บทที่ 1
https://ppantip.com/topic/38300723
..............
"ทำไมคุณไม่หาอะไรทำ" เขาถามเสียงเรียบ จนเกินกว่าจะมองเป็นการประชด "พรุ่งนี้ไม่มีแล้วนะ คุณควรให้รางวัลกับตัวเองในวันสุดท้าย"
“พรุ่งนี้ไม่มี” ผมพยักหน้ารับคำ แม้จะรู้สึกผิดคาดกับท่าทางของเขา ซึ่งปกติแล้วจะเงยหน้ามองท้องฟ้าอยู่ตลอดเวลา เพราะคิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่น “แต่วันนี้ ผมก็ยังมีอะไรทำเหมือนกันนะครับ คุณจอห์นสัน”
“ขอให้โชคดีก็แล้วกัน”
“เช่นกันครับ”
“ผมโชคดีอยู่แล้วละ” เขาพูดขณะหันไปสนใจกับรถคันงามอีกครั้ง น่าประหลาดใจที่มีคนให้เวลาวันสุดท้ายอยู่กับรถ มากกว่าจะอยู่กับใครสักคน หรือจะเป็นอย่างที่มีคนเคยว่าเอาไว้ บางทีเหตุผลก็ไมสำคัญ ความพอใจต่างหาก อาจเปรียบเทียบได้ว่า ผู้หญิงที่กำลังร่วงหล่นจากที่สูงลงมาสู่พื้น จะมีบางคนแทนที่จะกรีดร้องด้วยความตื่นตกใจ แต่เธอกลับใช้เวลากับเครื่องสำอาง แต่งหน้าแต่งตาให้สวยงาม กระทั่งร่างกระทบพื้นในวินาทีสุดท้าย นั่นละ ความพอใจ อย่างน้อยมิสเตอร์จอห์นสันก็ใกล้เคียงในสิ่งที่เขาคิดและสิ่งที่เขาทำ ด้วยความพอใจในวันสุดท้าย
ผมเดินต่อไปอย่างไม่รีบร้อน สองฟั่งฟากของถนนเงียบสงบ บ้านหลายหลังยังคงเปิดไฟในบ้าน มองเห็นเงาของคนเคลื่อนไหววูบวาบทางหน้าต่าง ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงอย่างที่เคยดูในภาพยนตร์เกี่ยวกับวันสิ้นโลก ที่มักจะออกไปในทางวุ่นวายจราจลบ้าคลั่ง จนควบคุมไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้กำกับจะสร้างภาพออกมาแบบนั้น มันก็แค่การคาดเดาถึงความน่าจะเป็น เพราะจริง ๆ แล้ว ก่อนหน้านั้น ไม่เคยมีใครสัมผัสถึงความจริงที่ว่า พรุ่งนี้ไม่มี มาก่อนเลยสักคน ดาวหางไม่ได้วิ่งเข้ามาปะทะโลกของเราอย่างในหนัง อุกกาบาตก็ไม่ได้พุ่งเข้ามาถล่มโลก
แต่วันนี้เราทุกคนรู้แล้วว่าพรุ่งนี้ไม่มี การรู้วันแตกดับของตัวเองที่แน่นอน ทำให้ทุกอย่างที่เราคาดการณ์เอาไว้ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
เบื้องหน้ามีใครคนหนึ่งเดินสวนทางมา จำได้ว่าเป็นคุณมาเอดะชายวัยกลางคนร่างท้วมสายตาฉ่ำแอลกอฮอล์ตลอดเวลา ขี้เมาเจ้าประจำท้องถิ่นนั่นเอง ปกติเราจะเห็นเขานอนพับหลับหน้าร้านเหล้า หรือไม่ก็ตามสวนสาธารณะมากกว่าจะเป็นบ้าน ทำให้ได้รับฉายาว่า “ขี้เมาเอเซีย” อย่างเป็นเอกฉัน เพียงแต่วันนี้ท่าทางเดินของเขาดูมั่นคงมากกว่าทุกวัน ไม่ได้เดนหน้าสามก้าวถอยหลังสองก้าวอย่างทุกคืน
สายตาของผม คงจะฉายแววแปลกใจจนทำให้เขายิ้มทักทาย ทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน ผิดวิสัยจนทำให้อดถามไม่ได้
“วันนี้ทำไมกลับเร็วจังครับ”
“ผมอยากกลับไปนอนหลับที่บ้าน” นั่นเป็นคำตอบ ที่เป็นมากกว่าคำตอบ เขาคงอยากหลับอยู่ในบ้านของเขาเป็นคืนสุดท้ายกับครอบครัวนั่นเอง
