เปิด 4 ธีมลงทุนปี’68 รับมือ “ทรัมป์”-หุ้นไทยลุ้น 1,600 จุด

ตลาดการลงทุนในปี 2568 ยังคงมีหลายปัจจัยและหลายความเสี่ยงที่นักลงทุนยังต้องติดตาม โดยเฉพาะการขึ้นดำรงตำแหน่งของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่นักลงทุนคงจะต้องปรับพอร์ตเพื่อรับมือ มองหาตลาดที่คาดว่าจะได้ประโยชน์ในครั้งนี้

4 ธีมลงทุนน่าสนใจปี’68
โดย “ชยนนท์ รักกาญจนันท์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) ฟินโนมีนา กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในปีหน้า จะต้องติดตามนโยบายต่าง ๆ ของทรัมป์ ในระยะสั้นอาจจะทำให้ดัชนีหุ้นทั่วโลกผันผวน ส่วนโอกาสการลงทุนมองว่าแบ่งได้ 4 ธีมหลัก ได้แก่

1.การลงทุนใน AI โดยมองว่าปี’68 บริษัทที่สามารถนำ AI ไปประกอบธุรกิจและทำให้ยอดขายโตได้ หรือนำ AI ไปอยู่ในกระบวนการทำงาน แล้วสามารถลดต้นทุนได้ โดยบริษัทที่จะได้ประโยชน์ มอง NVIDIA, Microsoft, Alphabet เป็นต้น

2.พลังงานสะอาด (Clean Energy) และ ESG แม้ว่าวาระเรื่องสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยคาร์บอนในสหรัฐจากนโยบายทรัมป์ จะน้อยลง แต่ผู้ที่นำวาระในโลก คือ ยุโรป ซึ่งเชื่อว่า การเก็บภาษีคาร์บอน เทรนด์ ESG จะมีอยู่ทั่วโลกแม้สหรัฐจะไม่เข้าร่วม มองบริษัทได้ประโยชน์ เช่น Tesla, Nextera Energy, First Solar ของยุโรป, BYD ของจีน เป็นต้น

3.Health Tech & Biotechnology โดยมองว่า AI จะเข้ามาช่วยวงการการแพทย์ได้ค่อนข้างมาก เช่น การวินิจฉัยโรค ทำยีนบำบัด หรือการรักษาโรคที่ซับซ้อนมองว่า AI จะช่วยได้ โดยบริษัทที่ใช้ AI ช่วยการค้นคว้าน่าจะได้ประโยชน์ เช่น Eli Lilly, Vertex, Teladoc เป็นต้น

4.มองว่าทรัมป์น่าจะให้การสนับสนุนด้านนโยบายที่เกี่ยวข้องกับ Cryptocurrency โดยเฉพาะที่มีกระแสข่าวการจัดตั้งกองทุนบิตคอยน์ จะทำได้หรือไม่ สำหรับหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ Crypto เช่น หุ้น Microstrategy ที่ถือ BTC ค่อนข้างมาก
“ในปี’68 จะต้องจับตาว่า จะมีบริษัทจดทะเบียนใน S&P 500 ที่มีเงินสดเหลือเข้าไปลงทุนบิตคอยน์แบบที่ Microstrategy จะเพิ่มขึ้นหรือไม่ด้วย”

กสิกรฯแนะรอจังหวะหุ้นสหรัฐ
ขณะที่ “วิน พรหมแพทย์” ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด มองว่า หุ้นสหรัฐในปี 2568 น่าจะไปต่อได้ และน่าจะทำให้ภาพใหญ่ของตลาดหุ้นทั่วโลกน่าจะไปต่อได้เช่นกัน จากปัจจัยดอกเบี้ยขาลงของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และเศรษฐกิจสหรัฐ ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ รวมถึงการอัดฉีดมาตรการเพิ่มเติมของทรัมป์ เช่น การลดภาษี ที่เป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง โดย P/E ขึ้นมาที่ 22 เท่า จึงต้องลงทุนอย่างระมัดระวัง

“ในปี’68 หากตลาดหุ้นสหรัฐ ย่อตัว แนะนำเป็นจังหวะเข้าซื้อ อย่างไรก็ตาม ยังแนะนำให้เน้นหุ้นต่างประเทศที่เป็นการกระจายหุ้นทั่วโลก นอกจากนี้ ยังมองการลงทุนในกลุ่มกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง ซึ่งมองไปที่กลุ่มการเติบโตในดาต้าเซ็นเตอร์ ที่น่าสนใจ”

