โพชฌงค์ ๗ (ย่อ)
๑. สติสัมโพชฌงค์ : สติเป็นอันบุคคลเข้าไปตั้งไว้แล้ว เป็นธรรมชาติไม่ลืมหลง
๒.
ธัมวิจยสัมโพชฌงค์ : เมื่อเป็นผู้มีสติอย่างนั้นอยู่ ย่อม
ค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงความพิจารณาธรรมนั้นได้ด้วยปัญญา
๓.
วิริยสัมโพชฌงค์ : เมื่อค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงความพิจารณาธรรมด้วยปัญญาอยู่ ย่อมเป็นอัน
ปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน ฯ
๔.
ปีติสัมโพชฌงค์ :
ปีติปราศจากอามิส ย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ปรารภความเพียรแล้ว ฯ
๕.
ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ : ภิกษุผู้มีใจเกิดปีติ ย่อมมีทั้ง
กายทั้งจิตระงับได้ ฯ
๖.
สมาธิสัมโพชฌงค์ : ภิกษุผู้มีกายระงับแล้ว มีความสุข ย่อมมี
จิตตั้งมั่น ฯ
๗.
อุเบกขาสัมโพชฌงค์ : ภิกษุเป็นผู้
วางเฉยจิตที่ตั้งมั่นแล้วเช่นนั้นได้เป็นอย่างดี
________________________________________________________________________________________________
โพชฌงค์ ๗ (เต็ม)
ภิกษุ ท. !
สมัยใด ภิกษุ
เป็นผู้ตามเห็นกายในกาย อยู่เป็นประจำก็ดี,
เป็นผู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย อยู่เป็นประจำก็ดี,
เป็นผู้ตามเห็นจิตในจิต อยู่เป็นประจำก็ดี,
เป็นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย อยู่เป็นประจำก็ดี
มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้
สมัยนั้น
สติที่ภิกษุเข้าไปตั้งไว้แล้ว ก็เป็นธรรมชาติไม่ลืมหลง.
ภิกษุทั้งหลาย !
สมัยใด สติของภิกษุผู้เข้าไปตั้งไว้แล้ว เป็นธรรมชาติไม่ลืมหลง,
สมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว
สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์
สมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้น ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ
ภิกษุนั้น เมื่อเป็นผู้มีสติเช่นนั้นอยู่
ชื่อว่าย่อมทำการเลือก ย่อมทำการเฟ้น ย่อมทำการใคร่ครวญ ซึ่งธรรมนั้นด้วยปัญญา.
ภิกษุทั้งหลาย !
สมัยใด ภิกษุเป็นผู้มีสติเช่นนั้นอยู่ ทำการเลือกเฟ้น ทำการใคร่ครวญซึ่งธรรมนั้นอยู่ด้วยปัญญา
สมัยนั้น
ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว
สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า ย่อมเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
สมัยนั้น ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้น ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ
ภิกษุนั้น เมื่อเลือกเฟ้น ใคร่ครวญซึ่งธรรมนั้น ด้วยปัญญาอยู่
ความเพียรอันไม่ย่อหย่อน ก็ชื่อว่าเป็นธรรมอันภิกษุนั้นปรารภแล้ว
ภิกษุทั้งหลาย !
สมัยใด ความเพียรอันไม่ย่อหย่อน อันภิกษุผู้เลือกเฟ้น ใคร่ครวญธรรมด้วยปัญญาได้ปรารภแล้ว
สมัยนั้น
วิริยสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว
สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า ย่อมเจริญวิริยสัมโพชฌงค์
สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้น ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ
ภิกษุนั้น เมื่อมีความเพียรอันปรารภแล้วเช่นนั้น
ปีติอันเป็นนิรามิสก็เกิดขึ้น
( อามิส = รูป, เสียง, กลิ่น, รส, โผฏฐัพพะ | นิรามัส = ไม่อิงอามิส )
ภิกษุทั้งหลาย !
