สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 22
คุณบอกว่ามันเป็นวิกฤต ผมกลับมองว่ามันเป็นวัฎจักรครับ
เรากำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่าน ทั้งเทคโนโลยีและสังคมครับ
คือมันเป็นยุคที่เจ็บปวดแล้วเต็มไปด้วยความวุ่นวายเหมือน
การเปลี่ยนผ่าน ทุกยุค คนที่ปรับตัวได้ จะกลายเป็นผู้นำของ
ยุคใหม่ คนที่ปรับตัวไม่ได้ จะถูกกลืนหายไปกับยุคสมัย
เผอิญคราวนี้เป็นการเปลี่ยนผ่านในระดับเสกล ระดับโลก
ไม่เหมือน การเปลี่ยน ผ่านเล็กๆ เหมือนที่ผ่านมา ที่เราไม่เจอ
การเปลี่ยนผ่านแบบนี้มาเกือบ 100 ปีแล้ว
สมัยก่อน ที่เครื่องจักรไอน้ำมาก็มีคนถามว่าแล้วจะเอาช่างทอผ้าไปไว้ไหน
สุดท้าย ทุกสิ่งมันก็เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย คนเราถ้ามีลมหายใจ
ก็ต้องดิ้นรนกันไป ในวิกฤต มันคือโอกาสไปพร้อมๆกัน
ในเรื่องการเกษตร เกษตรกรไทยเป็นรายย่อยมากเกินไป ซึ่งที่ดินรายย่อย
มันไม่สามารถเลี้ยงครอบครัวได้ ซึ่งการรวมที่ดินผืนใหญ่เพื่อทำการเกษตรจะได้
ประสิทธิภาพดีกว่าเกษตรแปลงย่อยๆ แรงงานเกษตรต้องเข้าสู่เมืองเพื่อเป็นแรงงาน
ตามการปรับของสังคมที่ จะเป็นสังคมเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ
แรงงานต่างด้าวจะก้าวขึ้นมาเป็น คนคุมเศรษฐกิจไทยในยุคต่อไป ส่วนคนไทยที่เสีย
ที่ดินจะพัฒนาตัวเองไปเป็นแรงงานระดับล่าง สังคมมันก็เวียนผ่านกันแบบนี้แหละครับ
เรากำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่าน ทั้งเทคโนโลยีและสังคมครับ
คือมันเป็นยุคที่เจ็บปวดแล้วเต็มไปด้วยความวุ่นวายเหมือน
การเปลี่ยนผ่าน ทุกยุค คนที่ปรับตัวได้ จะกลายเป็นผู้นำของ
ยุคใหม่ คนที่ปรับตัวไม่ได้ จะถูกกลืนหายไปกับยุคสมัย
เผอิญคราวนี้เป็นการเปลี่ยนผ่านในระดับเสกล ระดับโลก
ไม่เหมือน การเปลี่ยน ผ่านเล็กๆ เหมือนที่ผ่านมา ที่เราไม่เจอ
การเปลี่ยนผ่านแบบนี้มาเกือบ 100 ปีแล้ว
สมัยก่อน ที่เครื่องจักรไอน้ำมาก็มีคนถามว่าแล้วจะเอาช่างทอผ้าไปไว้ไหน
สุดท้าย ทุกสิ่งมันก็เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย คนเราถ้ามีลมหายใจ
ก็ต้องดิ้นรนกันไป ในวิกฤต มันคือโอกาสไปพร้อมๆกัน
ในเรื่องการเกษตร เกษตรกรไทยเป็นรายย่อยมากเกินไป ซึ่งที่ดินรายย่อย
มันไม่สามารถเลี้ยงครอบครัวได้ ซึ่งการรวมที่ดินผืนใหญ่เพื่อทำการเกษตรจะได้
ประสิทธิภาพดีกว่าเกษตรแปลงย่อยๆ แรงงานเกษตรต้องเข้าสู่เมืองเพื่อเป็นแรงงาน
ตามการปรับของสังคมที่ จะเป็นสังคมเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ
แรงงานต่างด้าวจะก้าวขึ้นมาเป็น คนคุมเศรษฐกิจไทยในยุคต่อไป ส่วนคนไทยที่เสีย
ที่ดินจะพัฒนาตัวเองไปเป็นแรงงานระดับล่าง สังคมมันก็เวียนผ่านกันแบบนี้แหละครับ
ความคิดเห็นที่ 44
ผมในฐานะคนบ้านนอก คนค้าขายในชนบทขอออกความเห็นบ้าง เฉพาะเรื่องต่างจังหวัดนะครับเรื่องในกรุงไม่สันทัด
- วิกฤตภาคการเกษตรของคนต่างจังหวัด
ไม่ใช่ยังไม่เกิด มันเกิดขึ้นแล้ว และเกิดมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่สินค้าเกษตรตกต่ำรัฐบาลไม่ใช้นโยบายจำนำ ประกันราคาพืชผลแค่นี้เกษตรกรก็แย่แล้ว เพราะช่วงที่ราคาดีไปก่อหนี้ระยะยาวอย่างซื้อบ้านซื้อรถไว้จนหนี้ภาคครัวเรือนสูงปรี๊ด พอราคาตกก็ได้แต่หาเงินมาใช้หนี้ไม่มีเงินมาจับจ่ายใช้สอยเพิ่ม เศรษฐกิจต่างจังหวัดจึงซบเซามาก
จากการสังเกตุของผม เป็นแบบนี้มาสามสี่ปีแล้ว แต่รู้สึกว่าแนวโน้มเริ่มทรงตัวแต่คาดว่าปีหน้ายังคงไม่ดีขึ้น ในความเห็นผมวิกฤตรากหญ้าไม่น่าจะหนักไปกว่านี้แล้วครับ
