วหลับตาลง สูดลมหายใจลึกเข้าปอด
ใจเต้นระทึกขึ้นมาอีก เพราะโขดหินที่ตนเองนั่งอยู่ มันเป็นที่เดียวซึ่งสามารถนั่งพักได้ และกว้างพอที่จะนั่งได้สองคนพอดี!
หล่อนนั่งอยู่ที่ริมด้านซ้าย เหลือที่ริมด้านขวาไว้โดยมิได้ตั้งใจ และนึกเจ็บใจตัวเองที่ไม่นั่งตรงกลางเสียแต่แรก ถ้าหล่อนนั่งตรงกลางไปแล้วก็จะไม่เหลือที่ว่างพอให้เขานั่งด้วยได้! แต่คิดไปคิดมา ก็กลับคิดแย้งตัวเองว่า ดีแล้วที่เหลือที่ไว้แบบนี้!
' ถ้าเธอนั่งตรงกลางเสียแล้ว เขาก็ต้องยืนรอเธอน่ะสิ ยายนก! เธอจะเห็นแก่ตัวปล่อยให้เขายืนเมื่อยขาอย่างนั้นหรือ ? ' รัชนกนึกในใจ แล้วก็นั่งต่อไปพลางคอยดูปฏิกริยาของเขา
"จริงด้วยสิครับ เราเดินกันมาไกล เลี้ยวโค้งมาสองโค้งแล้ว คุณนกต้องเหนื่อยมากกว่าผมแน่นอน เพราะยังไม่ได้พักเลย ตั้งแต่คอยเฝ้าดูแลผมจนผมตื่น ในขณะที่ผมนอนหลับมาตั้งสองยกแล้ว" มหาเอกกล่าวและยิ้มให้อย่างใสซื่อ
แต่รัชนก มองเห็นยิ้มของเขาว่า ช่างน่ารักเสียเหลือเกิน!
หล่อนว้าวุ่นใจอยู่อีกชั่วขณะ ในที่สุดก็ตัดสินใจเอ่ยชวนเขาให้นั่งพักด้วย
"คุณเอก..นั่งพักด้วยกันสิคะ ยืนอยู่อย่างนั้น เมื่อยตายเลย! แล้วน้ำลึกเลยหัวเข่า เย็นก็เย็น ขืนยืนต่อไปเรื่อยๆ อาจเป็นตะคริวได้นะคะ"
"เอ่อ..." มหาเอกอ้ำอึ้ง ด้วยไม่นึกไม่ฝันว่าหล่อนจะชวนให้นั่งเคียงข้าง "อ้า...จะเหมาะหรือครับผม ถ้าผมนั่ง ก็ต้อง..อ่า...เบียดตัวคุณเลยนะครับ"
"ไม่เป็นไรค่ะคุณเอก นั่งเถอะ ไม่งั้น คุณอาจจะแย่เอานะ แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคุณในขณะที่คุณยืนอยู่ มันก็จะเป็นเพราะนกนะคะ" หล่อนเลิกใช้สรรพนาม "ดิฉัน" อันฟังดูห่างเหิน
เปลี่ยนมาใช้ชื่อตัวเองแทนอย่างไม่ขัดเขิน! และโดยไม่รู้ตัวเสียด้วย กว่าจะทันรู้ตัวก็หลุดปากพูดออกไปแล้ว!!
เอกทำท่าอิดออดอยู่ ด้วยความไม่แน่ใ เกรงใจ และไม่กล้า จนหล่อนรบเร้าหนักเข้า จึงยอมรับการเชื้อเชิญนั้น
"ก็ได้ครับ ในเมื่อคุณนกยืนกราน ผมก็จะไม่ให้คุณนก...อ่า...เสียความหวังดี"
"ดิ...อ้า นก หวังดีกับคุณเอก จริงๆค่ะ" หล่อนกล่าวพร้อมด้วยยิ้มหวาน
"ขอบคุณมากครับผม" เขายิ้มตอบ แล้วทรุดกายลงนั่งเคียงข้าง
พอนั่งลงแล้ว พื้นที่บนโขดหินนั้นก็เต็มพอดี!
และยิ่งกว่านั้น มันเอียงลาดเทมาทางด้านที่เขานั่งอยู่เล็กน้อยเสียด้วย!!
อดีตมหาเปรียญนั่งนิ่ง ตัวแข็งทื่อ รู้สึกกายร้อนผ่าวเมื่อเนื้อนิ่มๆและอบอุ่นของหญิงสาวเบียดสัมผัสแขน!
รัชนกชำเลืองมองเขาแล้วอมยิ้ม หล่อนรู้ได้ทันทีว่า ชายหนุ่มผู้นี้ต้องเป็นผู้มีพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์แน่นอน! จากอาการนั่งตัวเกร็งของเขาในขณะนี้ !!
