จากเดินไม่ค่อยได้สู่มาราธอนมือใหม่

พอดีเพิ่งได้ไปร่วม BDMS มาราธอนครั้งแรกของชีวิตมาเลยอยากมาลองแชร์ประสบการณ์ให้เพื่อนๆ หรือใครๆ ที่อยากลองมาราธอนกันบ้าง
หวังว่าคงได้ประโยชน์บ้างนะครับ

ภูมิหลัง
จากกระทู้ https://ppantip.com/topic/34806096 ที่ผมเคยป่วยเป็น GBS (guillain barre syndrome) หรือปลายประสาททั้งตัวอักเสบเฉียบพลัน ทำให้นอนติดเตียงอยู่หลายเดือนและกลับมาเดินด้วยท่าเพนกวิน แถมต่อเนื่องจากการออกกำลังกายไม่ได้แต่กินเหมือนเดิมเลยกลายเป็นเบาหวานต่อ ทำให้การต่อสู้เพื่อลดน้ำตาลในเลือดเกิดขึ้น ถึงแม้จะชอบปั่นจักรยาน แต่ที่พระนคร กว่าจะได้ปั่นแต่ละทีดูเป็นเรื่องยาก เลยกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการวิ่งจ๊อกกิ้งแทน

จุดเปลี่ยน
ตอนป่วยนอนเฉยๆ คิดว่าอยากทำอะไรที่ก่อนป่วยไม่เคยทำ วันนี้มีโอกาสเลยทำอยากทำมันให้หมด

เตรียมตัว
ใช้เวลาร่วม 2 ปี แรกๆ เริ่มที่ 5 โล คุมโซนหัวใจไปเรื่อยๆ วิ่งอยู่เป็นปี ไต่มาจนได้ 10 โล อีก 6 เดือนข้ามมา 20 โล น่าจะวิ่งไปราว 6 ครั้ง ก่อนจะขยับมา 32 และ 35 โล ใน 2 เดือนสุดท้ายก่อนแข่ง 42 โล ก็ไหว้พระแทนและบอกว่าวัดดวงเอา

งานแข่ง
BDMS กรุงเทพมาราธอน 42.125 กิโลเมตร วิ่งสนามหลวงก่อนตวัดขึ้นพระราม 8 และคู่ขนานลอยฟ้าและวนกลับมา

วันวิ่ง
เกิดมาไม่เคยวิ่งไกลขนาดนี้ที่ปล่อยเที่ยงคืนมาก่อน กลางวันก็นอนไม่หลับเลยเอาวะ วิ่งๆ ไปแหละ

แผน
วิ่งเกาะเพซ 6 หัวใจไม่เกิน 150  กินเจลทุก 7 กิโล รับน้ำทุก 2 กิโล ถึงกิโล 35 จะเริ่มสับ (เพราะซ้อม35 มาแล้ว ไม่ยากมาก) ตะคริวไม่ล็อก จบก่อน 5 ชั่วโมง พอใจละ

วิ่งจริง
ปล่อยตัวกิโล 1-2  ก็วิ่งกันไปเพซ 7 นิดๆ เพราะคนเยอะยังกะสำเพ็ง ตอนแรกว่าจะรับน้ำกิโลที่ 2 แต่สำเพ็งยังพีคอยู่ ก็เลยไว้ก่อน พอเริ่มไปกิโล 3-4 นักวิ่งเริ่มเป็นระเบียบมากขึ้น เลยวิ่งได้เพซ 6 ปลายๆ ขี้เกียจรับน้ำเลยกลายเป็นรับน้ำทุก 4 กิโลแทน  วิ่งไปเรื่อยๆ เพซคุมอยู่ หัวใจอยู่ สบายกูละ วิ่งยาวไป เอ๊ะ กิโลที่ 7 ไม่เหนื่อยมากเลยเลื่อนไปกินเจลสัก 500 เมตร ก่อนจุดรับน้ำกิโลที่ 8 เพราะกินเจลไม่มีน้ำเดี๋ยวติดคอตาย
  