- วิกฤตของ การเข้ามาของทุนใหญ่ที่กังวลกันว่าเป็นปลาใหญ่กินปลาเล็ก เป็นแค่เรื่องของเทรนการตลาดที่เปลี่ยนไปนะครับ
เมื่อห้างสรรรพสินค้ากับร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่เข้ามาย่อมมีผลกระทบกับร้านค้าบ้านนอกอย่างหลีกไม่ได้ ร้านโชวห่วยต้องปรับตัวต้องพัฒนาเพื่อแข่งขันกับเขา แต่ต่างจังหวัดมันกว้างใหญ่ ร้านโชวห่วยได้เปรียบที่อยู่ใกล้ชุมชนใกล้หมู่บ้าน เพียงแค่ขายของไม่แพง ติดป้ายราคาชัดเจน เช็คราคาขาย ทำราคาขายให้ไม่แตกต่างจากพวกโลตัสบิ๊กซี ให้คนซื้อรู้สึกว่าซื้อที่นี่ก็ได้ดีกว่าเสียเวลาขับรถไปซื้อที่ห้าง
ของชิ้นใหนที่ลูกค้าถามหาแล้วไม่มีก็ไปซื้อห้างขายส่งมาขาย ของในร้านก็หมั่นเติมให้ครบ จัดให้เป็นระเบียบให้ลูกค้าเดินเลือกได้เหมือนห้าง แค่นี้คนก็แน่นร้านแล้วครับ
ส่วนร้าน7 ที่เข้ามาถึงชุมชน เขาไม่ได้ขายของถูก เขาเน้นของกินไม่ได้ขายทุกอย่าง ร้านโชวห่วยข้างร้าน7 แค่ขายสินค้าจำพวกสบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก ฯลฯ โดยมีให้เลือกมากกว่า ขายราคาถูกกว่าหรือเท่ากันก็สู้ได้แล้ว เพียงแต่ต้องยอมลดราคาขายลงมาบ้าง กำไรน้อยลงบ้างก็อยู่ได้ครับ
- ส่วนเรื่องคนตกงานไม่มีงานทำนั้น สำหรับต่างจังหวัดชนบทผมมีมุมมองที่ต่างออกไป
ผมมองว่าเราผลิตแรงงานได้ไม่ตรงกับความต้องการมากกว่า ในชนบทนั้นขาดแคลนแรงงานรับจ้างกรรมกรถึงขั้นรุนแรง แม้ในภาคเกษตรเองก็ต้องจ้างแรงงานต่างด้าวมาทำไร่ทำนากันแล้ว คนในเมืองอาจมองว่างานกรรมกรได้ค่าแรงแค่ขั้นต่ำ ความจริงไม่ใช่ ในยุคที่คนเกิดน้อย วัยแรงงานเข้ากรุง เข้าไปทำงานโรงงาน
ในบ้านนอกชนบทถ้าจ้างแรงงานไร้ทักษะรายวันตอนนี้ขั้นต่ำก็ 4-500 ต่อวัน(ไม่รวมรถรับส่ง เครื่องดื่มเย็นๆ อาหารเที่ยง ลิโพ เอ็ม และตบท้ายด้วยเครื่องดื่มมีดีกรีหลังเลิกงาน) ไม่อย่างนั้นก็จ้างเหมา เช่น ไถนา ดำนา พ่นยา เกี่ยวข้าว คิดเป็นค่าจ้างค่าแรงต่อไร่ (อย่างลูกน้องเก่าผมที่ออกไปทำพวกนี้ มีตัวเปล่าขับรถได้ ช่วงมีงานรายได้เฉลี่ยประมาณวันละ 800-1000)
(ถ้าคนกรุงตกงาน ยังหนุ่มยังแน่นมีแรงมีพลัง ไม่เกี่ยงงานหนักงานร้อนงานเปื้อน บ้านนอกยินดีต้อนรับครับ)
ยกระดับขึ้นมาหน่อย งานพวกช่างทั้งหลายก็ยังเป็นที่ต้องการอยู่ เช่นพวกช่างปูน ช่างไม้ ช่างไฟ ช่างซ่อมรถ ฯ ค่าจ้างก็แพงแถมยังต้องรอคิวด้วย
- เรื่องวิกฤตจากเทคโนโลยีที่เข้ามาแทนที่แรงงาน
ก็นั่นละครับ เพราะแรงงานหายาก ค่าแรงแพงก็ต้องใช้เทคโนโลยีมาทำงานแทน ก่อนหน้านี้มีรถเกี่ยวข้าว รถตัดอ้อย รถดำนา มาแทนคน ก็ไม่เห็นว่าคนบ้านนอกจะตกงาน ถ้าอนาคตจะมีโดรนมาพ่นยา มาหว่านปุ๋ย (ตอนนี้ก็เริ่มเห็นแล้วนะ) รถไถ รถดำนา ไร้คนขับ(ก็เริ่มเห็นเหมือนกัน) ก็ถือเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำที่มาลดต้นทุนแรงงานให้เกษตรกร (ที่แรงงานแพงและหายากตามด้านบน)
- วิธีการแก้วิกฤตภาคเกษตร
ก็เหมือนกันคนอื่นๆคือต้องพัฒนาตัวเอง ต้องปรับตัวเหมือนกัน ในเมื่อตลาดเกษตรแบบแมส ราคามันตกต่ำ ก็หันไปจับตลาดแบบนิชแทน อย่างพวกเกษตรอินทรีย์ พืชสมุนไพร พืชผักไร้สารพิษ ซึ่งมีตลาดยังต้องการอีกมากและได้ราคาดี (ผมมีที่ว่างหลังบ้านอยู่หน่อยปลูกฝรั่งกินเอง 5-6 ต้น ไม่ใส่ปุ๋ยยาสารเคมี มีคนเห็นยังจะมาขอซื้อไปขายต่อเลย)
แต่ปัญหาที่ผมเห็นก็คือ ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง ทำนาก็เป็นนาเช่าไม่มีที่ทำกินของตัวเอง ทั้งยังมีหนี้สินต้องชดใช้ ทำให้ไม่กล้าที่จะทำอะไรที่ต่างไปจากเดิมกลัวไม่ได้ผลตามที่คาดไว้ เลยทำให้พวกเขาไม่หลุดพ้นวงจรหนี้ซะที