แล้วหล่อนก็คิดในใจต่อไปว่า เป็นไงเป็นกัน! ถ้าเดินต่อไปข้างหน้า เลี้ยวขวาอีกครั้ง พบกับเทวรูป อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิด!!
หล่อนหลงรักเขาเข้าแล้ว !!!
"คุณเอกคะ.." หล่อนเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา
"ครับ ?" มหาเอกตอบเบาๆ เช่นกัน
"รู้สึกว่า คุณเอก เกร็งไปหน่อยนะคะ!"
"เหรอครับ ?"
"ค่ะ...นั่งสบายๆ ไม่ต้องเกร็งค่ะ นึกว่า อ่า...นกเป็นเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งก็แล้วกัน!" พูดจบแล้วหล่อนก็หันมายิ้มให้เขา
"ยังงั้น ผมก็ โกหกตัวเองน่ะสิครับ!" เขาตอบและหัวเราะเบาๆ
"โกหกตัวเอง บางทีมันก็จำเป็นนะคะ คงไม่บาปกระมัง ?"
"อ่า..." ชายหนุ่มอ้ำอึ้ง แล้วหัวเราะออกมาอีกครั้ง "โกหกก็คือโกหกครับผม ยังไงก็ชื่อว่า มุสาวาท อยู่ดีละครับ !!"
ขณะที่นั่งอยู่ สองมือของเขาเกาะอยู่ที่หัวเข่าทั้งสองของตัวเองแน่น และบางครั้งเผลอขยุ้มโดยไม่รู้ตัว!
"โห...เคร่งจังเลยนะคะเนี่ย!" รัชนีหันมายิ้มให้เขาอีกรอบ ในขณะที่ฝ่ายชายนั่งตัวแข็งไม่กล้าหันมาหา แต่ก็อดชำเลืองมองหล่อนไม่ได้
ถ้าเขาหันมาเผชิญหน้ากับหล่อน ในหน้าของทั้งสองคนก็จะห่างกันเพียงไม่ถึงฟุต !! และพื้นโขดหินที่นั่งอยู่ก็ลาดเอียงมาทางเขาอีกด้วย !! ทำให้กายของรัชนีต้องเบียดเขาอย่างยากจะขืน !!!
"ขนาดเป็นฆราวาสแล้ว ยังเคร่งขนาดนี้ ตอนเป็นพระ คงจะเคร่งในศีลมากเลยนะคะ"
"เอ่อ...ครับ ก็ต้องเป็นอย่างนั้น.." เขาพยักหน้าตอบโดยไม่กล้าหันมาต่อไป "แต่บางที ก็ มีแฉลบไปบ้างเหมือนกันครับ!"
"หืมม ?? แฉลบ ยังไงคะ ?" หล่อนเอียงคอถาม และโยกตัว ยื่นหน้าชะโงกมาทางด้านหน้าพร้อมด้วยยิ้มหวานซึ่งทำเอาใจของอดีตมหาเปรียญสั่นสะท้าน!
"เอ่อ...ก็ แบบ บางทีก็ อดไม่ได้ ที่ต้องทำผิดเล็กๆน้อยๆ บางเรื่องครับ" เขาตอบพลางสบตาหล่อนซึ่งชะโงกหน้าเอียงคอมาให้เห็น
"มีด้วยเหรอคะ ?" หล่อนถามและยังเอียงคออยู่อย่างนั้น
"มีครับ"
"เรื่องอะไรน้อ..."
"ก็แบบ...ทนหิวไม่ไหว ช่วงที่บวชใหม่ๆ เลย..."
"แอบทานข้าวเย็น ?"
"ครับผม"
"หวาย...งั้นก็ ศีลขาดสิคะ ทำไงอะ ?"
"แก้ไขได้ ด้วยการปลงอาบัติต่อหน้าเพื่อนพระภิกษุด้วยกันครับ"
"อ้อ...เค้าปลงกันยังไงคะ ? เหมือนพวกคริสต์สารภาพบาป อย่างนั้นหรือเปล่าคะ ?" หล่อนพยายามชวนคุยเรื่อยๆ เพื่อให้เขาผ่อนคลาย
"ก็ คล้ายๆ อย่างนั้นแหละครับ"
"ปลงอาบัติแล้วก็หาย ต่อศีลได้เลยเหรอคะ ?"
"ครับ.."
"งั้นก็สบายจิ! ต่อไปก็ทำเหมือนเดิม แล้วก็ปลงอาบัติอีก ไปเรื่อยๆ !!" หล่อนว่าแล้วแกล้งเบะปาก
"อย่างนั้นก็ไม่ได้หรอกครับ" เอกตอบปนหัวเราะ
"อ่าววว..แล้วยังไงกันแน่ล่ะคะเนี่ย ?" ซักถามแล้วก็ขมวดคิ้วและจบด้วยหน้าเปื้อนยิ้ม
"คือ...ในคำปลงอาบัติซึ่งเป็นภาษาบาลี มีความหมายเชิงให้สัญญาด้วยครับว่า ต่อไปจะระมัดระวังตัว สำรวม ไม่ทำอีก ประมาณนั้น"
"เหรอคะ ? เค้าพูดว่าไงบ้างคะ ?"