เราทักทายกัน จับมือกันเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ก่อนเดินไปตามทางใครทางมัน คุณมาเดดะก็คงเลือกเส้นทางสุดท้ายของชีวิตในรูปแบบท่ตรงกับความต้องการจริง ๆ สักที หลังจากอยู่กับความต้องการเปลือกนอกมานาน จนลืมเลือนไปว่าความต้องการแท้จริงในชีวิตคืออะไร จนกระทั่งคืนสุดท้าย
ผมเดินมาหยุดอยู่หน้าบ้านหรูหราราคาแพงหลังหนึ่ง แสงไฟในบ้านยังคงเปิดสว่าง ชั้นล่างมีเงาคนปรากฏตัดแสงไฟ บ้านของนาตาชา เพื่อนบ้านสาวที่รู้จักคุ้นเคยกันมานาน ตั้งแต่สมัยเป็นเด็กนักเรียน หลังจากหลายปีผ่านไป ต่างคนต่างแยกย้ายก่อนกลับมาปักหลักปักฐานกันที่บ้านเกิดของตัวเองอีกครั้ง
ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงต้องเดินมาที่บ้านหลังนี้
ไม่.. เธอไม่ใช่แฟนหรือคนรัก เราต่างมีครอบครัวกันแล้ว ไม่มีใครปีนกำแพงที่เรียกว่าเพื่อนเข้าไปหาอีกฝ่าย คนบางคนเกิดมาเพื่อที่จะเป็นได้อย่างมากที่สุดคือคำว่าเพื่อนเท่านั้น เป็นอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้
ดูเหมือนว่าการปรากฏกายของผมหน้าบ้านของเธอ จะถูกตรวจพบในเวลาต่อมาไม่นานนัก นาตาชาในชุดลำลองเรียบง่าย เปิดประตูบ้านเดินตรงมาหา วัยสามสิบกว่าปียังดูสวยอย่างไม่มีวี่แววจะเสื่อมคลายลงตามวันเวลา
“เฮ้...มาทำไมคะ” เสียงของเธอทักทายพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่รู้เหมือนกันสินะ บางทีอาจเพราะว่าไม่รู้จะไปไหนก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้น เข้ามาดื่มอะไรสักนิด ดีไหมคะ”
ถ้าเป็นวันอื่น ผมคงปฏิเสธและเผ่นตัวปลิวออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะรู้ว่าโทนี่ สามีของเธอเป็นคนหวงภรรยาเอาการ แต่คืนนี้มีอะไรแปลกไปกว่าปกติ ผมเดินตามเธอเข้าไปในบ้านด้วยจิตใจสงบ เราสองคนเข้าไปนั่งคู่กันบนโซฟาในห้องนั่งเล่น เปิดโทรทรรศน์เอาไว้เป็นเพื่อน แต่ไม่มีใครสนใจดูมากนัก เธอเสนอกาแฟ แต่ผมขอเปลี่ยนเป็นวิสกี้แทน แม้ว่ากาแฟจะช่วยยืดเวลาหลับออกไปได้ก็ตาม นั่นทำให้เจ้าบ้านต้องหันมาดื่มวิสดีรสดีที่สุดในบ้านเป็นเพื่อนด้วยคน
“นานแค่ไหน แล้วคะ ที่แล้ว ไม่ได้นั่งดื่มด้วยกันแบบนี้” พอผ่านแก้วที่สามไป การสนทนาก็เป็นธรรมชาติมากขึ้น
“ตั้งแต่ที่คุณแต่งงาน”
“ไม่ค่ะ ตั้งแต่คุณแต่งงานต่างหาก”
“ผมว่าตั้งแต่คุณแต่งงานนะ หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยเข้ามานั่งดื่มแบบนี้อีกเลย”
“คุณต่างหาก ตั้งแต่แต่งงาน ก็ไม่เคยแวะมานั่งดื่มแบบนี้อีกเลย”
เราหัวเราะให้กัน จะว่าไปก็คงไม่มีใครต้องการเอาชนะใครกันหรอก เป็นเพียงแต่ความคุ้นเคยกันทำให้กล้าพอจะหาเรื่องมาขัดแย้งกันได้ตามโอกาสจะเอื้ออำนวย เป็นเสียงหัวเราะใสสะอาด