สรุปที่คนต่างจังหวัดวิกฤต หลักๆก็คือหนี้ที่ก่อแล้วรายได้น้อยลงจนไม่พอใช้หนี้นั่นละครับ วิกฤตนี้เป็นวิกฤตที่เป็นรายบุคคล ไม่ใช่วิกฤตที่ระบบ แบบวิกฤตสถาบันการเงินในอดีตดังนั้นจึงไม่เห็นอาการตลาดหุ้นพังทลาย ปิดธนาคารปิดสถาบันการเงินแบบในอดีต (เพียงแต่ธนาคารสถาบันการเงินควบคุมหนี้เสียให้ได้ก็พอ)
สำหรับคนที่ใช้ชีวิตไม่ประมาท ไม่ก่อหนี้เกินตัว กินอยู่อย่างประหยัด ก็คงแค่รู้สึกว่าเงินทองฝืดเคืองหายากกว่าเดิม แต่ไม่ได้วิกฤตอะไรกับเขาด้วย
ส่วนใครที่วิกฤตอยู่ก็ขอให้ตั้งสติ ใช้ปัญญา ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต(ข้อนี้ยากหน่อย แต่อยากพ้นวิกฤตต้องทำให้ได้ครับ) ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงยังใช้ได้และทันสมัยเสมอครับ
- วิกฤตภาคการเกษตรของคนต่างจังหวัด
ไม่ใช่ยังไม่เกิด มันเกิดขึ้นแล้ว และเกิดมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่สินค้าเกษตรตกต่ำรัฐบาลไม่ใช้นโยบายจำนำ ประกันราคาพืชผลแค่นี้เกษตรกรก็แย่แล้ว เพราะช่วงที่ราคาดีไปก่อหนี้ระยะยาวอย่างซื้อบ้านซื้อรถไว้จนหนี้ภาคครัวเรือนสูงปรี๊ด พอราคาตกก็ได้แต่หาเงินมาใช้หนี้ไม่มีเงินมาจับจ่ายใช้สอยเพิ่ม เศรษฐกิจต่างจังหวัดจึงซบเซามาก
จากการสังเกตุของผม เป็นแบบนี้มาสามสี่ปีแล้ว แต่รู้สึกว่าแนวโน้มเริ่มทรงตัวแต่คาดว่าปีหน้ายังคงไม่ดีขึ้น ในความเห็นผมวิกฤตรากหญ้าไม่น่าจะหนักไปกว่านี้แล้วครับ
- วิกฤตของ การเข้ามาของทุนใหญ่ที่กังวลกันว่าเป็นปลาใหญ่กินปลาเล็ก เป็นแค่เรื่องของเทรนการตลาดที่เปลี่ยนไปนะครับ
เมื่อห้างสรรรพสินค้ากับร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่เข้ามาย่อมมีผลกระทบกับร้านค้าบ้านนอกอย่างหลีกไม่ได้ ร้านโชวห่วยต้องปรับตัวต้องพัฒนาเพื่อแข่งขันกับเขา แต่ต่างจังหวัดมันกว้างใหญ่ ร้านโชวห่วยได้เปรียบที่อยู่ใกล้ชุมชนใกล้หมู่บ้าน เพียงแค่ขายของไม่แพง ติดป้ายราคาชัดเจน เช็คราคาขาย ทำราคาขายให้ไม่แตกต่างจากพวกโลตัสบิ๊กซี ให้คนซื้อรู้สึกว่าซื้อที่นี่ก็ได้ดีกว่าเสียเวลาขับรถไปซื้อที่ห้าง
ของชิ้นใหนที่ลูกค้าถามหาแล้วไม่มีก็ไปซื้อห้างขายส่งมาขาย ของในร้านก็หมั่นเติมให้ครบ จัดให้เป็นระเบียบให้ลูกค้าเดินเลือกได้เหมือนห้าง แค่นี้คนก็แน่นร้านแล้วครับ
ส่วนร้าน7 ที่เข้ามาถึงชุมชน เขาไม่ได้ขายของถูก เขาเน้นของกินไม่ได้ขายทุกอย่าง ร้านโชวห่วยข้างร้าน7 แค่ขายสินค้าจำพวกสบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก ฯลฯ โดยมีให้เลือกมากกว่า ขายราคาถูกกว่าหรือเท่ากันก็สู้ได้แล้ว เพียงแต่ต้องยอมลดราคาขายลงมาบ้าง กำไรน้อยลงบ้างก็อยู่ได้ครับ
- ส่วนเรื่องคนตกงานไม่มีงานทำนั้น สำหรับต่างจังหวัดชนบทผมมีมุมมองที่ต่างออกไป
ผมมองว่าเราผลิตแรงงานได้ไม่ตรงกับความต้องการมากกว่า ในชนบทนั้นขาดแคลนแรงงานรับจ้างกรรมกรถึงขั้นรุนแรง แม้ในภาคเกษตรเองก็ต้องจ้างแรงงานต่างด้าวมาทำไร่ทำนากันแล้ว คนในเมืองอาจมองว่างานกรรมกรได้ค่าแรงแค่ขั้นต่ำ ความจริงไม่ใช่ ในยุคที่คนเกิดน้อย วัยแรงงานเข้ากรุง เข้าไปทำงานโรงงาน
ในบ้านนอกชนบทถ้าจ้างแรงงานไร้ทักษะรายวันตอนนี้ขั้นต่ำก็ 4-500 ต่อวัน(ไม่รวมรถรับส่ง เครื่องดื่มเย็นๆ อาหารเที่ยง ลิโพ เอ็ม และตบท้ายด้วยเครื่องดื่มมีดีกรีหลังเลิกงาน) ไม่อย่างนั้นก็จ้างเหมา เช่น ไถนา ดำนา พ่นยา เกี่ยวข้าว คิดเป็นค่าจ้างค่าแรงต่อไร่ (อย่างลูกน้องเก่าผมที่ออกไปทำพวกนี้ มีตัวเปล่าขับรถได้ ช่วงมีงานรายได้เฉลี่ยประมาณวันละ 800-1000)
(ถ้าคนกรุงตกงาน ยังหนุ่มยังแน่นมีแรงมีพลัง ไม่เกี่ยงงานหนักงานร้อนงานเปื้อน บ้านนอกยินดีต้อนรับครับ)
