ความหมายของอตัมมยตา
ไม่สำเร็จมาแต่ปัจจัยเครื่องปรุงแต่งนั้นๆ ( กูไม่เอากะอีกต่อไป )
ภาวะที่เรียกว่าอตัมมยตา
คือ ภาวะที่อะไรจะเข้ามาปรุงแต่งไม่ได้ ก็เป็นจิตที่ไม่ถูกปรุงแต่ง ก็ไม่เป็นจิตใหม่ คือจิตเดิมแท้ที่ไม่มีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้อง มันก็ไม่มีความทุกข์ มันก็เป็นจิตเกลี้ยงอยู่ตามเดิม สิ่งที่กำจัดสิ่งที่เข้ามาปรุงแต่งได้นั่นน่ะเรียกว่า อตัมมยตา
สิ่งที่เข้ามาปรุงแต่งจิต
ควรจะรู้จักสิ่งเหล่านี้เอาไว้ ก็ควรจะรู้จักไว้ว่า ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้เข้ามาปรุงแต่ง จิตจะเป็นจิตเดิมแท้ เป็นจิตประภัสสร จิตเกลี้ยง จิตไม่มีกิเลส ไม่มีความทุกข์ แล้วก็จะมีแต่สติปัญญา ตามธรรมดาของจิตประภัสสรนั้น สิ่งปรุงแต่งที่ควรรู้จัก มีที่เป็นภายในก็มี ภายนอกก็มี
ปัจจัยปรุงแต่งจากภายใน
สิ่งปรุงแต่งที่ว่าเป็นภายในได้แก่สิ่งที่เรียกว่า ตัณหา มานะ ทิฏฐิ ถ้าตัณหาเข้ามาปรุงแต่ง มันก็คือ เป็นอุปาทาน แล้วก็เป็นทุกข์ ถ้ามานะเข้ามาปรุงแต่ง มันก็เกิด ตัวตน ยกหูชูหาง ถ้าตัวทิฏฐิเข้ามาปรุงแต่ง มันก็คิดเห็นไปตามทิฏฐินั้นๆ ก็เป็น มิจฉาทิฏฐิ ( จะจัด ตัณหา มานะ ทิฏฐิ เป็นพวก ธรรมารมณ์ ก็ได้ )
ปัจจัยปรุงแต่งจากภายนอก
ส่วนปัจจัยปรุงแต่งจากภายนอกนี่เอาที่เป็นรูปธรรม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อย่างนี้เป็นรูปธรรม ธรรมารมณ์นั้นเอาไปจัดไว้เป็นปัจจัยภายในเสีย
จิตถูกปรุงแต่งตลอดเวลาอย่างไร
เมื่อมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วมันก็ยังเป็นเรื่องธรรมารมณ์ได้ เพราะว่าหลังจากที่มันปรุงด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้ว ก็เอาไปปรุงทางจิต ทางธรรมารมณ์ได้อีกทีหนึ่ง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ นั้นมันปรุง ปรุง ปรุง ขึ้นเป็นอารมณ์นี้เกิดขึ้นมาในจิตใจ อารมณ์นั้นก็เป็นธรรมารมณ์ ปรุงจิตใจต่อไปอีกทางหนึ่ง มันก็เลยครบทั้ง ๖ เพียงแต่ว่ามันจะปรุงพร้อมกันทีเดียวทั้ง ๖ นั้นไม่ได้แต่มันปรุงได้ทุกอย่างทั้ง ๖ อย่าง
อัสสาทะ ( รสอร่อย )
กามธาตุ ๑ รูปธาตุ ๑ อรูปธาตุ ๑
อาทีนวะ ( โทษ )
ความไม่เที่ยง ความดับไป ความหายไป ความตั้งอยู่ไม่ได้ ความแปรปรวนไปเป็นอย่างอื่น
พระอรหันต์กับนิพพาน ๒ ประเภท
พระอรหันต์ประเภทสอุปาทิเสสนิพพานนั้น อินทรีย์คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ยังไม่ถูกกำจัด ยังรับรู้เวทนา ที่เป็นความพอใจ หรือความไม่พอใจ รู้แต่ไม่ปรุงแต่งเป็นอัตตาหรืออัตนียา