"ก็...พูดว่า อหัง ภันเต... ตามด้วยชื่อของอาบัติ ต่อด้วยคำว่า อาปัตติโย อาปันโน แปลว่า ท่านขอรับ กระผมต้องอาบัติ แบบนี้แล้ว อะไรอย่างเนี้ย...แล้วก็พูดโต้ตอบกันไปอีกหลายคำ ตอนจบก็จะบอกว่า สาธุ กระผมจะระมัดระวังให้ดี สำรวมให้ดีต่อไป ก็เป็นอันจบครับ"
"อืม...ง่ายดีเนาะ!" หล่อนแกล้งเบะปากใส่เขาอีกรอบ
"โธ่ คุณนกครับ ... หลังจากนั้นก็ต้องพยายามรักษาสัญญาครับผม" เขาพูดด้วยน้ำเสียงโอดครวญ
"นกล้อเล่นน่ะค่ะ!" หล่อนกล่าวแล้วหัวเราะคิก "เชื่อค่ะ ว่าคุณเอกไม่ทำผิดซ้ำๆซากๆหรอก!"
"ขอบคุณครับผม" เขาตอบ เริ่มรู้สึกผ่อนคลาย ไม่เกร็งมากเหมือนช่วงหลังจากนั่งลงข้างหล่อนใหม่ๆ
รัชนกยิ้มให้เขาอีกครั้ง แล้วกลับมานั่งตัวตรง มองไปข้างหน้า ยิงอีกหนึ่งคำถาม
"ถามอะไรอีกซักเรื่อง ได้ไหมคะ ?"
"ได้ครับ ถามมาเลย" เอกตอบโดยไม่ต้องคิด
"คุณเอก...มี หรือ เคยมีคนรัก ไหมคะ ?"
"อืมม..." เขาส่งเสียงในลำคอนำก่อนขณะที่นึก แล้วตอบอย่างรวดเร็ว "เคยมีตอนสมัยเรียนหนังสือครับ"
"เหรอคะ ? ชั้นไหนเอ่ย ?"
"ชั้นมัธยมครับผม"
"อ้าว ก็โตกันแล้วนี่นา แล้วเธอคนนั้นไปไหนแล้วคะ ?"
"เค้าเป็นเด็กเรียน คงแก่เรียนครับ"
"แล้วไงคะ ?"
"เค้าบอกผมว่า ให้ตั้งใจเรียนหนังสือ อย่าริรักในวัยเรียน ครับผม!!"
"แล้วไงต่อคะ ?"
"ผมก็ ต้องทำตามที่เธอบอกน่ะสิครับ"
"แล้วตกลง ได้เป็นแฟนกันไหมอะ ?"
"ไม่ครับผม" เอกกล่าวแล้วหัวเราะ "เค้าไม่สนใจเรื่องนี้เลยครับ เมื่อไรที่ผมเปิดปากพูดอะไรในทำนองจะจีบ ก็โดนเค้าอบรมทุกทีไป!!"
รัชนีหัวเราะตาม "สรุปแล้วก็คือ คุณเอก รักเขาข้างเดียว!!"
"ครับผม" เขาตอบแล้วส่ายหน้าให้กับตัวเอง
"หลังจากนั้นล่ะคะ ?"
"ก็ เป็นเพื่อนกันครับ แต่ผมก็รู้สึก อกหักเล็กๆ"
"น่าสงสารเนอะ!"
มหาเอกยิ้มเมื่อได้ยินคำนั้น
"แล้ว...หลังจากจบมัธยมแล้ว ตอนเรียนมหาลัยล่ะคะ ไม่อินเลิฟกับใครอีกเหรอ ?? "
"ไม่มีครับผม"
"ทำไมอะ คนอื่นเค้ามีกันตั้งเยอะแยะ"
"คงเป็นเพราะ...ผม เข็ดขยาด จากการถูกปฏิเสธตอนเรียนมัธยมมั้งครับ เลยไม่กล้าจีบใครๆ อีก" เขาตอบพลางหัวเราะเล็กน้อย "แล้วก็อีกอย่าง ครอบครัวผมมีฐานะยากจน แต่เพื่อนๆส่วนใหญ่เขามีเงินกันแทบทั้งนั้น"
"เรียนมหาลัยก็ต้องใช้เงินเยอะนี่นา..."
"ผมเป็นนักเรียนทุนครับผม!"
