เมื่อผมเป็นโรคแพนิค

ยาวหน่อยนะครับ แต่อยากแชร์ไว้เป็นประสบการณ์ให้กับคนที่เป็น หรือสงสัยว่าตัวเองหรือคนรอบข้างจะเป็น จะได้จัดการกับอาการแพนิคได้ครับ

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนตุลาคมปี 2560 ตอนนั้นเป็นตอนที่ผมมีอาการของโรคครั้งแรก เริ่มด้วยอาการเหมือนจะเวียนหัวเหมือนพื้นมันโคลงเคลงและมีอาการอ่อนเพลียเหมือนกับเราพักผ่อนไม่เต็มที่ ตอนแรกก็คิดว่านอนพักเดี๋ยวก็หายแต่ไม่ใช่ อีกห้านาทีต่อมาเท่านั้นแหละเริ่มมีอาการใจสั่นเต้นรัวๆเร็วมากเหมือนเราวิ่งออกกำลังกายเลย แต่นี่มันเกิดตอนที่เรานอนอยู่เฉย ๆ ซึ่งอาการหัวใจเต้นเร็วมากที่เกิดขึ้นตอนนอนเฉย ๆ นี่แหละทำให้ตอนนั้นผมตกใจมากคิดว่าตัวเองกำลังจะตายเป็นโรคหัวใจ จากนั้นก็ตามมาด้วยอาการตาลาย ใจหวิว ๆ เหมือนจะเป็นลม แขนขาอ่อนแรง ไม่มีแรงเดิน มือชา หน้าชา ตัวชา หูอื้อ ท้องไส้ปั่นป่วน หายใจติดขัด คือทั้งหมดนี้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กันในคราวเดียว จากนั้นอาการทั้งหมดก็เริ่มคงที่เหมือนขึ้นถึงจุดสูงสุด แล้วก็ค่อย ๆ ลดลงมา หัวใจเต้นช้าลง อาการชาเริ่มหายไป หัวใจเริ่มกลับมาเต้นเป็นปกติ ทั้งหมดนี้ตั้งแต่เริ่มจนจบใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ซึ่งในระหว่างเกิดอาการนี้ในใจคิดว่าตายแน่แล้วอยากไปหาหมอแต่ไปไม่ได้ไม่มีแรง แต่สุดท้ายแล้วอาการทั้งหมดก็จบลง หลังจากอาการทั้งหมดหายไปสิ่งที่ตามมาคืออาการอ่อนเพลีย ผมจึงตั้งใจว่านอนพักสักแป๊บให้มีแรงแล้วจะไปหาหมอ แต่เมื่อผมตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าทุกอย่างกลับมาปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมเลยคิดว่าอาจเป็นเพราะเหนื่อยเครียดมากไป สุดท้ายเลยตัดสินใจไม่ไปหาหมอและไปซื้อพวกยาบำรุงสมองบวกกับนอนพักให้เยอะขึ้นออกกำลังกายแทน

หลังจากอาการในครั้งแรกผ่านไป วันต่อมาผมรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเรามีอาการแปลก ๆ ไป บางทีนั่งอยู่เฉย ๆ แต่รู้สึกพื้นโคลงเคลงเหมือนอยู่บนเรืออาการเป็นอยู่แป๊บ ๆ ก็หาย หรือบางทีก็รู้สึกหัวใจเต้นแปลก ๆ ไป และอาการอีกอย่างที่ตามมาแบบรู้สึกได้คือ ผมจะไม่ค่อยชอบอยู่ในที่ที่คนเยอะหรืออยู่ในที่ที่เป็นพื้นที่ค่อนข้างปิด อย่างเช่น ในรถตู้ บนรถเมล์ ตามห้าง เพราะมันจะรู้สึกอึดอัดหายใจไม่สะดวกหายใจไม่ทั่วท้อง ต้องพยามยามออกมาจากจุด ๆ นั้น พอออกมาได้ก็จะรู้สึกโล่ง หายใจสะดวกเป็นปกติ ซึ่งมันเลยทำให้ผมพยายามเลี่ยงจะไม่ออกไปไหนถ้าไม่จำเป็น เวลาส่วนใหญ่ก็เลยอยู่กับที่พัก ทำงานที่ที่พักเพราะมันรู้สึกเป็นพื้นทื่ปลอดภัย อันนี้ผมโชคดีหน่อยเพราะงานที่ผมทำนั้นผมเป็นโปรแกรมเมอร์ฟรีแลนซ์ ทำงานที่บ้านได้ก็เลยทำให้ไม่มีปัญหาเพราะผมไม่ต้องออกไปไหนบ่อย ๆ มีแค่บ้างบางครั้งที่ต้องออกไปคุยงานข้างนอกบ้าง นั่นคือความรู้สีกของตัวผมที่เปลี่ยนไปที่รับรู้ได้