สมัยใด ปีติอันเป็นนิรามิส เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว
สมัยนั้น
ปีติสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว
สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า ย่อมเจริญปีติสัมโพชฌงค์
สมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้น ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ
ภิกษุนั้น เมื่อมีใจประกอบด้วยปีติ
แม้กายก็รำงับ แม้จิตก็รำงับ.
ภิกษุทั้งหลาย !
สมัยใด ทั้งกายและทั้งจิตของภิกษุผู้มีใจประกอบด้วยปีติ ย่อมรำงับ
สมัยนั้น
ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว
สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า ย่อมเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
สมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้น ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ
ภิกษุนั้น เมื่อมีกายอันมีกายอันรำงับแล้ว มีความสุขอยู่
จิตย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิ.
ภิกษุทั้งหลาย !
สมัยใด จิตของภิกษุผู้มีกายอันรำงับแล้ว มีความสุขอยู่ ย่อมเป็นจิตตั้งมั่น
สมัยนั้น
สมาธิสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว
สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า ย่อมเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์
สมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้น ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ
ภิกษุนั้น ย่อมเป็นผู้เข้าไปเพ่งเฉพาะ ซึ่งจิตอันตั้งมั่นแล้วอย่างนั้น เป็นอย่างดี.
ภิกษุทั้งหลาย !
สมัยใด ภิกษุเป็นผู้เข้าไปเพ่งเฉพาะ ซึ่งจิตอันตั้งมั่นแล้วอย่างนั้น เป็นอย่างดี
สมัยนั้น
อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว
สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า ย่อมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์
สมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้น ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ
________________________________________________________________________________________________
โ พ ธิ ปั ก ขิ ย ธ ร ร ม 37
https://ppantip.com/topic/38030332
" สติปัฏฐาน 4 บริบูรณ์ ย่อมทำ โพชฌงค์ 7 ให้บริบูรณ์ "
https://ppantip.com/topic/38127570
" โพชฌงค์ บริบูรณ์ ย่อมทำ วิชชา และ วิมุตติ ให้บริบูรณ์ "
https://ppantip.com/topic/38127682
-- ว่าด้วยเรื่อง ความหมายของ โพชฌงค์ 7
๑. สติสัมโพชฌงค์ : สติเป็นอันบุคคลเข้าไปตั้งไว้แล้ว เป็นธรรมชาติไม่ลืมหลง
๒. ธัมวิจยสัมโพชฌงค์ : เมื่อเป็นผู้มีสติอย่างนั้นอยู่ ย่อมค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงความพิจารณาธรรมนั้นได้ด้วยปัญญา
๓. วิริยสัมโพชฌงค์ : เมื่อค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงความพิจารณาธรรมด้วยปัญญาอยู่ ย่อมเป็นอันปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน ฯ
๔. ปีติสัมโพชฌงค์ : ปีติปราศจากอามิส ย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ปรารภความเพียรแล้ว ฯ
๕. ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ : ภิกษุผู้มีใจเกิดปีติ ย่อมมีทั้งกายทั้งจิตระงับได้ ฯ
๖. สมาธิสัมโพชฌงค์ : ภิกษุผู้มีกายระงับแล้ว มีความสุข ย่อมมีจิตตั้งมั่น ฯ
๗. อุเบกขาสัมโพชฌงค์ : ภิกษุเป็นผู้วางเฉยจิตที่ตั้งมั่นแล้วเช่นนั้นได้เป็นอย่างดี
________________________________________________________________________________________________
โพชฌงค์ ๗ (เต็ม)
ภิกษุ ท. ! สมัยใด ภิกษุ
เป็นผู้ตามเห็นกายในกาย อยู่เป็นประจำก็ดี,
เป็นผู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย อยู่เป็นประจำก็ดี,
เป็นผู้ตามเห็นจิตในจิต อยู่เป็นประจำก็ดี,
เป็นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย อยู่เป็นประจำก็ดี
มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้
สมัยนั้น
สติที่ภิกษุเข้าไปตั้งไว้แล้ว ก็เป็นธรรมชาติไม่ลืมหลง.