"ว้าว! Amazing !!" หญิงสาวอุทานและหันมามองเขาอีกครั้งด้วยความทึ่ง "แปลว่าคุณเอกต้องเรียนเก่งด้วยนะคะ! เพราะถ้าผลการเรียนไม่ดีพอ ทางมหาลัยคงไม่ให้ทุนหรอก ทุนการศึกษามหาลัยไม่ใช่ว่าทุกคนจะขอได้"
"ก็..ไม่เก่งนักหรอกครับผม"
"ได้ทุนต่อเนื่องทุกปีจนจบเลยไหมคะ ?"
"ไม่ต่อเนื่องครับ" เอกตอบพลางสั่นศีรษะ "ปีใไหนที่ผมหางาน หาเงินเองได้ ผมก็ไม่ขอ"
"ยอดๆๆ ใจเด็ดจริงๆ!!" หล่อนกล่าวแล้วยกนิ้วโป้งชูให้ "จบออกมา ได้เกรดเฉลี่ยเท่าไรคะ ?"
"แค่สามกว่าๆ เองครับผม"
"กว่าๆ น่ะ เท่าไรอะ ?"
"กว่านิดเดียว...สามจุดสามเจ็ด เท่านั้นแหละครับ"
"ก็น่าจะ เกียรตินิยม อันดับสอง ?"
"ใช่ครับผม"
"เก่งแล้วอะ" หล่อนกล่าวชมแล้วยกนิ้วโป้งให้เขาอีกครั้ง "นกจบออกมาได้สองจุดแปดเองง่ะ!"
"ก็เกือบขึ้นเลขสามแล้วนี่ครับ จัดว่าอยู่ในกลุ่มคนเก่งได้แล้วครับผม"
"ไม่เก่งหรอกค่ะ! เรียนๆ โดดๆ ฮิฮิ"
(ต่อครับ)
💫🕛💫 "หลงกาล" Episode-55 : ภาคอวสาน ตอนที่ 12 💫🕛💫
สาวน้อยแอนนา ใช้พลังจิตเป็น "เทเลพอร์เทชั่น" ส่งตัวเองจากบริเวณหน้าประตูบานที่สามซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของถ้ำ และสถาพร รัชนี และแอนดี้กำลังจะเปิดเข้าไป กลับมาปรากฏตัวต่อหน้ากัปตันวันชนะและคณะ ณ จุดเดิมที่เธอหายตัวไป อีกครั้ง!
ท่าทางของสาวน้อยดูระโหยโรยแรง อันเป็นผลเนื่องมาจากการใช้พลังไปมาก
"แอนนา!!" แทบทุกคนร้องเรียกเธอเมื่อเห็นเธอกลับมา
เอ็มม่าผู้เป็นแม่ปราดเข้าไปประคองกอดลูกสาวเอาไว้ และกัปตันก็ตามมาติดๆ
"เป็นไงบ้างลูก เหนื่อยมากล่ะสิเนี่ย" เขาพูดพลางเอามือลูบหัวลูกสาวด้วยความรักใคร่และห่วงใย
"นิดหน่อยค่ะคุณพ่อ พักสักครู่ เดี๋ยวก็หายค่ะ" สาวน้อยส่ายหน้าและตอบยิ้มๆ
"ไม่นิดหน่อยแล้วจ้ะ หน้าซีดออกอย่างนี้ หนูพักผ่อนก่อนดีกว่านะจ๊ะลูก" เอ็มม่าบอกกับลูกแล้วก็ไม่รอฟังเสียงใดๆ หล่อนอุ้มลูกขึ้นมาด้วยสองมือสองแขนแล้วพาไปนอนบนแท่นหินยาวห่างออกไปประมาณห้าสิบเมตร ซึ่งตรงนั้นหล่อนปูเตียงสุญญากาศไว้แล้ว
"นอนหลับพักผ่อนก่อนนะจ๊ะลูก" กัปตันวันชนะบอกกับลูกสาว "เติมพลังก่อนนะคนเก่ง หลับยาวๆได้เลย เรายังไม่รีบร้อนไปไหนจ้ะ"
"ค่ะคุณพ่อ" สาวน้อยตอบแล้วยิ้มให้กับทั้งพ่อและแม่ จากนั้นจึงหลับตาพริ้ม ไม่กี่นาทีก็หลับปุ๋ย
"เค้าไปทำอะไรมากันแน่นะ...ถึงได้กลับมาแบบหมดแรงหมดพลังแบบนี้" กัปตันเอ่ยขึ้นเบาๆ กับภรรยา
"คงจะไปช่วยพวกเราซึ่งอยู่ด้านใดด้านหนึ่งละค่ะ ถ้าไม่ใช่แอนดี้ คุณสถาพร และคุณรัชนี ก็ต้องเป็นทางด้านคุณเอก ต้องมีปัญหาอะไรสักอย่าง ต้องเป็นสถานการณ์ที่คับขันจริงๆ เธอจึงต้องไปช่วย" เอ็มม่าคาดเดา "และการย้ายสสารทั้งร่างกายของตัวเองจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งแบบนั้น ต้องใช้พลังจิตที่สูงมากทีเดียว เอาไว้เธอตื่นขึ้นมาเมื่อไร ค่อยถามเธอดูอีกทีก็แล้วกันค่ะ"
"ถ้างั้น ตอนนี้เราก็ปล่อยให้เธอหลับให้เต็มที่ ไปปรึกษาหารือกับพวกเรากันต่อเถอะครับ"
"ค่ะที่รัก" เอ็มม่าตอบรับสามี
จากนั้น ทั้งสองคนก็กลับไปรวมกลุ่มกับชาวคณะที่เหลือ และปรึกษาหาทางออกกันต่อไป เพราะทำอะไรไม่ได้นอกจากนี้แล้ว...