“เจนนี่ล่ะคะ” เธอหมายถึงภรรยาของผม
“เธอ...ออกจากบ้านไปตั้งแต่บ่ายแล้ว”
เจนนี่ออกไปตั้งแต่บ่ายจริง ๆ ถ้าเป็นวันสุดท้าย เธอเองก็ควรจะให้เวลากับสิ่งที่อยากจะทำมานานเช่นกัน
“แล้วบิลล่ะครับ เขาไปไหน” ผมหมายถึงสามีของนาตาชา วันสุดท้ายเขาควรจะอยู่กับบ้าน หรือไม่ก็ลงมายืนกอดออกเขม้นมองไล่แขกผู้มาเยือนด้วยสายตาเอาเรื่อง
“เขาออกจากบ้านไปตั้งแต่บ่ายเช่นกันค่ะ”
คำตอบของเธอทำให้เราหัวเราะให้กันอีกครั้ง แม้แววตาจะหม่นลง นานแค่ไหนแล้วนะที่เราไม่ได้คุยกัน หัวเราะกันแบบนี้ นึกอยากจะเตะปากบิลขึ้นมาทันที ในคืนสุดท้ายของชีวิต แทนที่จะมาดูแลภรรยาสาวสวยกลับออกจากบ้านไปอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็นั่นละ ใครต่อใครก็มีเรื่องราวอยากทำ
“คุณคิดว่าพวกเขาจะไปไหนกันเหรอคะ” เธอหมายถึงบิลและเจนนี่
แน่นอนว่าเป็นคำถามที่เราสองคนเก็บไว้ในใจมาเป็นปี และไม่เคยคิดจะถามกันมาก่อน เพราะถ้าเป็นวันเวลาตามปกติมันเป็นคามน่ากลัวทารุณจิตใจมากเกินไป ชีวิตของคนเราไม่ได้สมบูรณ์เสมอไป หลายต่อหลายครั้งอยู่ผิดที่ผิดทางผิดจังหวะไม่ลงตัวและไม่มีวันขยับปรับเปลี่ยนเขยื้อนมุมเข้าหากันได้อย่างลงตัว ใครจะคิดละว่าเจจนี่กับบิล จะกลับมาถ่านไฟเก่าระอุครุกรุ่นอีกครั้ง หลังแต่งงาน
แต่ผมก็ไม่ได้แก้แค้นโชคชะตามันขมขื่น ผมกับนาตาชาไม่เคยโต้ตอบด้วยวิธีเช่นเดียวกัน มันไม่ใช่เส้นทางถูกต้อง และเราก็ไม่เคยคิดจะทำ
“ก็คงไปสู่ที่ชอบที่ชอบละครับ” ผมตอบด้วยเสียงหัวเราะ แม้จะรู้สึกว่าเหล้าจะรู้สึกขม ๆ ขึ้นมาจากปกติบ้างเล็กน้อย แต่ในใจอีกฝ่ายกลับรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด ไม่อยากโทษหรอกว่าใครเป็นฝ่ายผิดฝ่ายถูก เรื่องเกิดขึ้นและกำลังจะจบลง โดยไม่จำเป็นต้องมาบอกว่าใครถูกใครผิด ไม่ได้มีความหมายอะไรอีกต่อไป
“นาตาชา คุณรู้สึกว่าไหมว่า ทำไมเราไม่รักกัน”
เธอยิ้ม รินวิสกี้ลงทั้งสองแก้วจนเต็ม ยกแก้วขึ้นเป็นสัญญาณท้าชนแก้ว ผมรู้ว่าเธอเริ่มเมา
“อย่าดีกว่า คุณสู้ผมไม่ได้หรอก”
ปากห้าม แต่มือยังยื่นแก้วออกไปชนกัน ก่อนยกมาดื่มไปเล็กน้อย แต่นาตาชาดื่มมากกว่าจนต้องส่งเสียงปรามเอาไว้ ผู้หญิงอย่างไรก็ไม่ควรดื่มจนเมาต่อหน้าเพื่อนผู้ชาย มันออกจะดูไม่ดีไม่งาม
จอทีวีตัดออกจากซีรี่ย์เรื่องดัง มาเสนอข่าวกับหายไปของผู้คนที่เพิ่มอัตราสูงอย่างรวดเร็ว ตัดกับข่าวการให้สัมภาษณ์ผู้รอดชีวิต ไม่มีใครออกอาการสติแตกออกมาตีโพยตีพาย ต่างปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่จนวาระสุดท้าย ไม่มีอันธพาลออกอาละวาดเผาบ้านเผาเมือง ไม่มีคดีหรือความรุนแรงเกิดขึ้น ทุกคนดูเหมือนจะยอมรับชะตากรรมของโลกแต่โดยดี
หลังข่าวยังคงมีรายการแนะนำการทำอาหารตามปกติ ทั้งที่รู้ว่าไม่มีวันพรุ่งนี้ บางทีนี่เองอาจบ่งบอกถึงความเป็นมนุษย์