ทีนี้พระอรหันต์ชั้นที่ ๒ คือชั้นเลิศ ก็มีอนุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ประเภทนี้เวทนาไม่อาจจะรู้สึกพอใจหรือไม่พอใจ เป็นสักว่าเวทนา ไม่เป็นความพอใจหรือความไม่พอใจ เพราะฉะนั้นก็ไม่ปรุงแต่งเป็นตัวตนหรือเป็นของตนหรือ เป็นเวทนาเย็น เวทนาหยุด
พระอรหันต์ทีแรกน่ะ เวทนาไม่เย็น ยังมีพอใจ ยังมีไม่พอใจ แต่ก็ไม่ปรุงแต่งเป็นตัวตน พระอรหันต์ที่ ๒ นี้ เวทนาเย็นสนิท ไม่อาจจะเป็นพอใจหรือไม่พอใจ มันก็เลิกกัน
ควบคุมเวทนาได้ก็ควบคุมโลกได้
ถ้าเราเอาชนะเวทนาได้แล้ว ก็ไม่มีปัญหา เรียกว่าโลกทั้งโลกไม่อาจทำอะไรเราได้ ไม่มีปัญหา ที่โลกมันจะทำอะไรแก่เราได้ ก็เพราะมันมีเวทนา มันให้เกิดเวทนา ทุกคนเป็นทาสของเวทนา เวทนาครอบงำดึงดูดไป แล้วก็เกิดตัณหา ก็ยุ่งกันจนถึงความทุกข์ ยุติที่เวทนาเถิะ ระวังให้ดี
ถ้าควบคุมเวทนาได้แล้ว ก็เหมือนควบคุมโลกทั้งหมดนี้ได้ โลกทั้งหมดทำอะไรเราไม่ได้ ถ้าเราควบคุมเวทนาได้ ไม่ต้องการสุขเวทนา ไม่ต้องการทุกขเวทนา ได้มาก็เช่นนั้นเอง ไม่ตกเป็นทาสของเวทนาเหล่านั้น
อตัมมยตาช่วยควบคุมเวทนา ตัณหา อุปาทาน
อตัมมยตามีแล้ว เวทนาทำอะไรไม่ได้ เช่นเดียวกับเวทนาทำอะไรพระอรหันต์ไม่ได้ พระอรหันต์ที่ ๑ คือพระอรหันต์สอุปาทิเสสะ เวทนาก็ทำอะไรไม่ได้ ท่านมีเวทนาแต่ไม่อาจปรุงเป็นตัณหา อุปาทาน เพราะอตัมมยตามันตัวคุมได้ พระอรหันต์ที่ ๒ คือพระอรหันต์อนุปาทิเสสะ ก็ยังไม่มีเวทนาชนิดที่จะปรุงแต่งได้ คือไม่เป็นเวทนาสุขหรือทุกข์
เมื่อตัณหาทำอะไรไม่ได้ มันก็ไม่มีปัญหา เดี๋ยวนี้มันยังให้มีตัณหา ตัณหายังทำอะไรต่อไปอีก จนมีอุปาทาน มีตัวตน มีภพ มีชาติ
อตัมมยตาเป็นมนต์คาถาขับไล่กิเลส
ใช้อตัมมยตาเหมือนกับมนต์คาถาวิเศษณ์ขับไล่ผีหรือกิเลสออกไป กูไม่เอากับอย่างนี้ กูไม่เอากับอย่างนั้น กูไม่เอากับ จะมาปรุงกูอีกแล้ว กูนี่หมายถึงจิตนะ คำว่ากูนี้คือจิต ไม่ใช่ตัวกูที่ไหน จิตล้วนๆจิตที่ยังเป็นเนื้อเป็นตัวของจิต ยังไม่มีอะไรมาปรุงแต่ง มีสติปัญญาเกิดขึ้นมาในจิตนั้น มันก็บอก กูไม่เอา กูไม่เอา คือจิตนั้นมันไม่เอา ไม่ใช่ตัวกูจริงจังอะไร ภาษาพูดต้องพูดว่าตัวกู แต่ความจริงไม่มีตัวกู มีแต่จิตรู้สึกนึกคิดเป็นอย่างไรก็พูดอย่างนั้น