ภิกษุทั้งหลาย !
สมัยใด สติของภิกษุผู้เข้าไปตั้งไว้แล้ว เป็นธรรมชาติไม่ลืมหลง,
สมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว
สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์
สมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้น ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ
ภิกษุนั้น เมื่อเป็นผู้มีสติเช่นนั้นอยู่
ชื่อว่าย่อมทำการเลือก ย่อมทำการเฟ้น ย่อมทำการใคร่ครวญ ซึ่งธรรมนั้นด้วยปัญญา.
ภิกษุทั้งหลาย !
สมัยใด ภิกษุเป็นผู้มีสติเช่นนั้นอยู่ ทำการเลือกเฟ้น ทำการใคร่ครวญซึ่งธรรมนั้นอยู่ด้วยปัญญา
สมัยนั้น ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว
สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า ย่อมเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
สมัยนั้น ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้น ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ
ภิกษุนั้น เมื่อเลือกเฟ้น ใคร่ครวญซึ่งธรรมนั้น ด้วยปัญญาอยู่
ความเพียรอันไม่ย่อหย่อน ก็ชื่อว่าเป็นธรรมอันภิกษุนั้นปรารภแล้ว
ภิกษุทั้งหลาย !
สมัยใด ความเพียรอันไม่ย่อหย่อน อันภิกษุผู้เลือกเฟ้น ใคร่ครวญธรรมด้วยปัญญาได้ปรารภแล้ว
สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว
สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า ย่อมเจริญวิริยสัมโพชฌงค์
สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้น ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ
ภิกษุนั้น เมื่อมีความเพียรอันปรารภแล้วเช่นนั้น
ปีติอันเป็นนิรามิสก็เกิดขึ้น
( อามิส = รูป, เสียง, กลิ่น, รส, โผฏฐัพพะ | นิรามัส = ไม่อิงอามิส )
ภิกษุทั้งหลาย !
สมัยใด ปีติอันเป็นนิรามิส เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว
สมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว
สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า ย่อมเจริญปีติสัมโพชฌงค์
สมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้น ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ
ภิกษุนั้น เมื่อมีใจประกอบด้วยปีติ
แม้กายก็รำงับ แม้จิตก็รำงับ.
ภิกษุทั้งหลาย !
สมัยใด ทั้งกายและทั้งจิตของภิกษุผู้มีใจประกอบด้วยปีติ ย่อมรำงับ
สมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว
สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า ย่อมเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
สมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้น ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ
ภิกษุนั้น เมื่อมีกายอันมีกายอันรำงับแล้ว มีความสุขอยู่
จิตย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิ.
ภิกษุทั้งหลาย !
สมัยใด จิตของภิกษุผู้มีกายอันรำงับแล้ว มีความสุขอยู่ ย่อมเป็นจิตตั้งมั่น
สมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว
สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า ย่อมเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์
สมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้น ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ
ภิกษุนั้น ย่อมเป็นผู้เข้าไปเพ่งเฉพาะ ซึ่งจิตอันตั้งมั่นแล้วอย่างนั้น เป็นอย่างดี.
ภิกษุทั้งหลาย !
สมัยใด ภิกษุเป็นผู้เข้าไปเพ่งเฉพาะ ซึ่งจิตอันตั้งมั่นแล้วอย่างนั้น เป็นอย่างดี
สมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว
สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า ย่อมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์
สมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้น ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ
________________________________________________________________________________________________
โ พ ธิ ปั ก ขิ ย ธ ร ร ม 37
https://ppantip.com/topic/38030332
" สติปัฏฐาน 4 บริบูรณ์ ย่อมทำ โพชฌงค์ 7 ให้บริบูรณ์ "
https://ppantip.com/topic/38127570
" โพชฌงค์ บริบูรณ์ ย่อมทำ วิชชา และ วิมุตติ ให้บริบูรณ์ "
https://ppantip.com/topic/38127682