ยกระดับขึ้นมาหน่อย งานพวกช่างทั้งหลายก็ยังเป็นที่ต้องการอยู่ เช่นพวกช่างปูน ช่างไม้ ช่างไฟ ช่างซ่อมรถ ฯ ค่าจ้างก็แพงแถมยังต้องรอคิวด้วย
- เรื่องวิกฤตจากเทคโนโลยีที่เข้ามาแทนที่แรงงาน
ก็นั่นละครับ เพราะแรงงานหายาก ค่าแรงแพงก็ต้องใช้เทคโนโลยีมาทำงานแทน ก่อนหน้านี้มีรถเกี่ยวข้าว รถตัดอ้อย รถดำนา มาแทนคน ก็ไม่เห็นว่าคนบ้านนอกจะตกงาน ถ้าอนาคตจะมีโดรนมาพ่นยา มาหว่านปุ๋ย (ตอนนี้ก็เริ่มเห็นแล้วนะ) รถไถ รถดำนา ไร้คนขับ(ก็เริ่มเห็นเหมือนกัน) ก็ถือเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำที่มาลดต้นทุนแรงงานให้เกษตรกร (ที่แรงงานแพงและหายากตามด้านบน)
- วิธีการแก้วิกฤตภาคเกษตร
ก็เหมือนกันคนอื่นๆคือต้องพัฒนาตัวเอง ต้องปรับตัวเหมือนกัน ในเมื่อตลาดเกษตรแบบแมส ราคามันตกต่ำ ก็หันไปจับตลาดแบบนิชแทน อย่างพวกเกษตรอินทรีย์ พืชสมุนไพร พืชผักไร้สารพิษ ซึ่งมีตลาดยังต้องการอีกมากและได้ราคาดี (ผมมีที่ว่างหลังบ้านอยู่หน่อยปลูกฝรั่งกินเอง 5-6 ต้น ไม่ใส่ปุ๋ยยาสารเคมี มีคนเห็นยังจะมาขอซื้อไปขายต่อเลย)
แต่ปัญหาที่ผมเห็นก็คือ ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง ทำนาก็เป็นนาเช่าไม่มีที่ทำกินของตัวเอง ทั้งยังมีหนี้สินต้องชดใช้ ทำให้ไม่กล้าที่จะทำอะไรที่ต่างไปจากเดิมกลัวไม่ได้ผลตามที่คาดไว้ เลยทำให้พวกเขาไม่หลุดพ้นวงจรหนี้ซะที
สรุปที่คนต่างจังหวัดวิกฤต หลักๆก็คือหนี้ที่ก่อแล้วรายได้น้อยลงจนไม่พอใช้หนี้นั่นละครับ วิกฤตนี้เป็นวิกฤตที่เป็นรายบุคคล ไม่ใช่วิกฤตที่ระบบ แบบวิกฤตสถาบันการเงินในอดีตดังนั้นจึงไม่เห็นอาการตลาดหุ้นพังทลาย ปิดธนาคารปิดสถาบันการเงินแบบในอดีต (เพียงแต่ธนาคารสถาบันการเงินควบคุมหนี้เสียให้ได้ก็พอ)
สำหรับคนที่ใช้ชีวิตไม่ประมาท ไม่ก่อหนี้เกินตัว กินอยู่อย่างประหยัด ก็คงแค่รู้สึกว่าเงินทองฝืดเคืองหายากกว่าเดิม แต่ไม่ได้วิกฤตอะไรกับเขาด้วย
ส่วนใครที่วิกฤตอยู่ก็ขอให้ตั้งสติ ใช้ปัญญา ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต(ข้อนี้ยากหน่อย แต่อยากพ้นวิกฤตต้องทำให้ได้ครับ) ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงยังใช้ได้และทันสมัยเสมอครับ
ความคิดเห็นที่ 20
--> ของผมอยู่ได้นะครับ เพราะมี skill ระดับหนึ่งนะครับ และ reskill เรื่อยๆ
--> เข้าเรื่องก่อน - -' เราเข้าประเด็นเรื่องช่วยเหลือนะครับ ผมเชื่อว่า คน กทม. เอาตัวรอดได้อยู่แล้ว และจะเจอปัญหาช้าที่สุด ในประเทศ
-->ปัญหาลาม เรื่อยๆ คนล่างก็ ปรับตัวได้แล้วด้วยการประหยัดมาก หรือ ย้ายไป เกาหลี เข้า กทม ไปภาคตะวันออก ที่กำลังเติบโต สายรถไฟฟ้า สายใหม่เชื่อ 3 สนามบิน คนล่าง ก็ไปทำงาน กลางล่างแทน แย่งงาน กลางล่าง ขายคริมกันตรึม ทำให้กลางล่างเดือดร้อน ตอนนี้ คนขายเยอะ ลามไปเสื้อผ้า ช่วงนี้ ครีมตาย คนล่างซื้อไม่ไหว สต็อกแบก ขึ้นไปเสื้อผ้า แย่งอาชีพ กลางกลาง กลางๆ กลุ่มนี้เก่ง เทคโนโลยี fb youtube im กลุ่มนี้ เอาตัวรอดเก่ง แต่ เจอเบียดตั้งตลาดบน การเงินที่มากว่า ใส่เงิน มาเก็ตมากกว่า เจอกลางล่างหนีตลาดขึ้นมาสู้ สำคัญ เจอจีนเข้ามาตีอีก สู้ด้วยราคา สุดท้าย หาตลาดใหม่ ตลาดเดิมอยู่ไม่ไหว กำลังเงินไม่มีกัน ก็ตาย
---> ปัญหาโลกใหม่คือ มีธุรกิจให้ทำกันน้อยลงๆ นับวันยิ่งน้อยลง เริ่มจาก เจอเจ้าใหญ่ๆ แย่งทำเช่น เมื่อก่อน คอม กล้อง จานดาวเทียมดีมาก ร้านค้ามีมาก เจอธุรกิจใหญ่ยืด ร้านโชว์ห่วย ค้าไม้ เฟอนิเจอร์ เจอ ตลาดทุน ลงของได้มากกว่าระบบต่างเกือบทุกด้านสู้ไม่ใหม่ และแบรนด์ไม่มี ธุรกิจเก่าๆตายลง ธุรกิจที่เกิดใหม่ เกิดไม่ทันธุรกิจเก่า คนทีรอดคือคนที่ niceh จริงๆ เช่น youtuber im fbcreator หรือ พนักงานแพ็กของ พนักงานคุยแชท กลุ่มพนักงานแปลกๆเกิดขึ้น แต่พนักงานเก่าๆที่ตาย มันตายมากกว่า จำนวนงานใหม่ที่เกิด
