ลุ้นขึ้น หรือ ลุ้นลง
โบรกฯ จับตา January Effect มีโอกาสเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน หวังช่วยดันตลาดหุ้น ชี้สถิติ 10 ปีย้อนหลัง ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 1.1% ขณะที่ปีนี้อาจไม่สดใสเหมือนอดีต หลังมีแรงกดดันจากเม็ดเงิน LTF ที่ครบกำหนดขาย และความกังวลนโยบาย "ทรัมป์ 2.0"
*** KS มองมีโอกาสเกิดขึ้น
บล.กรุงศรี ประเมิน January Effect ในปี 2025 มีโอกาสเกิดขึ้น อิงสถิติ 10 ปี ย้อนหลัง SET Index ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 7 ใน 10 ปี ผลตอบแทนเฉลี่ย 1.1% หนุนจากมุมมอง GDP Growth ปี 2025 เร่งขึ้นจากปีก่อน อิง Krungsri Research คาดโต 2.9%y-y vs. 2.7% ในปี 2024 ผสาน SET ปัจจุบันอยู่ในโซนลงทุนลงทุนระยะกลางกรอบ 1420-1370 จุด (Forward Equity Risk Premium สูง 4.76%-4.52%) > AVG +1 S.D. ที่ 4.05%
*** FSS ลุ้นโอกาสเกิดขึ้น 70%
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า กลยุทธ์ลงทุนเดือน ม.ค. 2025 คาด SET ฟื้นตัวหลังจากปรับลงในเดือนก่อนหน้า หนุนจากกำไรบริษัทจดทะเบียน 4Q24 ที่คาดว่าจะแข็งแกร่งขึ้น และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ อีกทั้งจากตัวเลขสถิติในอดีตมีโอกาสเกิด January Effect กว่า 70%
อย่างไรก็ตาม upside จะยังจำกัดจากการกลับมาของนโยบายการค้าของทรัมป์ เศรษฐกิจโลกยังแข็งแกร่ง และนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายน่าจะทัดทานกับความเสี่ยงขาลงจากภาษีการค้าที่สูงขึ้น ขณะที่การบริโภคและการลงทุนที่แข็งแกร่งจะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ยังคงให้เป้า SET ปี 2025 ที่ 1,600 จุด หุ้นที่ชอบได้แก่ BA CHG CPALL KTB MTC NSL RBF SEAFCO SHR และ WHA
*** หมดหวัง JANUARY EFFECT หลังไร้แรงหนุน LTF
บล.เอเซีย พลัส (ASPS) ระบว่า โดยปกตินักลงทุนมักคาดหวังกับ JANUARY EFFECT ซึ่งหากพิจารณาเป็นราย เดือนจะเห็นได้ว่า JANUARY EFFECT ที่ปกติมักสดใสในอดีต อาจไม่เหมือนเดิม และมี ความผันผวนของดัชนีมากขึ้น หลังหมดเงินหนุนจาก LTF ตั้งแต่ปี 2019
ขณะที่ความกังวลประเด็นสงครามการค้า TRUMP 2.0 อาจกดดันให้ต่างชาติชะลอ ลงทุนหุ้นไทยได้ เนื่องจาก ปีที่มีประเด็นสงครามการค้าTRUMP1.0 แรงๆ คือ ปี 2018 ซึ่งเป็นปีที่ต่างชาติขายหุ้นไทยมากที่สุด 2.87 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตามอาจไม่ได้ขายสุทธิแรงเหมือนปี 2018 เนื่องจาก SET ถูกต่างชาติขายสุทธิมาแล้วหลายปี และไทยก็มี การปรับตัวหลังเกิดสงครามการค้าTRUMP1.0 มาบ้างแล้ว
ขณะที่พฤติกรรมนักลงทุนต่างชาติมีลักษณะเลือกลงทุนเฉพาะกลุ่มมากขึ้น สะท้อนได้จากตลอด 10 ปี ที่ผ่านมา ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยสะสม -8.85 แสนล้านบาท แต่สัดส่วนการถือครองหุ้นไทยจากต่างชาติกลับ ยังทรงๆ ตัวโดยเพิ่มขึ้นจนล่าสุดอยู่ที่ ระดับ 27.2% ซึ่งส่วนหนึ่งมาจาก DELTA ที่บวกแรง 73%(YTD) และมีสัดส่วน MARKET CAP จากเพียง 6.4% ในช่วงต้นปี สู่ระดับ 10.9% ณ สิ้นปี 2567
ดังนั้น นักลงทุนจึงต้อง SELECTIVE BUY มากขึ้นในการที่จะชนะตลาดฯ และได้ผลกำไร โดยหุ้นที่ต่างชาติซื้อสุทธิมากสุด 10 อันดับแรกตลอดปี 2567 คือ VGI KBANK GULF ADVANC SCB CPF SAWAD COM7 INTUCH และ KTC เป็นต้น
https://www.efinancethai.com/LastestNews/LatestNewsMain.aspx?ref=A&id=Y0tIdkRDTWF1SDg9&fbclid=IwY2xjawHj-8FleHRuA2FlbQIxMQABHVaidhgwY-DQ7nDEDDXTLziktdC85X5hvzBdTZtK7m5Km8VsRoecLW5TZg_aem_B5nkuyMuLOcBEmGohw6rJQ