จากนั้นผมก็ผมว่าผมมีอาการแพนิคที่เกิดขึ้นแบบชัดเจนแบบหัวใจเต้นเร็ว มือสั่น ตัวสั่น หายใจขัดนั้นจะเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว เฉลี่ยเดือนละประมาณ 1 - 2 ครั้ง ความรุนแรงจะมากน้อยต่างกันไป บางทีเป็นน้อย ๆ มีแค่อาการใจสั่นหัวใจเต้นเร็ว มือสั่น มือชา เป็นอยู่ 5 - 10 นาที นั่งพักสักครู่เมื่อการการมันขึ้นถึงจุดสูงสุดอาการทั้งหมดก็จะค่อย ๆ ลดลงและก็หายเป็นปกติ แต่ถ้าอาการเป็นมาก ๆ อาการมันจะมาครบทุกอย่าง แขนขาไม่มีแรง ขาสั่น มือสั่น ตัวสั่นเหมือนตกใจกลัวมาก ๆ หรือหนาวมาก ๆ (แต่ไม่มีอาการหนาวมีแต่อาการสั่น) มวนท้อง หายใจขัด หรือหายใจยาวมากลึกมาก (ไม่ได้หายใจถี่) เสียงสั่น มีอาการหวิว ๆ เหมือนจะเป็นลม หูอือ หัวใจเต้นเร็วมาก ๆ เหมือนไปวิ่งมาทั้ง ๆ ที่นั่งหรือนอนอยู่เฉย ๆ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กันและเกิดขึ้นเร็วมาก จะไม่รู้ตัวเลยว่ามันจะเป็นเมื่อไร เมื่ออาการถึงจุดสูงสุดแล้วก็จะลดลงกลับมาเป็นปกติ เมื่ออาการเป็นปกติแล้วผมจะรู้สึกอ่อนเพลียมาก ซึ่งทุกครั้งหลังจากเป็นแล้วผมจะต้องนอนพักสักหนึ่งชั่วโมง พอตื่นมาแล้วทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ สามารถทำงานได้ปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

จริง ๆ แล้วหลังจากอาการในครั้งแรกคิดจะไปหาหมอ แต่กลัวจะรับรู้สิ่งที่จะได้ฟังจากปากหมอ บวกกับอาการที่เป็นมาอีกหลาย ๆ ครั้ง มันเป็นแล้วก็หายก็เลยคิดว่าคงเป็นเพราะเหนื่อยเครียดมากไป ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกก็เลยยังไม่คิดที่จะไปพบหมอให้มันเป็นเรื่องเป็นราวซะที