--> เมื่อ งานเก่า เกิดน้อยกว่า งานใหม่ คนก็จะไหลไปที่ ธุรกิจที่เหลือๆ อยู่ ด้วยกรอบความคิดคนตกงานใหม่ๆคือ ต้องประหยัดต้นทุนอยู่ให้ได้นานๆ ทำให้ จึงวนเวียนอยู่กับธุรกิจเดิมๆ หรือ ไปทาง internet ขายของ online ที่ต่ำสุดแล้ว ทาง im เหมือนง่าย แต่การเจอทั้งเรื่อง seo im reach น้อยลง fb เจ้าใหญ่ โฆษณาได้ดีกว่า dropship สุดท้ายก็เจอปัญหาเรื่องเราไม่ใช่โรงงาน สุดท้าย ของแต่ละอย่าง จะมีคนที่ ทำราคาได้ดีกว่าเราเสมอ เพราะเราไม่ได้ใช่โรงงาน ก็เจ็บตัวกันอีก แต่ก็มีคน รอดได้บ้าง เล็กน้อย
--> แล้วถ้าคนยังตกงานมาอีกหละ 4.0 ว่าตกงานมากแล้ว 5.0 นี้ล้างเลย เพราะเป็นยุคของ AI แบบแท้จริง 4.0 เป็นแค่ ยุคของ disrupt 5.0 คือ ai ทำงาน แทนคน หุ่นยน เข้าไปทุกที่เพื่อลดต้นทุน ถ้าหากคุณเป็นเจ้าของบริษัทจะรู้เลย ค่าพนักงาน เป็นสิ่งที่หนักที่สุดในบริษัทแล้ว (ส่วนมากนะครับ) เมื่อหุ่นยนต์แทนเราได้ ขนของ รถส่งของเองได้ ตอบได้ พูดได้ ทำงานหนักได้ และ ไวกว่านั้นอีก ai แค่ ยุค 5.0 เมื่อไป 6.0 คือยุ่ ai learning คือ เรียนรู้ได้ เอง ai มีความสามารถด้านศิลปะ ยุค 5.0 อาชีพต่างๆ ที่ไม่ต้องใช้ศิลปะ เช่นการแพท ศาล ต่างๆยังไม่ตกงาน แต่เมื่อ ai ฉลาด ถึงขั้น db ผิดพลาด1 ใน 10 ล้าน เกิดขึ้น เราก็จะ ตกงานขึ้นไปอีก อันนี้คือระดับ โลก
--> ของไทย ยังตามต่างประเทศเยอะมากๆ เช่นจีน สร้างระบบนิเวสไว้ ซื้อบ้านดีๆให้คนเก่ง ระดับผู้บริหารอยู่ด้วยกัน ตื่นมาเจอกันคิดอย่างเดียวว่าจะผลิตอะไรไหม่ คิดได้ ทดลอง ลงไปล่างตึก อยากได้อะไร ระบบนิเวสแถวนั้นเอามาให้หมด มีทุกอย่าง ไม่ต้องโทรสั่งต่างประเทศ ต่างจังหวัด เอามาทดลองได้ภายใน 5 นาที จะประกอบ ลองผิดลองถูก ได้ไม่ได้ เวลาเป็นสิ่งสำคัญ มีระบบนิเวสที่ครบ สร้าง สรรค์อะไรใหม่ๆได้ตลอด
เดียวมาต่อครับ .. ภรรยาให้ไปซื้อของครับ - -'
--> เข้าเรื่องก่อน - -' เราเข้าประเด็นเรื่องช่วยเหลือนะครับ ผมเชื่อว่า คน กทม. เอาตัวรอดได้อยู่แล้ว และจะเจอปัญหาช้าที่สุด ในประเทศ
-->ปัญหาลาม เรื่อยๆ คนล่างก็ ปรับตัวได้แล้วด้วยการประหยัดมาก หรือ ย้ายไป เกาหลี เข้า กทม ไปภาคตะวันออก ที่กำลังเติบโต สายรถไฟฟ้า สายใหม่เชื่อ 3 สนามบิน คนล่าง ก็ไปทำงาน กลางล่างแทน แย่งงาน กลางล่าง ขายคริมกันตรึม ทำให้กลางล่างเดือดร้อน ตอนนี้ คนขายเยอะ ลามไปเสื้อผ้า ช่วงนี้ ครีมตาย คนล่างซื้อไม่ไหว สต็อกแบก ขึ้นไปเสื้อผ้า แย่งอาชีพ กลางกลาง กลางๆ กลุ่มนี้เก่ง เทคโนโลยี fb youtube im กลุ่มนี้ เอาตัวรอดเก่ง แต่ เจอเบียดตั้งตลาดบน การเงินที่มากว่า ใส่เงิน มาเก็ตมากกว่า เจอกลางล่างหนีตลาดขึ้นมาสู้ สำคัญ เจอจีนเข้ามาตีอีก สู้ด้วยราคา สุดท้าย หาตลาดใหม่ ตลาดเดิมอยู่ไม่ไหว กำลังเงินไม่มีกัน ก็ตาย
---> ปัญหาโลกใหม่คือ มีธุรกิจให้ทำกันน้อยลงๆ นับวันยิ่งน้อยลง เริ่มจาก เจอเจ้าใหญ่ๆ แย่งทำเช่น เมื่อก่อน คอม กล้อง จานดาวเทียมดีมาก ร้านค้ามีมาก เจอธุรกิจใหญ่ยืด ร้านโชว์ห่วย ค้าไม้ เฟอนิเจอร์ เจอ ตลาดทุน ลงของได้มากกว่าระบบต่างเกือบทุกด้านสู้ไม่ใหม่ และแบรนด์ไม่มี ธุรกิจเก่าๆตายลง ธุรกิจที่เกิดใหม่ เกิดไม่ทันธุรกิจเก่า คนทีรอดคือคนที่ niceh จริงๆ เช่น youtuber im fbcreator หรือ พนักงานแพ็กของ พนักงานคุยแชท กลุ่มพนักงานแปลกๆเกิดขึ้น แต่พนักงานเก่าๆที่ตาย มันตายมากกว่า จำนวนงานใหม่ที่เกิด