จับตา January Effect ! ช่วยดัน SET มากน้อยแค่ไหน ท่ามกลางปัจจัยกดดัน LTF - นโยบาย `ทรัมป์`
โบรกฯ จับตา January Effect มีโอกาสเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน หวังช่วยดันตลาดหุ้น ชี้สถิติ 10 ปีย้อนหลัง ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 1.1% ขณะที่ปีนี้อาจไม่สดใสเหมือนอดีต หลังมีแรงกดดันจากเม็ดเงิน LTF ที่ครบกำหนดขาย และความกังวลนโยบาย "ทรัมป์ 2.0"
*** KS มองมีโอกาสเกิดขึ้น
บล.กรุงศรี ประเมิน January Effect ในปี 2025 มีโอกาสเกิดขึ้น อิงสถิติ 10 ปี ย้อนหลัง SET Index ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 7 ใน 10 ปี ผลตอบแทนเฉลี่ย 1.1% หนุนจากมุมมอง GDP Growth ปี 2025 เร่งขึ้นจากปีก่อน อิง Krungsri Research คาดโต 2.9%y-y vs. 2.7% ในปี 2024 ผสาน SET ปัจจุบันอยู่ในโซนลงทุนลงทุนระยะกลางกรอบ 1420-1370 จุด (Forward Equity Risk Premium สูง 4.76%-4.52%) > AVG +1 S.D. ที่ 4.05%
*** FSS ลุ้นโอกาสเกิดขึ้น 70%
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า กลยุทธ์ลงทุนเดือน ม.ค. 2025 คาด SET ฟื้นตัวหลังจากปรับลงในเดือนก่อนหน้า หนุนจากกำไรบริษัทจดทะเบียน 4Q24 ที่คาดว่าจะแข็งแกร่งขึ้น และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ อีกทั้งจากตัวเลขสถิติในอดีตมีโอกาสเกิด January Effect กว่า 70%
อย่างไรก็ตาม upside จะยังจำกัดจากการกลับมาของนโยบายการค้าของทรัมป์ เศรษฐกิจโลกยังแข็งแกร่ง และนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายน่าจะทัดทานกับความเสี่ยงขาลงจากภาษีการค้าที่สูงขึ้น ขณะที่การบริโภคและการลงทุนที่แข็งแกร่งจะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ยังคงให้เป้า SET ปี 2025 ที่ 1,600 จุด หุ้นที่ชอบได้แก่ BA CHG CPALL KTB MTC NSL RBF SEAFCO SHR และ WHA
*** หมดหวัง JANUARY EFFECT หลังไร้แรงหนุน LTF
บล.เอเซีย พลัส (ASPS) ระบว่า โดยปกตินักลงทุนมักคาดหวังกับ JANUARY EFFECT ซึ่งหากพิจารณาเป็นราย เดือนจะเห็นได้ว่า JANUARY EFFECT ที่ปกติมักสดใสในอดีต อาจไม่เหมือนเดิม และมี ความผันผวนของดัชนีมากขึ้น หลังหมดเงินหนุนจาก LTF ตั้งแต่ปี 2019
ขณะที่ความกังวลประเด็นสงครามการค้า TRUMP 2.0 อาจกดดันให้ต่างชาติชะลอ ลงทุนหุ้นไทยได้ เนื่องจาก ปีที่มีประเด็นสงครามการค้าTRUMP1.0 แรงๆ คือ ปี 2018 ซึ่งเป็นปีที่ต่างชาติขายหุ้นไทยมากที่สุด 2.87 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตามอาจไม่ได้ขายสุทธิแรงเหมือนปี 2018 เนื่องจาก SET ถูกต่างชาติขายสุทธิมาแล้วหลายปี และไทยก็มี การปรับตัวหลังเกิดสงครามการค้าTRUMP1.0 มาบ้างแล้ว
ขณะที่พฤติกรรมนักลงทุนต่างชาติมีลักษณะเลือกลงทุนเฉพาะกลุ่มมากขึ้น สะท้อนได้จากตลอด 10 ปี ที่ผ่านมา ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยสะสม -8.85 แสนล้านบาท แต่สัดส่วนการถือครองหุ้นไทยจากต่างชาติกลับ ยังทรงๆ ตัวโดยเพิ่มขึ้นจนล่าสุดอยู่ที่ ระดับ 27.2% ซึ่งส่วนหนึ่งมาจาก DELTA ที่บวกแรง 73%(YTD) และมีสัดส่วน MARKET CAP จากเพียง 6.4% ในช่วงต้นปี สู่ระดับ 10.9% ณ สิ้นปี 2567
ดังนั้น นักลงทุนจึงต้อง SELECTIVE BUY มากขึ้นในการที่จะชนะตลาดฯ และได้ผลกำไร โดยหุ้นที่ต่างชาติซื้อสุทธิมากสุด 10 อันดับแรกตลอดปี 2567 คือ VGI KBANK GULF ADVANC SCB CPF SAWAD COM7 INTUCH และ KTC เป็นต้น
https://www.efinancethai.com/LastestNews/LatestNewsMain.aspx?ref=A&id=Y0tIdkRDTWF1SDg9&fbclid=IwY2xjawHj-8FleHRuA2FlbQIxMQABHVaidhgwY-DQ7nDEDDXTLziktdC85X5hvzBdTZtK7m5Km8VsRoecLW5TZg_aem_B5nkuyMuLOcBEmGohw6rJQ