ทางด้านเอกและรัชนก...
ทั้งสองเดินไปสำรวจหาหนทางออกบริเวณด้านขวามือไปเรื่อยๆ และทางที่เดินไปก็เริ่มตีวงโค้ง แล้วหักเลี้ยวขวา ซึ่งทำให้ทั้งคู่จำเป็นต้องเดินไปตามทางนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ พอเดินกันไปจนสุดทางก็ถูกบังคับให้เลี้ยวขวาอีกครั้ง!
รัชนกใจเต้นระทึก! เพราะถ้าไปถึงสุดทางฟากโน้น ก็จะต้องเลี้ยวขวาอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นการเลี้ยวขวาครั้งสุดท้าย และมันจะนำไปสู่บริเวณที่เทวรูปตั้งอยู่อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ !!
จะให้คุณเอกไปเห็นเทวรูปนั้นไม่ได้ ! ไม่ได้เด็ดขาด ยังไม่ใช่ตอนนี้ !! หล่อนบอกกับตัวเองในใจ...
รู้สึกเลือดสูบฉีดไปทั่วกายขึ้นมาจนถึงใบหน้าจนแดงซ่าน หญิงสาวหยุดเดินแล้วก้มหน้า ตอนนี้หล่อนอยู่ข้างหน้าอดีตมหาเปรียญเพียงสองสามก้าว!
"อ้าว ทำไมหยุดเดินครับคุณนก ?" เอกเอ่ยถามเมื่อเดินมาอยู่เคียงข้างหล่อน ตอนนี้เขาเปลี่ยนคำเรียกหาเธอจาก "คุณรัช" เป็น "คุณนก" แล้ว ซึ่งแฝดผู้พี่ก็ยอมรับคำเรียกหานั้นด้วยความเต็มใจ
"หยุดพักกันสักแป๊บนึงนะคะ คุณเอก" หล่อนยิ้มให้เขานิดหนึ่งแล้วนั่งลงบนโขดหินด้านข้าง
"เหนื่อยหรือครับ ?"
"ค่ะ รู้สึกเวียนหัวขึ้นมา.." หล่อนตอบเขา แล้วหลับตาลง สูดลมหายใจลึกเข้าปอด
ใจเต้นระทึกขึ้นมาอีก เพราะโขดหินที่ตนเองนั่งอยู่ มันเป็นที่เดียวซึ่งสามารถนั่งพักได้ และกว้างพอที่จะนั่งได้สองคนพอดี!
หล่อนนั่งอยู่ที่ริมด้านซ้าย เหลือที่ริมด้านขวาไว้โดยมิได้ตั้งใจ และนึกเจ็บใจตัวเองที่ไม่นั่งตรงกลางเสียแต่แรก ถ้าหล่อนนั่งตรงกลางไปแล้วก็จะไม่เหลือที่ว่างพอให้เขานั่งด้วยได้! แต่คิดไปคิดมา ก็กลับคิดแย้งตัวเองว่า ดีแล้วที่เหลือที่ไว้แบบนี้!
' ถ้าเธอนั่งตรงกลางเสียแล้ว เขาก็ต้องยืนรอเธอน่ะสิ ยายนก! เธอจะเห็นแก่ตัวปล่อยให้เขายืนเมื่อยขาอย่างนั้นหรือ ? ' รัชนกนึกในใจ แล้วก็นั่งต่อไปพลางคอยดูปฏิกริยาของเขา
"จริงด้วยสิครับ เราเดินกันมาไกล เลี้ยวโค้งมาสองโค้งแล้ว คุณนกต้องเหนื่อยมากกว่าผมแน่นอน เพราะยังไม่ได้พักเลย ตั้งแต่คอยเฝ้าดูแลผมจนผมตื่น ในขณะที่ผมนอนหลับมาตั้งสองยกแล้ว" มหาเอกกล่าวและยิ้มให้อย่างใสซื่อ
แต่รัชนก มองเห็นยิ้มของเขาว่า ช่างน่ารักเสียเหลือเกิน!