--> เมื่อ งานเก่า เกิดน้อยกว่า งานใหม่ คนก็จะไหลไปที่ ธุรกิจที่เหลือๆ อยู่ ด้วยกรอบความคิดคนตกงานใหม่ๆคือ ต้องประหยัดต้นทุนอยู่ให้ได้นานๆ ทำให้ จึงวนเวียนอยู่กับธุรกิจเดิมๆ หรือ ไปทาง internet ขายของ online ที่ต่ำสุดแล้ว ทาง im เหมือนง่าย แต่การเจอทั้งเรื่อง seo im reach น้อยลง fb เจ้าใหญ่ โฆษณาได้ดีกว่า dropship สุดท้ายก็เจอปัญหาเรื่องเราไม่ใช่โรงงาน สุดท้าย ของแต่ละอย่าง จะมีคนที่ ทำราคาได้ดีกว่าเราเสมอ เพราะเราไม่ได้ใช่โรงงาน ก็เจ็บตัวกันอีก แต่ก็มีคน รอดได้บ้าง เล็กน้อย
--> แล้วถ้าคนยังตกงานมาอีกหละ 4.0 ว่าตกงานมากแล้ว 5.0 นี้ล้างเลย เพราะเป็นยุคของ AI แบบแท้จริง 4.0 เป็นแค่ ยุคของ disrupt 5.0 คือ ai ทำงาน แทนคน หุ่นยน เข้าไปทุกที่เพื่อลดต้นทุน ถ้าหากคุณเป็นเจ้าของบริษัทจะรู้เลย ค่าพนักงาน เป็นสิ่งที่หนักที่สุดในบริษัทแล้ว (ส่วนมากนะครับ) เมื่อหุ่นยนต์แทนเราได้ ขนของ รถส่งของเองได้ ตอบได้ พูดได้ ทำงานหนักได้ และ ไวกว่านั้นอีก ai แค่ ยุค 5.0 เมื่อไป 6.0 คือยุ่ ai learning คือ เรียนรู้ได้ เอง ai มีความสามารถด้านศิลปะ ยุค 5.0 อาชีพต่างๆ ที่ไม่ต้องใช้ศิลปะ เช่นการแพท ศาล ต่างๆยังไม่ตกงาน แต่เมื่อ ai ฉลาด ถึงขั้น db ผิดพลาด1 ใน 10 ล้าน เกิดขึ้น เราก็จะ ตกงานขึ้นไปอีก อันนี้คือระดับ โลก
--> ของไทย ยังตามต่างประเทศเยอะมากๆ เช่นจีน สร้างระบบนิเวสไว้ ซื้อบ้านดีๆให้คนเก่ง ระดับผู้บริหารอยู่ด้วยกัน ตื่นมาเจอกันคิดอย่างเดียวว่าจะผลิตอะไรไหม่ คิดได้ ทดลอง ลงไปล่างตึก อยากได้อะไร ระบบนิเวสแถวนั้นเอามาให้หมด มีทุกอย่าง ไม่ต้องโทรสั่งต่างประเทศ ต่างจังหวัด เอามาทดลองได้ภายใน 5 นาที จะประกอบ ลองผิดลองถูก ได้ไม่ได้ เวลาเป็นสิ่งสำคัญ มีระบบนิเวสที่ครบ สร้าง สรรค์อะไรใหม่ๆได้ตลอด
เดียวมาต่อครับ .. ภรรยาให้ไปซื้อของครับ - -'
ความคิดเห็นที่ 17
สมัยก่อนเราก็มีมือถือของไทยเองที่ชื่อไอโมบาย แต่ก็ไม่รอด การที่จะเริ่มอะไรพวกนี้ถามว่าเราสู้จีนได้แค่ไหน ผมเพิ่งซื้อ pocophone ราคาไม่ถึงหมื่นเอามาเล่นเกมส์โดยเฉพาะ แต่สเปคเครื่องดีพอๆกับพวกตัว top ของตลาดเลยทีเดียว
ในทางกลับกัน เมื่อหลายปีก่อน เถ้าแก่น้อย เป็นสินค้าที่คนต่างชาติต้องซื้อ แล้วคุณเคยเห็นคนจีนเหมาดอกบัวคู่ยกแผงไหม หรือปัจจุบันกระเป๋า Naraya ที่ดังถึงขนาดเปิด shop ได้ในต่างประเทศ ผมไม่คิดว่าสินค้าพวกนี้ รอรัฐมาสนับสนุนมากมายขนาดนั้น แต่ลองดูสิ นี่คือสินค้ากลุ่มที่ประเทศไทยถนัดหรือเปล่า
ช่วงนี้คนบ่นเรื่องเศรษฐกิจไม่ดี รัฐไม่ช่วย พอออกมาบอกให้ปรับตัว ก็โดนโจมตีว่าพวกทำงานบริษัทก็นั่งห้องแอร์สบายๆไม่เห็นเดือดร้อนเลย
แต่รู้ไหมว่าคนทำงานบริษัท หรือชนชั้นกลางกลาง แบบพวกเราต้องปรับตัวตลอดเวลา เรามีประเมินผลงานทุกๆปี ปีนี้เราต้องทำดีกว่าปีที่แล้ว เรามีเทคโนโลยีใหม่ๆมาตลอดเวลา เช่นปีนี้ก็ RPA ซึ่งมาทำงานแทนคน เราก็ต้องปรับตัวเพื่อพิสูจน์ว่า เราดีกว่าเครื่องจักรพวกนี้ จะเรียกได้ว่าปรับตัวจนชินก็ไม่ผิด ซึ่งมันทำให้เราตอบรับได้กับหลายๆอย่างได้ง่าย ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น application สั่งอาหารทั้งหลาย
ผมเจอป้าขายข้าวแกงข้างตึกบ่นว่าลูกค้าลดลงเลย เศรษฐกิจแย่จริงๆ แต่ปล่าวเลย ทุกเที่ยงพวกเราก็จะเปิดดูละว่า app ไหนลดราคาอาหาร ราคาค่าส่งบ้าง ทำงานย่านสาทร ผมก็สั่งก๋วยเตี๋ยว bib gourmand จากแถวสุขุมวิทมากินประจำ
