วันที่ 19 ธันวาคม 2555 01:00
นงนภัส ปิฏฐปาตี
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ช่วงสิ้นปีมักจะมีคนพูดถึง "แจนยัวรี่ เอฟเฟค"หรือบรรยากาศการลงทุนที่คึกคัก จากกระแสเงินทุนต่างชาติ
ที่ทะลักเข้าตลาดหุ้น ซึ่งมีนักลงทุนสนใจที่จะเลือกลงทุนหุ้นที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากแรงซื้อ และเมื่อสำรวจความคิดเห็นของบรรดากูรู หรือนักวิเคราะห์หลักทรัพย์หลายๆ คน ยังประเมินว่า เดือนมกราคม ดัชนีหุ้นไทย ยังน่าจะเป็นขาขึ้นได้อีก
เผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย บอกว่าจากตัวเลขสถิติ 10 ปีย้อนหลัง จะเห็นว่า ถ้าเดือนธันวาคม ดัชนีหุ้นไทยจะอยู่ทิศทางขาขึ้นค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.35% แต่ถ้ามกราคมค่าเฉลี่ยลดลง 1.5% ซึ่งจะเป็นขาลง แต่สำหรับปี 2556 อาจจะแตกต่างจากทุกปี แม้ว่าเดือนธันวาคมเป็นขาขึ้น แต่มกราคมน่าจะยังเป็นขาขึ้นได้ต่อได้ เพราะปัจจัยที่สนับสนุนโดยเฉพาะสภาพคล่องจากกระแสเงินสดที่ล้นทั่วโลก ทำให้ยังพอมีเงินที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้บ้าง
ปัจจัยที่ทุกคนต้องติดตามหลักๆ ก็ยังเป็นเรื่องประเด็นเศรษฐกิจโลก และมุ่งเน้นไปที่ภาวะหน้าผาการคลังของสหรัฐ จะเป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะถ้าแก้ไขได้ดีและไม่มีปัญหาทุกอย่างก็น่าจะผ่านไปได้ด้วยดี เราก็มีโอกาสได้เห็นกระแสเงินทุนที่ไหลเข้ามาอีกครั้ง
กูรูตลาดทุนอย่าง สุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ฯ เชื่อว่าปัจจุบันเรากำลังอยู่ในช่วง December effect มากกว่า ส่วนมกราคมจะยังคึกคักหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่จะมีอิทธิพล ตลาดหุ้นในปัจจุบันจะถูกกำหนดทิศทางจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ซึ่งสิ่งที่ต้องติดตามกันก็คือ การแก้ไขปัญหาหน้าผาการคลังของสหรัฐจะออกมาในรูปแบบไหน เป็นสิ่งที่คนทั่วโลกรอคอยกันอยู่ และลึกๆ ก็ยังหวังว่าจะออกมาแบบคลี่คลายมากกว่าสิ้นหวัง
สอดรับกับอาภาพร แสวงพรรค ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ก็ให้ความเห็นที่เหมือนกันเพราะรอดูว่าแนวทางจะออกของการแก้ไขมาแบบไหน หากสหรัฐสามารถข้ามผ่านภาวะนี้ไปได้คาดว่าตลาดหุ้นในปี 56 จะมีโอกาสเกิด Positive January Effect และเดินหน้าไปได้ดีต่อ เนื่องจากตลาดหุ้นมีปัจจัยหนุนหลายอย่างทั้ง สภาพคล่องระบบการเงินโลกสูง, อัตราดอกเบี้ยของประเทศชั้นนำมี แนวโน้มทรงตัวต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ไปอีกนาน,สถานการณ์ในยูโรโซนดีขึ้น, ราคาน้ำมันดิบอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่สูง หนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และความวิตกของการเมืองไทยผ่อนคลายลงในระยะสั้น เพราะแรงกระเพื่อมและความขัดแย้งทางการเมืองน่าจะชะลอไประยะหนึ่ง
ขณะที่ เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซียพลัส มองสวนทางเพราะมองว่าสัญญาการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะจีดีพีโลกปีหน้าอยู่ที่ 3.6% และการเติบโตของกำไรสุทธิของตลาดหุ้นไทยก็น่าจะเบาบางลง ขณะที่ปีนี้ราคาหุ้นก็ขยับมามากแล้วดังนั้นโอกาสที่จะมีกระแสเงินเข้าแบบทะลักก็คงเป็นเรื่องยาก ดังนั้น การเลือกหุ้นควรจะเน้นหุ้นที่ถือลงทุนได้ในระยะกลาง ซึ่งที่ปลอดภัยสุดก็เห็นจะเป็นหุ้นประเภทปันผลดี