ผมต้องเผชิญกับอาการแบบนี้อยู่เกือบปี เคยไปตรวจหาความผิดปกติของคลื่นหัวใจ ตรวจร่างกายมาแล้ว หมอก็แจ้งว่าทุกอย่างปกติมาก คลื่นหัวใจ ผลเลือด ทุกอย่างไม่มีอะไรบ่งบอกว่าเป็นความผิดปกติเลย
มันก็เลยทำผมยิ่งกังวลว่าผมเป็นอะไรแน่ เพราะตอนนี้เรารับรู้ได้เลยว่าตัวเรามีอะไรแปลกไปไม่ปกติแน่ๆ
ถึงแม้จะตรวจร่างกายแล้วพบว่าทุกอย่างปกติร่างกายแข็งแรงดีแต่ผมก็ยังมีความกังวลใจอยู่ลึก ๆ
จนกระทั่งล่าสุดมีอยู่คืนนึงผมกำลังเล่นโทรศัพท์อยู่กำลังจะเข้านอน เวลาประมาณห้าทุ่ม อาการก็มาแบบกระทันหันกว่าทุกครั้ง เริ่มด้วยอาการแขนซ้ายไม่มีแรง ชาไปทั้งแขนตอนแรกก็คิดว่าผมนอนทับแขนและต่อมาก็ชาไปที่ขาซ้ายด้วย คราวนี้เริ่มตกใจลุกนั่งและลองเดินไปมาเดินเข้าห้องน้ำปรากฏว่ายังพอเดินได้อาการชานั้นเหมือนอาการเห็บชา แต่หัวใจเริ่มต้นเร็วมากขึ้นเรื่อย ๆ รู้สึกจมูกโล่งได้ยินเสียงลั่นเปรี๊ยๆในโพรงจมูก หายใจยาวลึก แขนสั่น ขาสั่น ตัวสั่น อาการเป็นเหมือนทุกครั้งแต่ครั้งนี้ผมรับรู้ได้เลยว่ามันหนักกว่าเดิมผมก็เลยตัดสินใจลงไปเรียกรถแท้กซี่และรีบไปแผนกฉุกเฉินที่โรงพยาบาลทันที

พอไปถึงโรงพยาบาลก็รีบติดต่อเจ้าหน้าที่และนั่งรอเรียกเข้าตรวจ ตอนนั้นผมตัวสั่นมากเหมือนหนาวเหมือนกลัวจนตัวสั่นจนคนข้าง ๆ มองเลย ในใจผมก็คิดว่ากำลังจะตายละหัวในวายตายแน่ ๆ และอาการในครั้งนี้ก็รู้สึกว่าเป็นมากกว่าและนานกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา จนในที่สุดถึงคิวหมอเรียกเข้าตรวจ หมอก็สอบถามอาการว่าดื่มเหล้าสูบบุหรี่ไหม (ผมไม่สูบ ดื่มนิดหน่อยนาน ๆ ครั้ง) มีท้องเสียถ่ายเหลวไหม ใช้ยาเสพติดอะไรไหม แล้วก็ให้ผมยกแขนชี้ตรงไปข้างหน้า ให้ลงพักข้อมือขึ้น ชูแขนเชิดหน้าตรง หลับตา ลองพูดประโยค (คิดว่าหมอคงพยายามหาความผิดปกติอะไรบางอย่างเกี่ยวกับสมองอยากพวกอาการหลอดเลือดสมอง) ขณะนั้นตัวผมก็ยังสั่นอยู่เลย ตอนหมอให้ยกแขนก็สั่นแบบเห็นได้ชัดเจน จากนั้นผมก็โดนพาตัวไปห้องข้าง ๆ วัดคลื่นหัวใจ เสร็จแล้วก็มาเจาะเลือดเพื่อเอาผมไปวิเคราะห์ หมอบอกว่าสงสัยอาการของเกลือแร่ต่ำหรือไม่ก็ไทรอยด์

หลังจากผ่านไปเกือบชั่วโมงนับตั้งแต่เริ่มมีอาการสุดท้ายอาการผมค่อย ๆ ดีขึ้นจนทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติ (อีกครั้งเหมือนเช่นเคย) ตอนนี้ผมรู้สึกง่วงและเพลียมาก ๆ ผมรอผลตรวจทุกอย่างจนถึงตอนตีสามก็เสร็จสิ้นและผมก็ถูกเรียกตัวเข้าไปพบ ผลปรากฏว่า ทุกอย่างปกติ หมอคิดว่าผมอาจเป็นเพราะผมเครียดมากไป ผมนี่งงมากว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวผม ไม่น่าจะเป็นเพราะความเครียดที่จะทำให้ผมมีอาการมากขนาดนี้ ผมรู้ตัวว่าตอนนี้ตัวผมไม่ปกติแน่ ๆ เพียงแต่ว่าผมตอบไม่ได้ว่ามันคืออะไร รู้แต่ว่าตัวผมแปลก ๆ ไป มันบอกไม่ถูก

ผมจึงกลับมาที่พัก แล้วก็นอนพักผ่อนเพราะจากอาการแพนิคในครั้งนี้มันเป็นเยอะกว่าทุกครั้งและนานกว่าทุกครั้ง (เกือบชั่วโมง) ทำให้ผมรู้สึกเหนื่อยเพลียมากกว่าเดิม