ที่แปลกสุดสำหรับตัวเองคือ เห็นคนมากมายรอเข้าแถวพ่น
สเปรย์เพราะตะคริวขึ้นตั้งแต่กิโลที่ 10 เอง เลยสงสัยว่าพวกเขาจะวิ่งกันไหวเหรอ จากนั้นก็ไม่แส่เรื่องคนอื่น กลับมาก้มหน้าก้มตาวิ่งไปเรื่อยๆ กิโลที่ 12 ที่ 1 ของมาราธอนชายวิ่งสวนกลับมาละ วิ่งต่อไปอีกกิโลที่ 15 ที่ 1 ของมาราธอนฝ่ายหญิงก็วิ่งสวนมา  วิ่งไปเรื่อยๆ ความขี้เกียจเริ่มเกาะกุม เห็นผู้คนแวะห้องน้ำ ยืดเหยียด เดินกันมากขึ้น  ใจก็อยากขี้เกียจแต่คนรอกันยังกะงานเซล เลยคิดว่าจะไปให้สุดจนกว่าจะไม่ไหวแทน ทุกอย่างยังคงเป็นไปตามแผนจนกิโลที่ 22 แวะเข้าห้องน้ำ ความตึงเริ่มมา แต่ก็คิดว่าไหวไปมันเรื่อยๆ เริ่มเปลี่ยนแผนเป็นรับน้ำทุก 2 กิโล หรือไม่กินก็ราดหัวไป  

กิโลที่ 24 เข่าซ้ายเริ่มเจ็บเพราะทางยกระดับคู่ขนานขากลับโค้งซ้ายเยอะ พื้นจะเอียงนิดๆ แต่กัดฟันวิ่งมันต่อไป ทุกอย่างยังได้ตามแผน หัวใจยังอยู่ในโซน กินเจลทุก 8 กิโล เพซโอเค จนกระทั่งกิโลที่ 32.... ก็เริ่มได้ศึกษากล้ามเนื้อขามากขึ้น เพราะตะคริวเริ่มมา เรียกว่ามีกี่มัด มันตอดทุกมัด เพิ่มแผนเป็นยืดกล้ามเนื้อทุก 2 กิโลตามจุดให้น้ำ เพซเริ่มตกลง เพราะถ้าเร่งหัวใจก็เกินโซน  มาถึงกิโล 34 ตะคริวเริ่มมาจริงๆ ละ แต่ละก้าวนี่ใส่สมาธิยิ่งกว่าเดินจงกรม เพราะถ้าสะดุดขาใคร หรือเจอระดับพื้นไม่เท่าตะคริวล็อกแน่นอน ก็วิ่งไปใส่สมาธิไปเรื่อย  

วิ่งไป แวะยืดไปจนกิโลที่ 37 ตามที่นิชคุณกล่าวไว้และไม่เคยเชื่อว่ามีจริง มันก็มาจนได้ ตะคริวมาจริงแต่แค่ยังไม่ล็อกเลยทำเหมือนเจอผีคือเห็นแต่แกล้งไม่สน  ขาเริ่มงอแงแต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ขายังก้าวไปคือเห็นว่าทั้งข้างหน้า ทั้งข้างหลัง ยังมีคนวิ่งอยู่ บ้างก็เดิน บ้างถอดรองเท้าเดิน บ้างนอนให้ทีมพยาบาลนวด แต่ทุกคนมีเป้าหมายที่จะเข้าเส้น ก็เลยไม่มีใครยอมหยุดหรือเลิก  กิโลที่ 41 เห็นป้าย 1000 เมตรสุดท้าย ใจอยากจะยกขาสูง สับเข้าเส้นเพซ 3 แบบคิปโชเก้มั้ง แต่ขาบอกว่าเฮ้ย ฟังกูก่อน เออ ยอมก็ได้วะ ประคองจนจบเข้าเส้นได้ในเวลาตามที่ไม่เกินที่กะไว้ 4:48 ชั่วโมงกันไป

เรื่องที่เพิ่งรู้
-เพเซอร์โคตรเท่ มาวิ่งคุมเพซให้ ใครชอบเพซไหน เลือกเกาะกลุ่มเพเซอร์ไปยาวๆ ก็ดีนะครับ เพราะเขาตะบอกระยะและเวลาทุกกิโล
-ไม่เคยเชื่อว่าปีศาจกิโล 37 ในรัก 7 ปี ดี 7 หน นิชคุณพูด เป็นเรื่องจริงจนวันนี้
-ใครก็จบมาราธอนได้ ถ้ามีวินัยในการซ้อม สักวันก็สำเร็จ