เราละสายตาจากข่าว หันมามองหน้ากันเนิ่นนาน เหมือนต่างฝ่ายต่างค้นหาอะไรบางอย่าง
“ทำไมนะ ทำไม...ผมถึงไม่บอกรักคุณ ก่อนที่คุณจะมีบิล” ในที่สุดผมเป็นฝ่ายโพล่งขึ้นก่อน เพราะอดรนทนไม่ได้กับความสงสัยของตัวเอง “ถ้าวันนั้น ผมบอกรักคุณ บางที อาจไม่เป้นแบบนี้”
“วันนั้นไม่มีอีกต่อไปแล้วค่ะ” นาตาชามีรอยยิ้มอยู่ในคำตอบ “ไม่มีเพราะวันนั้น เราไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าความรักคืออะไร คิดว่าสิ่งที่เรารู้สึกเรามีเราเป็นในวันนั้น คือความรัก แต่เมื่อมันผ่านไปแล้ว วันนั้นก็ไม่มีอีกต่อไป มันสายเกินไปเสียแล้วที่จะพูดคำนั้น”
“แล้ววันนี้ คุณว่าเรารู้จักความรักดีพอหรือยัง”
“ความรักแบบไหนล่ะคะ”
“น่า...จะรักแบบไหนมันก็คือความรักนั่นละ”
เราหัวเราะให้กันอีกครั้ง เพราะต่างฝ่ายต่างเข้าใจดีว่า ถึงจะเป็นวันนั้นหรือวันนี้ มันก็คงไม่ต่างกันมากนัก อนาคตผ่านมาแล้วก็ผ่านไป มันก็แค่นั้น ผมตัดสินใจยกแก้วกระดกรวดเดียวเกลี้ยง ความร้อนแรงของดีกรีทำให้รู้สึกถล่มทลายลงไปตามทางเดินอาหาร แต่ก็ไม่เห็นต้องห่วงกังวลอะไรเลยกับตับไต
เอาละ ผมเองก็จะใช้เวลาที่เหลืออยู่กับคนที่ผมรัก แต่ไม่มีความกล้าที่จะบอกรัก จนความรักหลุดลอยไป อย่างไม่อาจคืนหวล สายเกินไปกับวันนั้น
เป็นคืนและวันสุดท้าย....แต่ทำให้ผมรู้สึกผิดเหลือเกิน ย้อนไปในอดีต ผมยังเรียนหนังสือ ทุกวันจะต้องรีบกลับบ้าน เพื่อรอเด็กสาวคนหนึ่ง เดินผ่านไป มีความหมายในการกลับบ้านทุกวัน นาตาชา วัยเด็กสาว ผมไม่มีโอกาสจะจ้องมองตา แต่รู้ด้วยใจว่า ผมกำลังตกลงในหลุมลึก ที่ไม่มีวันตะกายขึ้นมา
หลุมรัก...คำง่ายดาย แต่มีความหมาย ความกล้าหาญของผมลงนรกไปแล้ว แค่บอกว่า ผมรักเธอ ทำไมไม่กล้า
ไอ้กระจอกเอ้ย....
ความไม่กล้า ทำลายความรักความฝันความหลัง จนไม่มีชิ้นดี
สามปีผ่านไป โดยที่ผมไม่กล้าแม้แต่จะทักทาย มันแย่มาก ๆ กับวัยเด็กหนุ่ม ที่รุ่มร้อนด้วยความต้องการ แต่...ผมรู้ว่ากำลังหลงรักเธอ รู้ว่าความรักคืออะไรตั้งแต่วันนั้น
ถึงขั้นวาดภาพสวย....ผมกลับบ้านแล้วนะที่รัก...ทำอาหารอะไรเอ่ย....ให้ช่วยไหม....แล้วจบลงด้วยการเดินไปโอบกอดจากด้วยหลัง โดยไม่สนใจกลิ่นควันและน้ำมันจากเตาไฟ เพียงแค่จะก้มหน้าไปกระซิบข้างหู ที่รัก ผมกลับมาแล้ว...กลับมาโดยสายตาไม่เคยแลเหลียวหญิงอื่นเลย...
ใช่ มันเป็นอดีตฝัน ที่จองจำ ผมไว้กับความรู้สึกผิด เพราะถ้าคิดสักนิด จะรู้ว่า เธอเปิดใจให้เช่นกัน
.
“คุณจะจูบฉันไหมคะ” นาตาชาถาม สีหน้าเปล่งปลั่ง คงเมาแล้วจริง ๆ ผมขยับตัวออกห่าง พยายามไม่มองแก้มแดงเปล่งปลั่ง
“ไม่ครับ...”
“ทำไม”
“เพราะผมจูบคุณในความฝัน ไม่รู้กี่ครั้ง ต่อกี่ครั้ง...” ประโยคหลังผมพยายามรักษาน้ำตา ที่กำลังเอ่อล้น ให้หายไปกับความทรงจำ
“ผมไม่ต้องทำแบบนั้น”
“ ที่รัก..”
.