หล่อนว้าวุ่นใจอยู่อีกชั่วขณะ ในที่สุดก็ตัดสินใจเอ่ยชวนเขาให้นั่งพักด้วย
"คุณเอก..นั่งพักด้วยกันสิคะ ยืนอยู่อย่างนั้น เมื่อยตายเลย! แล้วน้ำลึกเลยหัวเข่า เย็นก็เย็น ขืนยืนต่อไปเรื่อยๆ อาจเป็นตะคริวได้นะคะ"
"เอ่อ..." มหาเอกอ้ำอึ้ง ด้วยไม่นึกไม่ฝันว่าหล่อนจะชวนให้นั่งเคียงข้าง "อ้า...จะเหมาะหรือครับผม ถ้าผมนั่ง ก็ต้อง..อ่า...เบียดตัวคุณเลยนะครับ"
"ไม่เป็นไรค่ะคุณเอก นั่งเถอะ ไม่งั้น คุณอาจจะแย่เอานะ แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคุณในขณะที่คุณยืนอยู่ มันก็จะเป็นเพราะนกนะคะ" หล่อนเลิกใช้สรรพนาม "ดิฉัน" อันฟังดูห่างเหิน เปลี่ยนมาใช้ชื่อตัวเองแทนอย่างไม่ขัดเขิน! และโดยไม่รู้ตัวเสียด้วย กว่าจะทันรู้ตัวก็หลุดปากพูดออกไปแล้ว!!
เอกทำท่าอิดออดอยู่ ด้วยความไม่แน่ใ เกรงใจ และไม่กล้า จนหล่อนรบเร้าหนักเข้า จึงยอมรับการเชื้อเชิญนั้น
"ก็ได้ครับ ในเมื่อคุณนกยืนกราน ผมก็จะไม่ให้คุณนก...อ่า...เสียความหวังดี"
"ดิ...อ้า นก หวังดีกับคุณเอก จริงๆค่ะ" หล่อนกล่าวพร้อมด้วยยิ้มหวาน
"ขอบคุณมากครับผม" เขายิ้มตอบ แล้วทรุดกายลงนั่งเคียงข้าง
พอนั่งลงแล้ว พื้นที่บนโขดหินนั้นก็เต็มพอดี!
และยิ่งกว่านั้น มันเอียงลาดเทมาทางด้านที่เขานั่งอยู่เล็กน้อยเสียด้วย!!
อดีตมหาเปรียญนั่งนิ่ง ตัวแข็งทื่อ รู้สึกกายร้อนผ่าวเมื่อเนื้อนิ่มๆและอบอุ่นของหญิงสาวเบียดสัมผัสแขน!
รัชนกชำเลืองมองเขาแล้วอมยิ้ม หล่อนรู้ได้ทันทีว่า ชายหนุ่มผู้นี้ต้องเป็นผู้มีพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์แน่นอน! จากอาการนั่งตัวเกร็งของเขาในขณะนี้ !!
แล้วหล่อนก็คิดในใจต่อไปว่า เป็นไงเป็นกัน! ถ้าเดินต่อไปข้างหน้า เลี้ยวขวาอีกครั้ง พบกับเทวรูป อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิด!!
หล่อนหลงรักเขาเข้าแล้ว !!!
"คุณเอกคะ.." หล่อนเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา
"ครับ ?" มหาเอกตอบเบาๆ เช่นกัน
"รู้สึกว่า คุณเอก เกร็งไปหน่อยนะคะ!"
"เหรอครับ ?"
"ค่ะ...นั่งสบายๆ ไม่ต้องเกร็งค่ะ นึกว่า อ่า...นกเป็นเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งก็แล้วกัน!" พูดจบแล้วหล่อนก็หันมายิ้มให้เขา
"ยังงั้น ผมก็ โกหกตัวเองน่ะสิครับ!" เขาตอบและหัวเราะเบาๆ
"โกหกตัวเอง บางทีมันก็จำเป็นนะคะ คงไม่บาปกระมัง ?"
"อ่า..." ชายหนุ่มอ้ำอึ้ง แล้วหัวเราะออกมาอีกครั้ง "โกหกก็คือโกหกครับผม ยังไงก็ชื่อว่า มุสาวาท อยู่ดีละครับ !!"
ขณะที่นั่งอยู่ สองมือของเขาเกาะอยู่ที่หัวเข่าทั้งสองของตัวเองแน่น และบางครั้งเผลอขยุ้มโดยไม่รู้ตัว!