ปัญหาที่เจอ
-กางเกงรัดกล้ามเนื้อถึงจะดีแต่ควรระวังป้ายไซส์ของมันถูด้านหลังจนถลอกไปหมดเมื่อวิ่งเกิน 20 โล แสบชิบ
-ชื่อว่ากระเป๋าคาดเอวแต่ควรคาดที่สะโพกหรือเอามาไว้ข้างหน้า เพราะคาดที่เอวแน่นไปทำให้ปวดหลังได้ ทั้งๆ ที่ในกระเป๋ามีแค่มือถือและเจลไม่กี่ซอง
-ถึงตะคริวจะมาเปลี่ยนท่าทางการลงเท้าก็พอถูไถไปได้ ถ้ามันยังไม่ล็อก
-กินเจล กินก่อนจุดให้น้ำนิดเดียวพอ กินก่อนนานไปคอแห้งตายพอดี
-วิ่งชิดขวาใกล้แนวแบรริเออร์ในตอนที่รถอีกฝั่งวิ่งอยู่นี่ได้ลุ้นจนลืมง่วงสนิท
-วิ่งไม่ต้องเอาแขนแนบตัวตลอดก็ได้เพราะมันเมื่อยจัด วิ่งทิ้งแขนแบบซอมบี้ก็สบายดี
-ถ้าอยากวิ่งดูหญิงลงฮาล์ฟก็พอ เพราะมาราธอนนักวิ่งสวยๆ เราจะไม่มีทางวิ่งตามทัน
-ถุงเท้าดีๆ ช่วยให้เท้าไม่แฉะ ก็วิ่งได้ยาวขึ้นโดยไม่ต้องหยุดดึงถุงเท้า
-รองเท้าเทพ ถ้าเราไม่เทพตามก็ไม่มีประโยชน์ ผมเห็นคนถอดรองเท้าเดินกันเพียบเหมือนกัน
-วิ่งไม่ไหวก็พักเดิน แวะฉีดสเปรย์ ยิดเส้น แล้วค่อยไปต่อได้ ไม่มีใครจำไปฟ้องแม่เราแน่
-ระยะจริงกับนาฬิกามักไม่ตรงกันเป๊ะ ถ้าเราไม่ท้อ ยังไงก็ถึงเส้นชัย
-การมีเพื่อนวิ่งไปด้วยกันมันทำให้วิ่งได้ไกลขึ้น ผมมีผีเสื้อเกาะตรงไหลมาตั้งแต่ก่อนออกตัวยาวไปจนจบแล้วมันก็บินไป สงสัยมันง่วงก็เลยขอมาหลับตรงเสื้อ พอถึงเส้นมันบินไปเฉย
-วางแผนดีแค่ไหน แต่หน้างานมีอะไรให้ปรับเปลี่ยนได้เสมอ
ฉะนั้นอย่ายึดติด
-การเข้าเส้นทำให้เราบอกตัวเองว่าจะไม่ลงมาราธอนอีกแล้ว

สาระ
ชีวิตก็เหมือนมาราธอน เพราะเราจะได้เจอผู้คนมากมาย ทั้งที่ดูว่าน่าจะเป็นคนที่วิ่งจริง คนที่อยากวิ่ง คนที่รักจะวิ่งมารวมกัน โดยต่างคนต่างหาวิธีไปข้างหน้าแบบตัวเอง บางคนวิ่งเร็วมาก บางคนเดินเร็ว บางคนเดินๆ หยุด บางคนวิ่งไปแล้วปฐมพยาบาลไป แต่ที่แน่ๆ ทุกคนไม่ยอมแพ้ อาจมีบ้างที่เห็นคนยอมแพ้ในสนามนี้ แต่ที่แน่ๆ ร้อยทั้งร้อยบอกว่าตัวเองจะกลับมาสนามต่อไป เพราะทุกอย่างมันต้องดูยาวๆ เราต้องรู้จักตัวเองและเลือกวิธีไปให้เหมาะสมเพื่อให้ถึงเส้นชัยตามเป้าหมายของตัวเอง ส่วนจะไปเร็วไปช้าก็อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน เพราะมาราธอนก็เหมือนชีวิตตรงที่ไม่มีทางลัด และก่อนที่จะไปถึงเป้าหมายได้ต้องรู้จักเตรียมตัวเองและปรับเปลี่ยนแผนการเพราะไม่มีใครช่วยอะไรเราได้ตลอดเวลา

ปล หวังว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนได้บ้างนะครับ






แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่