พอตอนเช้าผมตื่นมาจึงรีบอาบน้ำแล้วตัดสินใจไปโรงพยาบาลอีกครั้ง คราวนี้ตัดสินใจไปพบหมอแผนกจิตเวช เพราะคิดแล้วว่าในเมื่ออาการทางกายมันตรวจไม่พบโรค ตรวจไม่เจอะไร งั้นก็ลองดูอาการทางใจหน่อยว่าเราผิดปกติไหม ซึ่งผมก็ไปยื่นบัตร ไปตรวจร่างกายเบื้องตนและซักประวัติกับพยาบาลประมาณยี่สิบนาทีและก็รอคิวหมอเรียกพบ

ในที่สุดก็ถึงคิวผมเข้าพอหมอ หมอก็ถามอาการว่าเป็นไงบ้างมีอาการอะไรบ้าง ผมก็บอกหมอว่ามีการอาการหัวใจเต้นเร็ว มือสั่น ตัวสั่นเหมือนกลัวหรือตกใจมาก ๆ พอพูดแค่นี้จบปุ๊ปหมอบอกขึ้นมาทันทีเลยว่า
หมอดูประวัติรวมทั้งผลที่เคยตรวจก่อนหน้านี้แล้ว เป็นแพนิคนะ แล้วหมอก็อธิบายอาการของโรคให้ฟัง (เหมือนกับที่ผมเจอนั้นแหละ) แล้วก็อธิบายสาเหตุว่ามันเกิดได้หลายสาเหตุ ทั้งการใช้ชีวิตที่เร่งรีบของเราเอง ทั้งความเครียดสะสม หรือแม้กระทั่งถ่ายทอดทางพันธุกรรม แล้วหมอก็สอบถามอาการอื่น ๆ เพิ่มเติม สอบถามประวัติเพิ่มเติมเล็กน้อย หมอคุยกับผมอยู่สิบนาทีสุดท้ายหมอก็จ่ายยามาให้สามตัว เป็นยาคลายกังวลเอาไว้กินก่อนนอนนะได้หลับง่ายขึ้นเพราะผมมีอาการกังวลมากนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ ทั้งคืน ได้ยาแก้ใจสั่นเอาไว้กินตอนมีอาการแล้วรู้สึกว่าไม่ไหว ตัวที่สามสำคัญมากหมอบอกว่าเป็นยาปรับสมุดเคมีในสมอง ที่ผมเป็นแพนิคเพราะอาการสารเคมีในสมองมันเสียสมดุลไปทำให้บางครั้งสมองมันสั่งให้ร่างกายตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมในแบบที่ไม่ควรจะทำอย่างเช่นอาการตกใจ อาการหน้ามืดใจสั่นเหมือนเราตกใจทั้ง ๆ ที่ไม่มีเหตุอะไร (หมอใช้คำเล่น ๆ ว่าสมองมันงงมันช๊อตเลยส่งสัญญาณออกไปผิด) และหมอก็แนะนำเพิ่มเติมว่าตอนนี้รู้แล้วว่าเป็นอะไร ดังนั้นก็ให้ทำทุกอย่างใช้ขีวิตตามปกติ เคยทำอะไรก็ทำให้เหมือนเดิมอย่าไปกลัวมันไม่ถึงกับตายมันแค่ทำให้เรากลัวเฉย ๆ ปกติคนที่มีอาการแพนิคมักจะหลีกเลี่ยงสถานที่ที่เคยไปแล้วมีอาการ พยายามหลีกเลี่ยงที่ที่มีคนเยอะ เพราะจิตใจจะผูกกับอาการว่า ถ้าไปตรงนี้ไปตรงนั้นแล้วจะเกิดอาการขึ้น จึงทำให้ตัวเราพยายามหลีกเลี่ยง ซึ่งถ้าทำแบบนี้มันจะทำให้การใช้ชีวิตเราไม่ปกติ เกิดแผลขึ้นในใจ และอาการก็จะกลับมาทุกครั้งเมื่อเราอยู่ในสถานที่หรืออยู่ในสถานการแบบนั้น ให้ทำตามปกติคิดซะว่ายังไงก็ไม่ตายและความจริงก็ยังไม่มีใครตายจากอาการแพนิค และถ้าใช้ยาช่วยปรับเคมีในสมองแล้วอาการจะดึขึ้นมากจนสามารถจัดการกับมันได้ด้วยตัวเอง ควบคุมมันได้และหายขาดจากอากาได้ภายใน 6 เดือน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยุ่กับตัวเราด้วย เพราะยาเป็นแค่ตัวช่วยให้เราจัดการกับมันได้ง่ายขึ้น คนที่จะผ่านมันไปให้ได้คือตัวเราเอง