"โห...เคร่งจังเลยนะคะเนี่ย!" รัชนีหันมายิ้มให้เขาอีกรอบ ในขณะที่ฝ่ายชายนั่งตัวแข็งไม่กล้าหันมาหา แต่ก็อดชำเลืองมองหล่อนไม่ได้
ถ้าเขาหันมาเผชิญหน้ากับหล่อน ในหน้าของทั้งสองคนก็จะห่างกันเพียงไม่ถึงฟุต !! และพื้นโขดหินที่นั่งอยู่ก็ลาดเอียงมาทางเขาอีกด้วย !! ทำให้กายของรัชนีต้องเบียดเขาอย่างยากจะขืน !!!
"ขนาดเป็นฆราวาสแล้ว ยังเคร่งขนาดนี้ ตอนเป็นพระ คงจะเคร่งในศีลมากเลยนะคะ"
"เอ่อ...ครับ ก็ต้องเป็นอย่างนั้น.." เขาพยักหน้าตอบโดยไม่กล้าหันมาต่อไป "แต่บางที ก็ มีแฉลบไปบ้างเหมือนกันครับ!"
"หืมม ?? แฉลบ ยังไงคะ ?" หล่อนเอียงคอถาม และโยกตัว ยื่นหน้าชะโงกมาทางด้านหน้าพร้อมด้วยยิ้มหวานซึ่งทำเอาใจของอดีตมหาเปรียญสั่นสะท้าน!
"เอ่อ...ก็ แบบ บางทีก็ อดไม่ได้ ที่ต้องทำผิดเล็กๆน้อยๆ บางเรื่องครับ" เขาตอบพลางสบตาหล่อนซึ่งชะโงกหน้าเอียงคอมาให้เห็น
"มีด้วยเหรอคะ ?" หล่อนถามและยังเอียงคออยู่อย่างนั้น
"มีครับ"
"เรื่องอะไรน้อ..."
"ก็แบบ...ทนหิวไม่ไหว ช่วงที่บวชใหม่ๆ เลย..."
"แอบทานข้าวเย็น ?"
"ครับผม"
"หวาย...งั้นก็ ศีลขาดสิคะ ทำไงอะ ?"
"แก้ไขได้ ด้วยการปลงอาบัติต่อหน้าเพื่อนพระภิกษุด้วยกันครับ"
"อ้อ...เค้าปลงกันยังไงคะ ? เหมือนพวกคริสต์สารภาพบาป อย่างนั้นหรือเปล่าคะ ?" หล่อนพยายามชวนคุยเรื่อยๆ เพื่อให้เขาผ่อนคลาย
"ก็ คล้ายๆ อย่างนั้นแหละครับ"
"ปลงอาบัติแล้วก็หาย ต่อศีลได้เลยเหรอคะ ?"
"ครับ.."
"งั้นก็สบายจิ! ต่อไปก็ทำเหมือนเดิม แล้วก็ปลงอาบัติอีก ไปเรื่อยๆ !!" หล่อนว่าแล้วแกล้งเบะปาก
"อย่างนั้นก็ไม่ได้หรอกครับ" เอกตอบปนหัวเราะ
"อ่าววว..แล้วยังไงกันแน่ล่ะคะเนี่ย ?" ซักถามแล้วก็ขมวดคิ้วและจบด้วยหน้าเปื้อนยิ้ม
"คือ...ในคำปลงอาบัติซึ่งเป็นภาษาบาลี มีความหมายเชิงให้สัญญาด้วยครับว่า ต่อไปจะระมัดระวังตัว สำรวม ไม่ทำอีก ประมาณนั้น"
"เหรอคะ ? เค้าพูดว่าไงบ้างคะ ?"
"ก็...พูดว่า อหัง ภันเต... ตามด้วยชื่อของอาบัติ ต่อด้วยคำว่า อาปัตติโย อาปันโน แปลว่า ท่านขอรับ กระผมต้องอาบัติ แบบนี้แล้ว อะไรอย่างเนี้ย...แล้วก็พูดโต้ตอบกันไปอีกหลายคำ ตอนจบก็จะบอกว่า สาธุ กระผมจะระมัดระวังให้ดี สำรวมให้ดีต่อไป ก็เป็นอันจบครับ"
"อืม...ง่ายดีเนาะ!" หล่อนแกล้งเบะปากใส่เขาอีกรอบ
"โธ่ คุณนกครับ ... หลังจากนั้นก็ต้องพยายามรักษาสัญญาครับผม" เขาพูดด้วยน้ำเสียงโอดครวญ
"นกล้อเล่นน่ะค่ะ!" หล่อนกล่าวแล้วหัวเราะคิก "เชื่อค่ะ ว่าคุณเอกไม่ทำผิดซ้ำๆซากๆหรอก!"
"ขอบคุณครับผม" เขาตอบ เริ่มรู้สึกผ่อนคลาย ไม่เกร็งมากเหมือนช่วงหลังจากนั่งลงข้างหล่อนใหม่ๆ
รัชนกยิ้มให้เขาอีกครั้ง แล้วกลับมานั่งตัวตรง มองไปข้างหน้า ยิงอีกหนึ่งคำถาม
"ถามอะไรอีกซักเรื่อง ได้ไหมคะ ?"