พรุ่งนี้ ...ไม่มี 02
https://ppantip.com/topic/38300723
..............
"ทำไมคุณไม่หาอะไรทำ" เขาถามเสียงเรียบ จนเกินกว่าจะมองเป็นการประชด "พรุ่งนี้ไม่มีแล้วนะ คุณควรให้รางวัลกับตัวเองในวันสุดท้าย"
“พรุ่งนี้ไม่มี” ผมพยักหน้ารับคำ แม้จะรู้สึกผิดคาดกับท่าทางของเขา ซึ่งปกติแล้วจะเงยหน้ามองท้องฟ้าอยู่ตลอดเวลา เพราะคิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่น “แต่วันนี้ ผมก็ยังมีอะไรทำเหมือนกันนะครับ คุณจอห์นสัน”
“ขอให้โชคดีก็แล้วกัน”
“เช่นกันครับ”
“ผมโชคดีอยู่แล้วละ” เขาพูดขณะหันไปสนใจกับรถคันงามอีกครั้ง น่าประหลาดใจที่มีคนให้เวลาวันสุดท้ายอยู่กับรถ มากกว่าจะอยู่กับใครสักคน หรือจะเป็นอย่างที่มีคนเคยว่าเอาไว้ บางทีเหตุผลก็ไมสำคัญ ความพอใจต่างหาก อาจเปรียบเทียบได้ว่า ผู้หญิงที่กำลังร่วงหล่นจากที่สูงลงมาสู่พื้น จะมีบางคนแทนที่จะกรีดร้องด้วยความตื่นตกใจ แต่เธอกลับใช้เวลากับเครื่องสำอาง แต่งหน้าแต่งตาให้สวยงาม กระทั่งร่างกระทบพื้นในวินาทีสุดท้าย นั่นละ ความพอใจ อย่างน้อยมิสเตอร์จอห์นสันก็ใกล้เคียงในสิ่งที่เขาคิดและสิ่งที่เขาทำ ด้วยความพอใจในวันสุดท้าย
ผมเดินต่อไปอย่างไม่รีบร้อน สองฟั่งฟากของถนนเงียบสงบ บ้านหลายหลังยังคงเปิดไฟในบ้าน มองเห็นเงาของคนเคลื่อนไหววูบวาบทางหน้าต่าง ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงอย่างที่เคยดูในภาพยนตร์เกี่ยวกับวันสิ้นโลก ที่มักจะออกไปในทางวุ่นวายจราจลบ้าคลั่ง จนควบคุมไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้กำกับจะสร้างภาพออกมาแบบนั้น มันก็แค่การคาดเดาถึงความน่าจะเป็น เพราะจริง ๆ แล้ว ก่อนหน้านั้น ไม่เคยมีใครสัมผัสถึงความจริงที่ว่า พรุ่งนี้ไม่มี มาก่อนเลยสักคน ดาวหางไม่ได้วิ่งเข้ามาปะทะโลกของเราอย่างในหนัง อุกกาบาตก็ไม่ได้พุ่งเข้ามาถล่มโลก
แต่วันนี้เราทุกคนรู้แล้วว่าพรุ่งนี้ไม่มี การรู้วันแตกดับของตัวเองที่แน่นอน ทำให้ทุกอย่างที่เราคาดการณ์เอาไว้ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
เบื้องหน้ามีใครคนหนึ่งเดินสวนทางมา จำได้ว่าเป็นคุณมาเอดะชายวัยกลางคนร่างท้วมสายตาฉ่ำแอลกอฮอล์ตลอดเวลา ขี้เมาเจ้าประจำท้องถิ่นนั่นเอง ปกติเราจะเห็นเขานอนพับหลับหน้าร้านเหล้า หรือไม่ก็ตามสวนสาธารณะมากกว่าจะเป็นบ้าน ทำให้ได้รับฉายาว่า “ขี้เมาเอเซีย” อย่างเป็นเอกฉัน เพียงแต่วันนี้ท่าทางเดินของเขาดูมั่นคงมากกว่าทุกวัน ไม่ได้เดนหน้าสามก้าวถอยหลังสองก้าวอย่างทุกคืน
สายตาของผม คงจะฉายแววแปลกใจจนทำให้เขายิ้มทักทาย ทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน ผิดวิสัยจนทำให้อดถามไม่ได้
“วันนี้ทำไมกลับเร็วจังครับ”
“ผมอยากกลับไปนอนหลับที่บ้าน” นั่นเป็นคำตอบ ที่เป็นมากกว่าคำตอบ เขาคงอยากหลับอยู่ในบ้านของเขาเป็นคืนสุดท้ายกับครอบครัวนั่นเอง