นี่ให้พวกเรารู้จักกันไว้ว่า จิตที่เคยเป็นจิตล้วนๆ ไม่มีอะไรปรุงแต่งปนเป เป็นจิตเดิมจิตแท้นั้น มันถูกทำให้เป็นจิตใหม่ต่างๆ นานา ไม่รู้กี่ร้อยชนิด แล้วก็เป็นทุกข์ไปตามชนิดของมัน ถ้าอตัมมยตามี ปรุงเช่นนั้นไม่ได้ คงเป็นสภาพเดิม เป็นจิตประภัสสร เยือกเย็น มีสติปัญญาอยู่ในตัวจิตเอง เพราะไม่มีกิเลส ทำไปตามอำนาจของสติปัญญา มันก็ถูกต้องหมด มันไม่เกิดกิเลส มันไม่เป็นทุกข์
ถ้ามีสติปัญญาพอ ก็มีอตัมมยตาได้
จิตของเราจะอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งที่มันจะปรุง สิ่งที่มันมีอำนาจในการปรุงมีเต็มไปหมด ไม่ว่าที่ไหน มีอตัมมยตาคอบป้องกันได้ ถ้ามีสติปัญญาพอ ก็มีอตัมมยตาได้ รักษาอตัมมยตาไว้ได้ ป้องกันไม่ให้เกิดการปรุงขึ้นมาได้ สตินั่นแหละเป็นเครื่องป้องกัน ใช้อตัมมยตาเป็นเหมือนกับมนต์คาถาอันศักดิ์สิทธิ์ขับไล่ผีคือกิเลสนั้นออกไป ขับไล่ผีคือกิเลสนั้นออกไป ขับไล่ความทุกข์ออกไป
มีอตัมมยตาเหมือนมีพระพุทธเจ้ามาคุ้มครอง
มีอตัมมยตาเท่าที่คนธรรมดาควรจะทราบกันไว้บ้าง เหมือนกับมีพระพุทธเจ้ามาคุ้มครอง เหมือนมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์แท้จริงมาคุ้มครอง เครื่องรางที่แท้จริงคืออตัมมยตา ไม่ต้องเอามาแขวงรุงรังให้ที่คอ อยู่ที่สติปัญญาให้ทันเวลา มันก็คุ้มครองได้ แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในการคุ้มครอง ไม่มีอะไรคุ้มครองได้เท่ากับอตัมมยตา
ขอให้ทุกคนเข้าใจไว้ตั้งแต่บัดนี้ แม้แต่พระบวชใหม่ไม่กี่วันนี้ นี้คือธรรมะสูงสุด ยอดสุดของธรรมะ ที่ทำให้เป็นพระอรหันต์ ผู้มีอตัมมยตาถึงที่สุดก็คือพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าคือผู้ค้นพบแล้วมาสอนให้ผู้อื่นมีได้ด้วย ท่านก็เป็นผู้สอนหรือผู้แนะนำสั่งสอน
ผู้มีอตัมมยตาสูงสุดคือพระอรหันต์
อตัมมยตา แปลว่า ความที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้ ผู้มีอตัมมยตา เรียกว่า อตัมมโย คือผู้อะไรปรุงแต่งไม่ได้ ผู้ใดถูกปรุงแต่งโดยตัมมยตา เรียกว่า ตัมมโย ผู้ที่ถูกปรุงแต่งเสียแล้ว เลยเป็นของคู่กัน อตัมมยตาคู่กับอตัมมโย ตัมมยตาคู่กับตัมมโย ก็คือปรุงแต่งกับไม่ปรุงแต่ง การปรุงแต่งมีก็ถูกปรุงแต่ง การปรุงแต่งไม่มีก็ไม่ถูกปรุงแต่งการไม่มีสิ่งที่จะปรุงแต่งเรียกว่าอตัมมยตา หรือปรุงแต่งไม่ได้เรียกอตัมมยตา ขอให้รู้ไว้ตามสมควรแก่อัตตภาพของตน แม้แต่เวลานี้ก็รู้ได้ ถ้ารู้จริงก็เป็นพระอรหันต์
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : อตัมมยตา เท่าที่ควรจะรู้จักกันไว้บ้าง อบรมนวกภิกขุในพรรษา ณ สวนโมกขพลาราม ๓ ตุลาคม ๒๕๓๑
