สติจำปรารถณา

สติจำปราถรณา
คือ ในกาลใดวิปัสสนาจิตหดหู่ ในกาลนั้นพึงเห็นแจ้ง
ในโพชฌงค์มีธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ และปีติสัมโพชฌงค์.
ก็ในกาลใดจิตฟุ้งซ่าน ในกาลนั้นพึงเห็นแจ้งในธรรมคือโพชฌงค์
อันหาโทษมิได้เป็นกุศล
ได้แก่ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ดังนี้.
แต่สติสัมโพชฌงค์พึงปรารถนาในทุกๆ กาลทีเดียว 

               สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า 
               สติญฺจ ขฺวาหํ ภิกฺขเว สพฺพตฺถกํ วทามิ 
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เรากล่าวว่าสติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง ดังนี้. 
               ด้วยเหตุเพียงเท่านี้
พระผู้มีพระภาคเจ้า
ครั้นทรงแสดงถึงความเพียรเป็นเครื่องตื่นด้วยเทศนาอันเป็นบุคลาธิษฐานแล้ว
จึงทรงประกาศธรรมอันมีการประกอบความเป็นเครื่องตื่นสมบูรณ์. 
               พระผู้มีพระภาคเจ้า
ครั้นทรงแสดงวาระแห่งการพิจารณา
พร้อมด้วยอุปการกธรรม (ธรรมเกื้อหนุนกัน)
ของภิกษุผู้ปรารภวิปัสสนาโดยสังเขปแล้ว. 
               บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงถึงความไม่ดูแคลน
ต่อการปฏิบัติของผู้ปฏิบัติอยู่อย่างนั้น
จึงตรัสคำมีอาทิว่า ชาครสฺส ภิกฺขเว ภิกฺขุโน ดังนี้. 
               การยึดถือสติสัมปชัญญะในการประกอบความเพียรนั้น
นำมาซึ่งความบันเทิงและความเลื่อมใส
อันจำปรารถนาในที่ทั้งปวง
การถือเอาห้องแห่งวิปัสสนาอันถึงความแก่กล้าแล้ว
ชื่อว่าวิปัสสนาสมควรแก่กาลในการประกอบกรรมฐานนั้น
เมื่อวิปัสสนาญาณกล้าแข็งดำเนินไปตามวิถี
พ้นจากอุปกิเลสแล้วนำไปอยู่
ความปราโมทย์ยิ่งและความเลื่อมใสของพระโยคี
ย่อมมีในที่ใกล้แห่งการบรรลุธรรมวิเศษ
ด้วยความปราโมทย์และความเลื่อมใสนั้น.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่