"ได้ครับ ถามมาเลย" เอกตอบโดยไม่ต้องคิด
"คุณเอก...มี หรือ เคยมีคนรัก ไหมคะ ?"
"อืมม..." เขาส่งเสียงในลำคอนำก่อนขณะที่นึก แล้วตอบอย่างรวดเร็ว "เคยมีตอนสมัยเรียนหนังสือครับ"
"เหรอคะ ? ชั้นไหนเอ่ย ?"
"ชั้นมัธยมครับผม"
"อ้าว ก็โตกันแล้วนี่นา แล้วเธอคนนั้นไปไหนแล้วคะ ?"
"เค้าเป็นเด็กเรียน คงแก่เรียนครับ"
"แล้วไงคะ ?"
"เค้าบอกผมว่า ให้ตั้งใจเรียนหนังสือ อย่าริรักในวัยเรียน ครับผม!!"
"แล้วไงต่อคะ ?"
"ผมก็ ต้องทำตามที่เธอบอกน่ะสิครับ"
"แล้วตกลง ได้เป็นแฟนกันไหมอะ ?"
"ไม่ครับผม" เอกกล่าวแล้วหัวเราะ "เค้าไม่สนใจเรื่องนี้เลยครับ เมื่อไรที่ผมเปิดปากพูดอะไรในทำนองจะจีบ ก็โดนเค้าอบรมทุกทีไป!!"
รัชนีหัวเราะตาม "สรุปแล้วก็คือ คุณเอก รักเขาข้างเดียว!!"
"ครับผม" เขาตอบแล้วส่ายหน้าให้กับตัวเอง
"หลังจากนั้นล่ะคะ ?"
"ก็ เป็นเพื่อนกันครับ แต่ผมก็รู้สึก อกหักเล็กๆ"
"น่าสงสารเนอะ!"
มหาเอกยิ้มเมื่อได้ยินคำนั้น
"แล้ว...หลังจากจบมัธยมแล้ว ตอนเรียนมหาลัยล่ะคะ ไม่อินเลิฟกับใครอีกเหรอ ?? "
"ไม่มีครับผม"
"ทำไมอะ คนอื่นเค้ามีกันตั้งเยอะแยะ"
"คงเป็นเพราะ...ผม เข็ดขยาด จากการถูกปฏิเสธตอนเรียนมัธยมมั้งครับ เลยไม่กล้าจีบใครๆ อีก" เขาตอบพลางหัวเราะเล็กน้อย "แล้วก็อีกอย่าง ครอบครัวผมมีฐานะยากจน แต่เพื่อนๆส่วนใหญ่เขามีเงินกันแทบทั้งนั้น"
"เรียนมหาลัยก็ต้องใช้เงินเยอะนี่นา..."
"ผมเป็นนักเรียนทุนครับผม!"
"ว้าว! Amazing !!" หญิงสาวอุทานและหันมามองเขาอีกครั้งด้วยความทึ่ง "แปลว่าคุณเอกต้องเรียนเก่งด้วยนะคะ! เพราะถ้าผลการเรียนไม่ดีพอ ทางมหาลัยคงไม่ให้ทุนหรอก ทุนการศึกษามหาลัยไม่ใช่ว่าทุกคนจะขอได้"
"ก็..ไม่เก่งนักหรอกครับผม"
"ได้ทุนต่อเนื่องทุกปีจนจบเลยไหมคะ ?"
"ไม่ต่อเนื่องครับ" เอกตอบพลางสั่นศีรษะ "ปีใไหนที่ผมหางาน หาเงินเองได้ ผมก็ไม่ขอ"
"ยอดๆๆ ใจเด็ดจริงๆ!!" หล่อนกล่าวแล้วยกนิ้วโป้งชูให้ "จบออกมา ได้เกรดเฉลี่ยเท่าไรคะ ?"
"แค่สามกว่าๆ เองครับผม"
"กว่าๆ น่ะ เท่าไรอะ ?"
"กว่านิดเดียว...สามจุดสามเจ็ด เท่านั้นแหละครับ"
"ก็น่าจะ เกียรตินิยม อันดับสอง ?"
"ใช่ครับผม"
"เก่งแล้วอะ" หล่อนกล่าวชมแล้วยกนิ้วโป้งให้เขาอีกครั้ง "นกจบออกมาได้สองจุดแปดเองง่ะ!"
"ก็เกือบขึ้นเลขสามแล้วนี่ครับ จัดว่าอยู่ในกลุ่มคนเก่งได้แล้วครับผม"
"ไม่เก่งหรอกค่ะ! เรียนๆ โดดๆ ฮิฮิ"
(ต่อครับ)