ทิสโก้เชียร์หุ้น กลาง-เล็ก สหรัฐ
“สาห์รัช ชัฏสุวรรณ” กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า ปี 2568 ตลาดหุ้นสหรัฐ น่าสนใจจากเทรนด์ดอกเบี้ยที่เป็นขาลง และนโยบายทรัมป์ ที่โปรโมตเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น อย่างไรก็ตาม จาก Valuation ราคาที่ค่อนข้างตึงตัว โดยเฉพาะกลุ่มบิ๊กเทค หุ้น 7 นางฟ้าที่ราคาดีดไปค่อนข้างสูง แต่ทิสโก้มองว่า หุ้นอื่น ๆ ที่ไม่ใช่หุ้นขนาดใหญ่ ราคายังไม่สูงมากนัก เช่น หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก เป็นต้น ถือว่าน่าลงทุน
“หากนักลงทุนรับความเสี่ยงได้สูง แนะนำลงทุนในตลาดหุ้น 60% และตราสารหนี้โลก 40% โดยแบ่งเป็นหุ้นไทย 20% และตลาดหุ้นต่างประเทศ 80% ซึ่งแบ่งเป็นหุ้นสหรัฐ และที่เหลือเป็นตลาดฝั่งเอเชีย เช่น อินเดีย ไต้หวัน เกาหลี เป็นต้น”

“จิตตะ เวลธ์” มองหุ้นจีนเด่น
ด้าน “ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.จิตตะ เวลธ์ ประเมินว่า ภาพรวมตลาดหุ้นโลกปี 2568 จะยังสดใสต่อเนื่อง โดยเทรนด์ยังเป็นนโยบายการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของประเทศต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม อาจจะมีความผันผวนของนโยบายฝั่งสหรัฐที่มีทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี ซึ่งจะส่งผลต่อไปถึงการค้า สงครามในตะวันออกกลาง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั่วโลก

โดยนโยบายต่าง ๆ ของทรัมป์ อาจจะทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐได้รับประโยชน์ ส่วนประเทศต่าง ๆ อาจจะได้รับผลกระทบ ทั้งไทย ในเรื่องการส่งออกไปที่สหรัฐ จีนที่จะได้ผลกระทบหากมีการปรับขึ้นภาษี 60% ส่วนเศรษฐกิจจีนน่าจะเริ่มดีขึ้น จากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มคลี่คลาย

โดยจีนเตรียมนโยบายทั้งการคลังและการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อเตรียมรับมือสงครามการค้า และจะมีการพึ่งพิงนำเข้า-ส่งออกลดลง รวมถึงพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก พร้อมกันนี้ จีนจะกลับมากระตุ้นให้นักลงทุนในประเทศกลับมาซื้อหุ้น หลังจากที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติขายหุ้นจีนออกมาจำนวนมาก ทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงในช่วงปีที่ผ่านมา

“มองว่าในปี’68 ตลาดหุ้นจีนเป็นดาวเด่นได้ จากราคาที่ถูก และรัฐบาลน่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น โดยกลุ่มที่น่าสนใจ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจอุปโภคบริโภคในประเทศ ซึ่งแม้ว่าจะมีวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ แต่ธุรกิจกินใช้และอาหาร ยังเติบโตได้ดี, กลุ่มเฮลท์แคร์ เนื่องจากภาครัฐลดการพึ่งพิงยาจากสหรัฐ แล้วผลิตเอง รวมถึงมีนโยบายให้ซื้อยาในประเทศ, กลุ่มพลังงานสะอาด ซึ่งภาครัฐบาลสนับสนุน”

หุ้นไทยลุ้น 1,500-1,600 จุด
ส่วนตลาดหุ้นไทยปี’68 “ตราวุทธิ์” ประเมินว่า จะอยู่ในทิศทางไซด์เวย์อัพ และน่าจะปรับขึ้นถึง 1,600 จุดได้ จากเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้น และนโยบายดอกเบี้ยเริ่มอยู่ในเทรนด์เดียวกับทั่วโลกที่เริ่มปรับลดลง ดังนั้นต้นทุนกู้ยืมต่าง ๆ จะเริ่มลดลง เศรษฐกิจมีการขยายตัวที่ดีขึ้น มีนโยบายที่กระตุ้นจากทางภาครัฐ

“ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันราคายังไม่ได้แพงมาก น่าจะพอไปต่อได้ มองว่ากลุ่มท่องเที่ยวและที่เกี่ยวข้องกับภาคบริการน่าสนใจ จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเข้ามามากยิ่งขึ้น ส่วนการบริโภคในประเทศมองว่าค่อนข้างอิ่มตัว”

ขณะที่ “วิน” มองว่า ในปี 2568 หุ้นไทยน่าจะมีอัพไซด์ไม่มากนัก คาดอยู่ที่ระดับ 1,500-1,550 จุด โดยกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS) คาดเติบโต 5-7% หรือกำไรต่อหุ้นที่ 95 บาท และคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดดอกเบี้ย 1-2 ครั้งในปี 2568

“ครึ่งแรกของปี 2568 คาดว่า ตลาดหุ้นไทยจะแกว่งไซด์เวย์ ในช่วง 1,300-1,450 จุด ซึ่งต้องติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลอีกครั้ง ทั้งนี้ หุ้นที่แนะนำเน้นกลุ่มที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง (Dividend Yield) เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มสื่อสาร เป็นต้น” ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทยกล่าว... 

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1724435
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่