// อตัมมยตา - ท่านพุทธทาส
ไม่สำเร็จมาแต่ปัจจัยเครื่องปรุงแต่งนั้นๆ ( กูไม่เอากะอีกต่อไป )
ภาวะที่เรียกว่าอตัมมยตา
คือ ภาวะที่อะไรจะเข้ามาปรุงแต่งไม่ได้ ก็เป็นจิตที่ไม่ถูกปรุงแต่ง ก็ไม่เป็นจิตใหม่ คือจิตเดิมแท้ที่ไม่มีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้อง มันก็ไม่มีความทุกข์ มันก็เป็นจิตเกลี้ยงอยู่ตามเดิม สิ่งที่กำจัดสิ่งที่เข้ามาปรุงแต่งได้นั่นน่ะเรียกว่า อตัมมยตา
สิ่งที่เข้ามาปรุงแต่งจิต
ควรจะรู้จักสิ่งเหล่านี้เอาไว้ ก็ควรจะรู้จักไว้ว่า ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้เข้ามาปรุงแต่ง จิตจะเป็นจิตเดิมแท้ เป็นจิตประภัสสร จิตเกลี้ยง จิตไม่มีกิเลส ไม่มีความทุกข์ แล้วก็จะมีแต่สติปัญญา ตามธรรมดาของจิตประภัสสรนั้น สิ่งปรุงแต่งที่ควรรู้จัก มีที่เป็นภายในก็มี ภายนอกก็มี
ปัจจัยปรุงแต่งจากภายใน
สิ่งปรุงแต่งที่ว่าเป็นภายในได้แก่สิ่งที่เรียกว่า ตัณหา มานะ ทิฏฐิ ถ้าตัณหาเข้ามาปรุงแต่ง มันก็คือ เป็นอุปาทาน แล้วก็เป็นทุกข์ ถ้ามานะเข้ามาปรุงแต่ง มันก็เกิด ตัวตน ยกหูชูหาง ถ้าตัวทิฏฐิเข้ามาปรุงแต่ง มันก็คิดเห็นไปตามทิฏฐินั้นๆ ก็เป็น มิจฉาทิฏฐิ ( จะจัด ตัณหา มานะ ทิฏฐิ เป็นพวก ธรรมารมณ์ ก็ได้ )
ปัจจัยปรุงแต่งจากภายนอก
ส่วนปัจจัยปรุงแต่งจากภายนอกนี่เอาที่เป็นรูปธรรม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อย่างนี้เป็นรูปธรรม ธรรมารมณ์นั้นเอาไปจัดไว้เป็นปัจจัยภายในเสีย
จิตถูกปรุงแต่งตลอดเวลาอย่างไร
เมื่อมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วมันก็ยังเป็นเรื่องธรรมารมณ์ได้ เพราะว่าหลังจากที่มันปรุงด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้ว ก็เอาไปปรุงทางจิต ทางธรรมารมณ์ได้อีกทีหนึ่ง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ นั้นมันปรุง ปรุง ปรุง ขึ้นเป็นอารมณ์นี้เกิดขึ้นมาในจิตใจ อารมณ์นั้นก็เป็นธรรมารมณ์ ปรุงจิตใจต่อไปอีกทางหนึ่ง มันก็เลยครบทั้ง ๖ เพียงแต่ว่ามันจะปรุงพร้อมกันทีเดียวทั้ง ๖ นั้นไม่ได้แต่มันปรุงได้ทุกอย่างทั้ง ๖ อย่าง
อัสสาทะ ( รสอร่อย )
กามธาตุ ๑ รูปธาตุ ๑ อรูปธาตุ ๑
อาทีนวะ ( โทษ )
ความไม่เที่ยง ความดับไป ความหายไป ความตั้งอยู่ไม่ได้ ความแปรปรวนไปเป็นอย่างอื่น
พระอรหันต์กับนิพพาน ๒ ประเภท
พระอรหันต์ประเภทสอุปาทิเสสนิพพานนั้น อินทรีย์คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ยังไม่ถูกกำจัด ยังรับรู้เวทนา ที่เป็นความพอใจ หรือความไม่พอใจ รู้แต่ไม่ปรุงแต่งเป็นอัตตาหรืออัตนียา