หน้าผาการคลังชี้ชะตา"แจนยัวรี่ เอฟเฟค"
นงนภัส ปิฏฐปาตี
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ช่วงสิ้นปีมักจะมีคนพูดถึง "แจนยัวรี่ เอฟเฟค"หรือบรรยากาศการลงทุนที่คึกคัก จากกระแสเงินทุนต่างชาติ
ที่ทะลักเข้าตลาดหุ้น ซึ่งมีนักลงทุนสนใจที่จะเลือกลงทุนหุ้นที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากแรงซื้อ และเมื่อสำรวจความคิดเห็นของบรรดากูรู หรือนักวิเคราะห์หลักทรัพย์หลายๆ คน ยังประเมินว่า เดือนมกราคม ดัชนีหุ้นไทย ยังน่าจะเป็นขาขึ้นได้อีก
เผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย บอกว่าจากตัวเลขสถิติ 10 ปีย้อนหลัง จะเห็นว่า ถ้าเดือนธันวาคม ดัชนีหุ้นไทยจะอยู่ทิศทางขาขึ้นค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.35% แต่ถ้ามกราคมค่าเฉลี่ยลดลง 1.5% ซึ่งจะเป็นขาลง แต่สำหรับปี 2556 อาจจะแตกต่างจากทุกปี แม้ว่าเดือนธันวาคมเป็นขาขึ้น แต่มกราคมน่าจะยังเป็นขาขึ้นได้ต่อได้ เพราะปัจจัยที่สนับสนุนโดยเฉพาะสภาพคล่องจากกระแสเงินสดที่ล้นทั่วโลก ทำให้ยังพอมีเงินที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้บ้าง
ปัจจัยที่ทุกคนต้องติดตามหลักๆ ก็ยังเป็นเรื่องประเด็นเศรษฐกิจโลก และมุ่งเน้นไปที่ภาวะหน้าผาการคลังของสหรัฐ จะเป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะถ้าแก้ไขได้ดีและไม่มีปัญหาทุกอย่างก็น่าจะผ่านไปได้ด้วยดี เราก็มีโอกาสได้เห็นกระแสเงินทุนที่ไหลเข้ามาอีกครั้ง
กูรูตลาดทุนอย่าง สุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ฯ เชื่อว่าปัจจุบันเรากำลังอยู่ในช่วง December effect มากกว่า ส่วนมกราคมจะยังคึกคักหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่จะมีอิทธิพล ตลาดหุ้นในปัจจุบันจะถูกกำหนดทิศทางจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ซึ่งสิ่งที่ต้องติดตามกันก็คือ การแก้ไขปัญหาหน้าผาการคลังของสหรัฐจะออกมาในรูปแบบไหน เป็นสิ่งที่คนทั่วโลกรอคอยกันอยู่ และลึกๆ ก็ยังหวังว่าจะออกมาแบบคลี่คลายมากกว่าสิ้นหวัง
สอดรับกับอาภาพร แสวงพรรค ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ก็ให้ความเห็นที่เหมือนกันเพราะรอดูว่าแนวทางจะออกของการแก้ไขมาแบบไหน หากสหรัฐสามารถข้ามผ่านภาวะนี้ไปได้คาดว่าตลาดหุ้นในปี 56 จะมีโอกาสเกิด Positive January Effect และเดินหน้าไปได้ดีต่อ เนื่องจากตลาดหุ้นมีปัจจัยหนุนหลายอย่างทั้ง สภาพคล่องระบบการเงินโลกสูง, อัตราดอกเบี้ยของประเทศชั้นนำมี แนวโน้มทรงตัวต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ไปอีกนาน,สถานการณ์ในยูโรโซนดีขึ้น, ราคาน้ำมันดิบอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่สูง หนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และความวิตกของการเมืองไทยผ่อนคลายลงในระยะสั้น เพราะแรงกระเพื่อมและความขัดแย้งทางการเมืองน่าจะชะลอไประยะหนึ่ง
ขณะที่ เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซียพลัส มองสวนทางเพราะมองว่าสัญญาการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะจีดีพีโลกปีหน้าอยู่ที่ 3.6% และการเติบโตของกำไรสุทธิของตลาดหุ้นไทยก็น่าจะเบาบางลง ขณะที่ปีนี้ราคาหุ้นก็ขยับมามากแล้วดังนั้นโอกาสที่จะมีกระแสเงินเข้าแบบทะลักก็คงเป็นเรื่องยาก ดังนั้น การเลือกหุ้นควรจะเน้นหุ้นที่ถือลงทุนได้ในระยะกลาง ซึ่งที่ปลอดภัยสุดก็เห็นจะเป็นหุ้นประเภทปันผลดี