เราทักทายกัน จับมือกันเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ก่อนเดินไปตามทางใครทางมัน คุณมาเดดะก็คงเลือกเส้นทางสุดท้ายของชีวิตในรูปแบบท่ตรงกับความต้องการจริง ๆ สักที หลังจากอยู่กับความต้องการเปลือกนอกมานาน จนลืมเลือนไปว่าความต้องการแท้จริงในชีวิตคืออะไร จนกระทั่งคืนสุดท้าย
ผมเดินมาหยุดอยู่หน้าบ้านหรูหราราคาแพงหลังหนึ่ง แสงไฟในบ้านยังคงเปิดสว่าง ชั้นล่างมีเงาคนปรากฏตัดแสงไฟ บ้านของนาตาชา เพื่อนบ้านสาวที่รู้จักคุ้นเคยกันมานาน ตั้งแต่สมัยเป็นเด็กนักเรียน หลังจากหลายปีผ่านไป ต่างคนต่างแยกย้ายก่อนกลับมาปักหลักปักฐานกันที่บ้านเกิดของตัวเองอีกครั้ง
ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงต้องเดินมาที่บ้านหลังนี้
ไม่.. เธอไม่ใช่แฟนหรือคนรัก เราต่างมีครอบครัวกันแล้ว ไม่มีใครปีนกำแพงที่เรียกว่าเพื่อนเข้าไปหาอีกฝ่าย คนบางคนเกิดมาเพื่อที่จะเป็นได้อย่างมากที่สุดคือคำว่าเพื่อนเท่านั้น เป็นอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้
ดูเหมือนว่าการปรากฏกายของผมหน้าบ้านของเธอ จะถูกตรวจพบในเวลาต่อมาไม่นานนัก นาตาชาในชุดลำลองเรียบง่าย เปิดประตูบ้านเดินตรงมาหา วัยสามสิบกว่าปียังดูสวยอย่างไม่มีวี่แววจะเสื่อมคลายลงตามวันเวลา
“เฮ้...มาทำไมคะ” เสียงของเธอทักทายพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่รู้เหมือนกันสินะ บางทีอาจเพราะว่าไม่รู้จะไปไหนก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้น เข้ามาดื่มอะไรสักนิด ดีไหมคะ”
ถ้าเป็นวันอื่น ผมคงปฏิเสธและเผ่นตัวปลิวออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะรู้ว่าโทนี่ สามีของเธอเป็นคนหวงภรรยาเอาการ แต่คืนนี้มีอะไรแปลกไปกว่าปกติ ผมเดินตามเธอเข้าไปในบ้านด้วยจิตใจสงบ เราสองคนเข้าไปนั่งคู่กันบนโซฟาในห้องนั่งเล่น เปิดโทรทรรศน์เอาไว้เป็นเพื่อน แต่ไม่มีใครสนใจดูมากนัก เธอเสนอกาแฟ แต่ผมขอเปลี่ยนเป็นวิสกี้แทน แม้ว่ากาแฟจะช่วยยืดเวลาหลับออกไปได้ก็ตาม นั่นทำให้เจ้าบ้านต้องหันมาดื่มวิสดีรสดีที่สุดในบ้านเป็นเพื่อนด้วยคน
“นานแค่ไหน แล้วคะ ที่แล้ว ไม่ได้นั่งดื่มด้วยกันแบบนี้” พอผ่านแก้วที่สามไป การสนทนาก็เป็นธรรมชาติมากขึ้น
“ตั้งแต่ที่คุณแต่งงาน”
“ไม่ค่ะ ตั้งแต่คุณแต่งงานต่างหาก”
“ผมว่าตั้งแต่คุณแต่งงานนะ หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยเข้ามานั่งดื่มแบบนี้อีกเลย”
“คุณต่างหาก ตั้งแต่แต่งงาน ก็ไม่เคยแวะมานั่งดื่มแบบนี้อีกเลย”
เราหัวเราะให้กัน จะว่าไปก็คงไม่มีใครต้องการเอาชนะใครกันหรอก เป็นเพียงแต่ความคุ้นเคยกันทำให้กล้าพอจะหาเรื่องมาขัดแย้งกันได้ตามโอกาสจะเอื้ออำนวย เป็นเสียงหัวเราะใสสะอาด