ทีนี้พระอรหันต์ชั้นที่ ๒ คือชั้นเลิศ ก็มีอนุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ประเภทนี้เวทนาไม่อาจจะรู้สึกพอใจหรือไม่พอใจ เป็นสักว่าเวทนา ไม่เป็นความพอใจหรือความไม่พอใจ เพราะฉะนั้นก็ไม่ปรุงแต่งเป็นตัวตนหรือเป็นของตนหรือ เป็นเวทนาเย็น เวทนาหยุด
พระอรหันต์ทีแรกน่ะ เวทนาไม่เย็น ยังมีพอใจ ยังมีไม่พอใจ แต่ก็ไม่ปรุงแต่งเป็นตัวตน พระอรหันต์ที่ ๒ นี้ เวทนาเย็นสนิท ไม่อาจจะเป็นพอใจหรือไม่พอใจ มันก็เลิกกัน
ควบคุมเวทนาได้ก็ควบคุมโลกได้
ถ้าเราเอาชนะเวทนาได้แล้ว ก็ไม่มีปัญหา เรียกว่าโลกทั้งโลกไม่อาจทำอะไรเราได้ ไม่มีปัญหา ที่โลกมันจะทำอะไรแก่เราได้ ก็เพราะมันมีเวทนา มันให้เกิดเวทนา ทุกคนเป็นทาสของเวทนา เวทนาครอบงำดึงดูดไป แล้วก็เกิดตัณหา ก็ยุ่งกันจนถึงความทุกข์ ยุติที่เวทนาเถิะ ระวังให้ดี
ถ้าควบคุมเวทนาได้แล้ว ก็เหมือนควบคุมโลกทั้งหมดนี้ได้ โลกทั้งหมดทำอะไรเราไม่ได้ ถ้าเราควบคุมเวทนาได้ ไม่ต้องการสุขเวทนา ไม่ต้องการทุกขเวทนา ได้มาก็เช่นนั้นเอง ไม่ตกเป็นทาสของเวทนาเหล่านั้น
อตัมมยตาช่วยควบคุมเวทนา ตัณหา อุปาทาน
อตัมมยตามีแล้ว เวทนาทำอะไรไม่ได้ เช่นเดียวกับเวทนาทำอะไรพระอรหันต์ไม่ได้ พระอรหันต์ที่ ๑ คือพระอรหันต์สอุปาทิเสสะ เวทนาก็ทำอะไรไม่ได้ ท่านมีเวทนาแต่ไม่อาจปรุงเป็นตัณหา อุปาทาน เพราะอตัมมยตามันตัวคุมได้ พระอรหันต์ที่ ๒ คือพระอรหันต์อนุปาทิเสสะ ก็ยังไม่มีเวทนาชนิดที่จะปรุงแต่งได้ คือไม่เป็นเวทนาสุขหรือทุกข์
เมื่อตัณหาทำอะไรไม่ได้ มันก็ไม่มีปัญหา เดี๋ยวนี้มันยังให้มีตัณหา ตัณหายังทำอะไรต่อไปอีก จนมีอุปาทาน มีตัวตน มีภพ มีชาติ
อตัมมยตาเป็นมนต์คาถาขับไล่กิเลส
ใช้อตัมมยตาเหมือนกับมนต์คาถาวิเศษณ์ขับไล่ผีหรือกิเลสออกไป กูไม่เอากับอย่างนี้ กูไม่เอากับอย่างนั้น กูไม่เอากับ จะมาปรุงกูอีกแล้ว กูนี่หมายถึงจิตนะ คำว่ากูนี้คือจิต ไม่ใช่ตัวกูที่ไหน จิตล้วนๆจิตที่ยังเป็นเนื้อเป็นตัวของจิต ยังไม่มีอะไรมาปรุงแต่ง มีสติปัญญาเกิดขึ้นมาในจิตนั้น มันก็บอก กูไม่เอา กูไม่เอา คือจิตนั้นมันไม่เอา ไม่ใช่ตัวกูจริงจังอะไร ภาษาพูดต้องพูดว่าตัวกู แต่ความจริงไม่มีตัวกู มีแต่จิตรู้สึกนึกคิดเป็นอย่างไรก็พูดอย่างนั้น