หมอยังบอกอีกว่าคิดถูกแล้วที่ตัดสินใจมาเพราะบางคนไม่รู้ ไม่กล้ามาพบหมอจิตเวชเพราะกลัวคนอื่นจะมองว่าเป็นบ้า อาการแพนิคถ้าปล่อยไว้นาน ๆ มันจะทำให้เกิดความเครียดสะสมมากสุดท้ายจะไม่กล้าออกไปไหนเพราะกลัวจะเกิดอาการ จะกลายเป็นคนเก็บตัวและสุดท้ายกลายเป็นโรคซึมเศร้าในที่สุด หลาย ๆ คนถูกส่งตัวมาจากแผนกฉุกเฉินเพราะว่ามาโรงพยาบาลด้วยอาการตัวสั่นมือสั่นหัวใจเต้นแรงบ่อยครั้งแล้วทุกครั้งก็ตรวจไม่เจอสาเหตุ

หลังจากพบหมอแล้วความกังวลผมหายไปหมดเลยพอได้ยินจากปากหมอเองว่าผมกำลังเจอกับอะไรอยู่
คือส่วนตัวผมเองขอแค่รู้ว่าเราเป็นอะไรเรากำลังเผชิญกับอะไรอยู่เราจะได้สู้กับมันได้ถูก เพราะก่อนหน้านี้มันทำให้ผมเครียดและกังวลมากเพราะเป็นอาการอะไรก็ไม่รู้ เหมือนจะตาย แล้วหาสาเหตุไม่เจอ ซึ่งพอมาถึงตอนนี้ผมสบายใจมาก ๆ เพราะพอรู้ว่าเราเป็นอะไร หมอรู้ว่าเราเป็นอะไรก็แสดงว่ามันมีทางรักษาและมีทางหายได้

พอมาถึงตอนนี้ผมก็เริ่มกินยาที่หมอให้มาแล้วและรู้สึกดีขึ้นมาก สบายใจมากในรอบเกือบปีที่ผ่านมา ผมเริ่มตันด้วยการไปตามสถานที่ที่ก่อนหน้านี้ผมพยายามเลี่ยงเพราะความกังวล คือก่อนหน้าผมไม่ได้กลัวที่จะเกิดอาการ แต่ผมกลัวว่าอาการมันจะเกิดเมื่อไร แต่ตอนนี้อาการกังวลแบบนั้นมันหายไปเลย จากที่เคยวน ๆ อยุ่ในหัวสลัดยังไงก็ไม่หลุดมันหายไปเฉย ๆ เหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตอนนี้ผมใช้ชีวิตได้เหมือนปกติไม่มีความเครียด ไม่มีความกังวลแล้ว ถ้าอาการแพนิคมันจะกลับมาผมก็พร้อมจะรับมือละ ไม่กลัวกับมันละเพราะตอนนี้ผมรู้จักมันแล้ว ผมไม่ยอมมันละคราวนี้ผมจะสู้กับมันจนกว่าจะผ่านมันไปได้

ทั้งหมดนี้แชร์ไว้เป็นประสบการณ์ในส่วนที่ผมได้พบเจอให้กับทุกท่านที่อาจมีอาการแพนิค สงสัยว่ามีอาการ หรือคนรอบข้างมีอาการนี้นะครับ ขอบอกว่าอย่ากลัวที่จะไปพบหมอจิตเวช แพนิคเป็นอะไรที่ไม่ร้ายแรง แต่มันจะน่ากลัวสำหรับคนที่มีอาการแต่ไม่รู้ว่าเรากำลังเจอกับอะไรเพราะเมื่อมันมามันจะเหมือนกับว่าเราอยู่ใกล้ความตายมาก ๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่