สรุปแล้ว ถ้าเราหาทางทำให้ตัวเราเอง มีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะแข่งขันหรือทำงาน โดยไม่ต้องสนว่าใครจะเป็นรัฐบาลได้ เมื่อนั้น เราคงจะมีความสุขกันทุกคน
ในทางกลับกัน เมื่อหลายปีก่อน เถ้าแก่น้อย เป็นสินค้าที่คนต่างชาติต้องซื้อ แล้วคุณเคยเห็นคนจีนเหมาดอกบัวคู่ยกแผงไหม หรือปัจจุบันกระเป๋า Naraya ที่ดังถึงขนาดเปิด shop ได้ในต่างประเทศ ผมไม่คิดว่าสินค้าพวกนี้ รอรัฐมาสนับสนุนมากมายขนาดนั้น แต่ลองดูสิ นี่คือสินค้ากลุ่มที่ประเทศไทยถนัดหรือเปล่า
ช่วงนี้คนบ่นเรื่องเศรษฐกิจไม่ดี รัฐไม่ช่วย พอออกมาบอกให้ปรับตัว ก็โดนโจมตีว่าพวกทำงานบริษัทก็นั่งห้องแอร์สบายๆไม่เห็นเดือดร้อนเลย
แต่รู้ไหมว่าคนทำงานบริษัท หรือชนชั้นกลางกลาง แบบพวกเราต้องปรับตัวตลอดเวลา เรามีประเมินผลงานทุกๆปี ปีนี้เราต้องทำดีกว่าปีที่แล้ว เรามีเทคโนโลยีใหม่ๆมาตลอดเวลา เช่นปีนี้ก็ RPA ซึ่งมาทำงานแทนคน เราก็ต้องปรับตัวเพื่อพิสูจน์ว่า เราดีกว่าเครื่องจักรพวกนี้ จะเรียกได้ว่าปรับตัวจนชินก็ไม่ผิด ซึ่งมันทำให้เราตอบรับได้กับหลายๆอย่างได้ง่าย ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น application สั่งอาหารทั้งหลาย
ผมเจอป้าขายข้าวแกงข้างตึกบ่นว่าลูกค้าลดลงเลย เศรษฐกิจแย่จริงๆ แต่ปล่าวเลย ทุกเที่ยงพวกเราก็จะเปิดดูละว่า app ไหนลดราคาอาหาร ราคาค่าส่งบ้าง ทำงานย่านสาทร ผมก็สั่งก๋วยเตี๋ยว bib gourmand จากแถวสุขุมวิทมากินประจำ
สรุปแล้ว ถ้าเราหาทางทำให้ตัวเราเอง มีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะแข่งขันหรือทำงาน โดยไม่ต้องสนว่าใครจะเป็นรัฐบาลได้ เมื่อนั้น เราคงจะมีความสุขกันทุกคน
แสดงความคิดเห็น
วิกฤตเกิดล่างขึ้นบน คน กทม จะรู้ตัวช้าที่สุด
-->ในประเทศไทย จังหวัดเกินครึ่ง ที่ในจังหวัดไม่มีโรงงานหรือ บริษัทเอกชนไปตั้ง จีงมีแต่ ราชการ เช่นจังหวัดผม จังหวัดอยู่ได้ด้วยราชการ เป็นคนใช้จ่าย เอกชนไม่มี ช่วง ระหว่าง เข้าหรือ บ่ายถึงเย็น จะไ่ม่มีคน เพราะไม่เอกชนเลย
-->กทม เป็นจังหวัดที่มีเอกชนเยอะที่สุดแล้ว และเป็นศูนย์กลางทุกอย่าง จะเห็นผลต่างๆช้าที่สุด เพราะมีเอกชนจับจ่ายใช้สอย คนเยอะ ไ่ม่แปลกที่งานต่างๆเช่น moto expo ขายดี และขายตึกขายห้อง ก็ได้จีน หรือต่างชาติมาซื้อ แต่เงินกองอยู่ที่ กรุงเทพ หรือ ภาคตะวันออก
--> วิกฤตรอบนี้เกิดจากชั้นล่าง เหนือ ใต้ อีสาน เมื่อก่อนการเกษตร สามารถรองรับคนที่ ตกงาน หรือ มาทำธุรกิจได้ แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว การตกงาน ของคนขั้นกลางจะไมมีอะไรมารอรับ
--> วิกฤตรอบหน้าคือกฤติ 5.0 ที่เร็วกว่า 4.0 การมาของ ai รอบแรก(คือ ai ยุคแรก ยังไม่ไปถึงศิลปะ) รอบก่อน ทำลาย อาชีพธนาคาร สื่อ และอีกหลายๆอย่าง รอบหน้า alibaba จะหนักขึ้นเต็มตัว เมื่อ สต็อกของในไทยแล้ว คนขั้นกลาง เจอโรงงานมาเอง เงินทุนที่ไม่มีทางสู้ได้ คนขั้นล่างปรับตัวไปทางหนีไปต่างประเทศ หรือ เข้าไปทำงานเมืองที่พอเจริญอยู่ คนขั้นกลาง กลาง ที่พอมีธุรกิจบ้าง เจอแย่ง ธุรกิจเสริม และ ธุรกิจ ต่างๆจะ ถูกต่างชาติ หรือ โรงงานแย่งไปมากขี้น จน ธุรกิจที่มีให้ทำอยู่น้อยลง และจะไปรวมกัน แข่งขันกัน จะรอดคือ ธุรกิจที่ เฉพาะจริงๆ ซึ้ง หลายๆคนไม่เปิดเผย