นี่ให้พวกเรารู้จักกันไว้ว่า จิตที่เคยเป็นจิตล้วนๆ ไม่มีอะไรปรุงแต่งปนเป เป็นจิตเดิมจิตแท้นั้น มันถูกทำให้เป็นจิตใหม่ต่างๆ นานา ไม่รู้กี่ร้อยชนิด แล้วก็เป็นทุกข์ไปตามชนิดของมัน ถ้าอตัมมยตามี ปรุงเช่นนั้นไม่ได้ คงเป็นสภาพเดิม เป็นจิตประภัสสร เยือกเย็น มีสติปัญญาอยู่ในตัวจิตเอง เพราะไม่มีกิเลส ทำไปตามอำนาจของสติปัญญา มันก็ถูกต้องหมด มันไม่เกิดกิเลส มันไม่เป็นทุกข์
ถ้ามีสติปัญญาพอ ก็มีอตัมมยตาได้
จิตของเราจะอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งที่มันจะปรุง สิ่งที่มันมีอำนาจในการปรุงมีเต็มไปหมด ไม่ว่าที่ไหน มีอตัมมยตาคอบป้องกันได้ ถ้ามีสติปัญญาพอ ก็มีอตัมมยตาได้ รักษาอตัมมยตาไว้ได้ ป้องกันไม่ให้เกิดการปรุงขึ้นมาได้ สตินั่นแหละเป็นเครื่องป้องกัน ใช้อตัมมยตาเป็นเหมือนกับมนต์คาถาอันศักดิ์สิทธิ์ขับไล่ผีคือกิเลสนั้นออกไป ขับไล่ผีคือกิเลสนั้นออกไป ขับไล่ความทุกข์ออกไป
มีอตัมมยตาเหมือนมีพระพุทธเจ้ามาคุ้มครอง
มีอตัมมยตาเท่าที่คนธรรมดาควรจะทราบกันไว้บ้าง เหมือนกับมีพระพุทธเจ้ามาคุ้มครอง เหมือนมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์แท้จริงมาคุ้มครอง เครื่องรางที่แท้จริงคืออตัมมยตา ไม่ต้องเอามาแขวงรุงรังให้ที่คอ อยู่ที่สติปัญญาให้ทันเวลา มันก็คุ้มครองได้ แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในการคุ้มครอง ไม่มีอะไรคุ้มครองได้เท่ากับอตัมมยตา
ขอให้ทุกคนเข้าใจไว้ตั้งแต่บัดนี้ แม้แต่พระบวชใหม่ไม่กี่วันนี้ นี้คือธรรมะสูงสุด ยอดสุดของธรรมะ ที่ทำให้เป็นพระอรหันต์ ผู้มีอตัมมยตาถึงที่สุดก็คือพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าคือผู้ค้นพบแล้วมาสอนให้ผู้อื่นมีได้ด้วย ท่านก็เป็นผู้สอนหรือผู้แนะนำสั่งสอน
ผู้มีอตัมมยตาสูงสุดคือพระอรหันต์
อตัมมยตา แปลว่า ความที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้ ผู้มีอตัมมยตา เรียกว่า อตัมมโย คือผู้อะไรปรุงแต่งไม่ได้ ผู้ใดถูกปรุงแต่งโดยตัมมยตา เรียกว่า ตัมมโย ผู้ที่ถูกปรุงแต่งเสียแล้ว เลยเป็นของคู่กัน อตัมมยตาคู่กับอตัมมโย ตัมมยตาคู่กับตัมมโย ก็คือปรุงแต่งกับไม่ปรุงแต่ง การปรุงแต่งมีก็ถูกปรุงแต่ง การปรุงแต่งไม่มีก็ไม่ถูกปรุงแต่งการไม่มีสิ่งที่จะปรุงแต่งเรียกว่าอตัมมยตา หรือปรุงแต่งไม่ได้เรียกอตัมมยตา ขอให้รู้ไว้ตามสมควรแก่อัตตภาพของตน แม้แต่เวลานี้ก็รู้ได้ ถ้ารู้จริงก็เป็นพระอรหันต์
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : อตัมมยตา เท่าที่ควรจะรู้จักกันไว้บ้าง อบรมนวกภิกขุในพรรษา ณ สวนโมกขพลาราม ๓ ตุลาคม ๒๕๓๑