“เจนนี่ล่ะคะ” เธอหมายถึงภรรยาของผม
“เธอ...ออกจากบ้านไปตั้งแต่บ่ายแล้ว”
เจนนี่ออกไปตั้งแต่บ่ายจริง ๆ ถ้าเป็นวันสุดท้าย เธอเองก็ควรจะให้เวลากับสิ่งที่อยากจะทำมานานเช่นกัน
“แล้วบิลล่ะครับ เขาไปไหน” ผมหมายถึงสามีของนาตาชา วันสุดท้ายเขาควรจะอยู่กับบ้าน หรือไม่ก็ลงมายืนกอดออกเขม้นมองไล่แขกผู้มาเยือนด้วยสายตาเอาเรื่อง
“เขาออกจากบ้านไปตั้งแต่บ่ายเช่นกันค่ะ”
คำตอบของเธอทำให้เราหัวเราะให้กันอีกครั้ง แม้แววตาจะหม่นลง นานแค่ไหนแล้วนะที่เราไม่ได้คุยกัน หัวเราะกันแบบนี้ นึกอยากจะเตะปากบิลขึ้นมาทันที ในคืนสุดท้ายของชีวิต แทนที่จะมาดูแลภรรยาสาวสวยกลับออกจากบ้านไปอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็นั่นละ ใครต่อใครก็มีเรื่องราวอยากทำ
“คุณคิดว่าพวกเขาจะไปไหนกันเหรอคะ” เธอหมายถึงบิลและเจนนี่
แน่นอนว่าเป็นคำถามที่เราสองคนเก็บไว้ในใจมาเป็นปี และไม่เคยคิดจะถามกันมาก่อน เพราะถ้าเป็นวันเวลาตามปกติมันเป็นคามน่ากลัวทารุณจิตใจมากเกินไป ชีวิตของคนเราไม่ได้สมบูรณ์เสมอไป หลายต่อหลายครั้งอยู่ผิดที่ผิดทางผิดจังหวะไม่ลงตัวและไม่มีวันขยับปรับเปลี่ยนเขยื้อนมุมเข้าหากันได้อย่างลงตัว ใครจะคิดละว่าเจจนี่กับบิล จะกลับมาถ่านไฟเก่าระอุครุกรุ่นอีกครั้ง หลังแต่งงาน
แต่ผมก็ไม่ได้แก้แค้นโชคชะตามันขมขื่น ผมกับนาตาชาไม่เคยโต้ตอบด้วยวิธีเช่นเดียวกัน มันไม่ใช่เส้นทางถูกต้อง และเราก็ไม่เคยคิดจะทำ
“ก็คงไปสู่ที่ชอบที่ชอบละครับ” ผมตอบด้วยเสียงหัวเราะ แม้จะรู้สึกว่าเหล้าจะรู้สึกขม ๆ ขึ้นมาจากปกติบ้างเล็กน้อย แต่ในใจอีกฝ่ายกลับรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด ไม่อยากโทษหรอกว่าใครเป็นฝ่ายผิดฝ่ายถูก เรื่องเกิดขึ้นและกำลังจะจบลง โดยไม่จำเป็นต้องมาบอกว่าใครถูกใครผิด ไม่ได้มีความหมายอะไรอีกต่อไป
“นาตาชา คุณรู้สึกว่าไหมว่า ทำไมเราไม่รักกัน”
เธอยิ้ม รินวิสกี้ลงทั้งสองแก้วจนเต็ม ยกแก้วขึ้นเป็นสัญญาณท้าชนแก้ว ผมรู้ว่าเธอเริ่มเมา
“อย่าดีกว่า คุณสู้ผมไม่ได้หรอก”
ปากห้าม แต่มือยังยื่นแก้วออกไปชนกัน ก่อนยกมาดื่มไปเล็กน้อย แต่นาตาชาดื่มมากกว่าจนต้องส่งเสียงปรามเอาไว้ ผู้หญิงอย่างไรก็ไม่ควรดื่มจนเมาต่อหน้าเพื่อนผู้ชาย มันออกจะดูไม่ดีไม่งาม
จอทีวีตัดออกจากซีรี่ย์เรื่องดัง มาเสนอข่าวกับหายไปของผู้คนที่เพิ่มอัตราสูงอย่างรวดเร็ว ตัดกับข่าวการให้สัมภาษณ์ผู้รอดชีวิต ไม่มีใครออกอาการสติแตกออกมาตีโพยตีพาย ต่างปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่จนวาระสุดท้าย ไม่มีอันธพาลออกอาละวาดเผาบ้านเผาเมือง ไม่มีคดีหรือความรุนแรงเกิดขึ้น ทุกคนดูเหมือนจะยอมรับชะตากรรมของโลกแต่โดยดี
หลังข่าวยังคงมีรายการแนะนำการทำอาหารตามปกติ ทั้งที่รู้ว่าไม่มีวันพรุ่งนี้ บางทีนี่เองอาจบ่งบอกถึงความเป็นมนุษย์