-->เจ้าของธุรกิจรอบนี้ จะเดือดขึ้น เพราะปลาใหญ่จะกินธุรกิจ ปลาเล็กมากขึ้น คน กทม ไม่รู้เลยว่า การทำหรือ เล่นตลาดหุ้น หลายๆที ทำให้ คนต่างจังหวัดตายได้เช่นกัน การเอาห้างใหญ่ๆมาเปิด คือ เครื่องมือขนาดใหญ่ในการดูดเงินคนในจังหวัด ทำลายธุรกิจ จะบอกว่าเพื่อจะได้ความสะดวก หรือ เพื่อความเจริญ แต่ไม่คุ้มเลย กับช้างเผือก ที่พ่อแม่เป็นเจ้าของธุรกิจ สามารถส่งลูกๆไปนอกได้ หรือ บอกว่า ให้สร้าง ธุรกิจที่ดีกว่าเค้ามาสู้ มันเป็นไปไม่ได้เลยเพราะ ยกตัวอย่างนะครับ ต้นทุนเค้าถูกมาก อย่าง ห้างค้าส่งใหญ่ก็ของเค้า 7-eve ก็ของเค้า ต้นทุน เค้ารับมาจากโรงงานเลย โปรโมชั่นต่างๆ ต้นทุนในการแข่ง สุดท้าย ต่างจังหวัด ทำดีขนาดไหน ระบบ แบรนด์ ระดับต่างจังหวัดสู้ไ่มได้หรอกครับ
ดูอย่าง กรุงเทพ สร้างแบรนด์กาแฟประเทศไทยขนาดไหน เจอแบรน ระดับโลก คนก็ต้องการสิ่งที่สูงกว่าอยู่ดี ต่างจังหวัด เจอตีแบบนั้นก็ตายเช่นกัน การสู้จึงยากครับ
--> รอบนี้จะลามไปถึงราชการด้วย ราชการจะสู้กับเอกชนไม่ได้ด้วยต้นทุน ยกตัวอย่างเช่น ไปรษณี เจอการแข่งขัน ไม่เคยเจอมาก่อน เจอ kerry ทีมาแรงแย่งส่วนแบ่งหนัก หน้าใหม่อย่าง 7-11 ทำไปรษณีเอง ส่งได้ 24 ชั่วโมง และสะดวกหลายที่กว่า SCG ก็มาอีกหลายเจ้า และมีเจ้าที่พร้อมละลายเงิน เพื่อกินส่วนแบ่ง โดยยอมขาดทุนระดับ หลายพันล้านได้ หลายปี ไม่ต้องพูดถึงต่างชาติ ใช้ ai รถอัตโนมัติส่งของโดยไม่ใช้คนแล้ว ไปรษณีอาจผลประกอบการเป็น ลบ แล้วเอาเงินรัฐบาลไปอุ้มได้ อย่างตอนนี้ เริ่มมีหลายๆอย่างต่อสู้ลำบากแล้ว อย่าง TOTและ cat จะมีหลายๆอย่างโดนมากขึ้น การตกงาน หรือจ้างงาน น้อยลง
-->คนตกงานจะไปไหนกัน ตอนนี้ ด้านล่างคือการ เกษตร ไม่สามารถ รองรับ คนตกงานได้แล้ว เพราะราคาตก อยู่ได้แค่เพียง รักษาชีวิตเท่านั้น และรอวัฐจักรเติมโตกลับมา แต่การจะกลับมาก็มืดมนอีก เพราะ ai และ เครื่องจักร แบบอัตโนมัติ จะทำแทนคนได้ทั้งหมด การลงเครื่องจักครั้งเดียว ได้ประสิทธิภาพ มากกว่าคน และไม่เหน็ดเหนื่อยด้วย
-->ตอนนี้เราอยู่ในช่วงที่คน ชั้นกลางล่าง เหนื่อยที่สุด และกลางกลาง เริ่มรู้สึกเหนื่อยบ้างแล้ว ปีนี้ทั้งปี จะเกิดวิกฤตเข้า คนระดับ กลางกลาง
แต่คนที่ไม่กระทบเลยก็มีเยอะ เช่น งานที่โคกับต่างประเทศ งานบริการเฉพาะทาง และงานที่เชื่อกับ ระดับ ล่างลงมา จะกระทบหนักขึ้น ทำให้ปีก่อนเห็นคนชั้นกลางล่างปรับตัวกันเยอะ เชนขายครีม ทำ online เยอะมาก ปีนี้ กลางกลาง (ปกติก็มีธุรกิจกันอยู่แล้ว ที่อีกระดับ กับ กลางล่าง เช่นการลงทุน) ระเริ่มเห็นผล
-->คนปรับตัวรอดก็มีกันเยอะ แต่รอบนี้คนเจ็บตัวเยอะกว่า และที่รองรับคนจะน้อยลง บ้านเรา ต้องมีรัฐบาลช่วยด้วย นำด้วยวิสัยทัศต่างๆ
เข่น ของเวียดนาม ทำมือถือสัญชาติตัวเอง (แต่หลายคนก็ว่า แค่ประกอบเฉย แต่นั้นคือไอเดียได้เริ่มทำก่อน) ก้าวเล็กๆที่ ได้ทำอะไรใหม่ๆ
ทำรถของตัวเองเป็นแบรนของประเทศ เช่น ให้ภาคเหนือ ทำมือถือ(ออกแบบสวย) ภาคใต้ ทำ ยางรถ (เพราะยางพาราเยอะ)
อีสาน ตั้งการผลิตรถกระบะแห่งชาติ และใช้เงิน รัฐบาลสนุบสนุนจริงจัง สมัยก่อน เกาหลีใต้ ไม่ชอบยาง โยโก ญี่ปุ่น ก็ออกของตัวเองมาและ ระดับโลกได้ เราต้องเริ่มจากก้าวเล็กๆ และไ่ม่ดูถูกไทยเอง ข้อดีคือ ทำให้เงินกระจายไปทั่วประเทศไทย และเงินหมุนในภาค และจังหวัดมากขึ้น ตัวอย่าง จังหวัดผมชัยภูมิ คนเงินเดิอนเกิน 4 หมื่น นี้ นับหัวได้เลย
--> เรื่อง GDP การส่งออก เราไม่รู้สึกจริงๆนะครับ บอกโต แต่มันไปโตการส่งออก ไปโตการท่องเที่ยว แต่จังหวัดแบบของผม มันไม่รู้สึกอะไรด้วยเลย
เห็นแต่ มีแต่ คนบ่นเรื่องธุรกิจ หากคนในจังหวัด ยังเลือก พรรคเดิมจึงไม่แปลกจริงๆ เพราะเค้าได้ประโยชน์ แบบนั้น เงิน หลายๆคนเค้าไม่ไปเอาด้วยนะครับ เพราะเค้าบอกค้องทดแทนบุญคุณ สังเกต หลายๆคนไม่กดรับเงิน เพราะเป็นยุญคุณ เราต้องทดแทนครับ แต่เราเลือกคนที่ต้งใจจริงๆ และเห็นผลจริงๆครับ
เดียวมาต่อครับ... รับลูกค้าก่อน...