เราละสายตาจากข่าว หันมามองหน้ากันเนิ่นนาน เหมือนต่างฝ่ายต่างค้นหาอะไรบางอย่าง
“ทำไมนะ ทำไม...ผมถึงไม่บอกรักคุณ ก่อนที่คุณจะมีบิล” ในที่สุดผมเป็นฝ่ายโพล่งขึ้นก่อน เพราะอดรนทนไม่ได้กับความสงสัยของตัวเอง “ถ้าวันนั้น ผมบอกรักคุณ บางที อาจไม่เป้นแบบนี้”
“วันนั้นไม่มีอีกต่อไปแล้วค่ะ” นาตาชามีรอยยิ้มอยู่ในคำตอบ “ไม่มีเพราะวันนั้น เราไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าความรักคืออะไร คิดว่าสิ่งที่เรารู้สึกเรามีเราเป็นในวันนั้น คือความรัก แต่เมื่อมันผ่านไปแล้ว วันนั้นก็ไม่มีอีกต่อไป มันสายเกินไปเสียแล้วที่จะพูดคำนั้น”
“แล้ววันนี้ คุณว่าเรารู้จักความรักดีพอหรือยัง”
“ความรักแบบไหนล่ะคะ”
“น่า...จะรักแบบไหนมันก็คือความรักนั่นละ”
เราหัวเราะให้กันอีกครั้ง เพราะต่างฝ่ายต่างเข้าใจดีว่า ถึงจะเป็นวันนั้นหรือวันนี้ มันก็คงไม่ต่างกันมากนัก อนาคตผ่านมาแล้วก็ผ่านไป มันก็แค่นั้น ผมตัดสินใจยกแก้วกระดกรวดเดียวเกลี้ยง ความร้อนแรงของดีกรีทำให้รู้สึกถล่มทลายลงไปตามทางเดินอาหาร แต่ก็ไม่เห็นต้องห่วงกังวลอะไรเลยกับตับไต
เอาละ ผมเองก็จะใช้เวลาที่เหลืออยู่กับคนที่ผมรัก แต่ไม่มีความกล้าที่จะบอกรัก จนความรักหลุดลอยไป อย่างไม่อาจคืนหวล สายเกินไปกับวันนั้น
เป็นคืนและวันสุดท้าย....แต่ทำให้ผมรู้สึกผิดเหลือเกิน ย้อนไปในอดีต ผมยังเรียนหนังสือ ทุกวันจะต้องรีบกลับบ้าน เพื่อรอเด็กสาวคนหนึ่ง เดินผ่านไป มีความหมายในการกลับบ้านทุกวัน นาตาชา วัยเด็กสาว ผมไม่มีโอกาสจะจ้องมองตา แต่รู้ด้วยใจว่า ผมกำลังตกลงในหลุมลึก ที่ไม่มีวันตะกายขึ้นมา
หลุมรัก...คำง่ายดาย แต่มีความหมาย ความกล้าหาญของผมลงนรกไปแล้ว แค่บอกว่า ผมรักเธอ ทำไมไม่กล้า
ไอ้กระจอกเอ้ย....
ความไม่กล้า ทำลายความรักความฝันความหลัง จนไม่มีชิ้นดี
สามปีผ่านไป โดยที่ผมไม่กล้าแม้แต่จะทักทาย มันแย่มาก ๆ กับวัยเด็กหนุ่ม ที่รุ่มร้อนด้วยความต้องการ แต่...ผมรู้ว่ากำลังหลงรักเธอ รู้ว่าความรักคืออะไรตั้งแต่วันนั้น
ถึงขั้นวาดภาพสวย....ผมกลับบ้านแล้วนะที่รัก...ทำอาหารอะไรเอ่ย....ให้ช่วยไหม....แล้วจบลงด้วยการเดินไปโอบกอดจากด้วยหลัง โดยไม่สนใจกลิ่นควันและน้ำมันจากเตาไฟ เพียงแค่จะก้มหน้าไปกระซิบข้างหู ที่รัก ผมกลับมาแล้ว...กลับมาโดยสายตาไม่เคยแลเหลียวหญิงอื่นเลย...
ใช่ มันเป็นอดีตฝัน ที่จองจำ ผมไว้กับความรู้สึกผิด เพราะถ้าคิดสักนิด จะรู้ว่า เธอเปิดใจให้เช่นกัน
.
“คุณจะจูบฉันไหมคะ” นาตาชาถาม สีหน้าเปล่งปลั่ง คงเมาแล้วจริง ๆ ผมขยับตัวออกห่าง พยายามไม่มองแก้มแดงเปล่งปลั่ง
“ไม่ครับ...”
“ทำไม”
“เพราะผมจูบคุณในความฝัน ไม่รู้กี่ครั้ง ต่อกี่ครั้ง...” ประโยคหลังผมพยายามรักษาน้ำตา ที่กำลังเอ่อล้น ให้หายไปกับความทรงจำ
“ผมไม่ต้องทำแบบนั้น”
“ ที่รัก..”
.